Download Chereads APP
Chereads App StoreGoogle Play
Chereads

The key of terrer

🇹🇭swamp_cat
7
chs / week
The average realized release rate over the past 30 days is 7 chs / week.
--
NOT RATINGS
193
Views
Synopsis
อาจเป็นเพราะความเผลอไผลหรือความเบื่อหน่ายชั่วขณะ อัลเลย์ อาโดนิส ถึงได้ลองเล่นเว็บดูดวงที่เจอผ่านตา หลังจากครั้งนั้นตนก็ต้องเจอกันฝันร้ายแบบเดิมซ้ำๆในทุกคืน พบเจอสิ่งแปลกๆบนโลก และสังเกตเห็นบางอย่างที่ไม่เคยนึกถึง จนสุดท้ายก็ได้หลับไปในวันเกิดของตัวเองตลอดกาล หากแต่ถ้านั้นไม่ใช่ฝันร้ายแต่เป็นโลกความเป็นจริงละ ? อัลเลย์ได้ตื่นขึ้นมาในฝันร้ายอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขาจะไม่ได้ฝันถึงโลกเก่าอีกต่อไป หากในโลกแห่งทวยเทพและผู้วิเศษ สิ่งมีชีวิตจากเหวลึก และตัวตนที่เรียกว่าเสียงของพระเจ้า ต่างมีความปรารถนาที่จะมาบรรจบกันในปลายทางแห่งโชคชะตา หากชีวิตที่ผ่านมาของตนนั้นเป็นแค่เรื่องแต่งที่ถูกควบคุมอยู่ จงทำลายกฎเกณฑ์และกลายเป็นจ้าวแห่งฝันร้ายซะ [ กุญแจแห่งลางมรณะ ] ผู้นำพาฝันร้าย ความตาย และสงคราม ------------------------------------- swamp cat เรื่องนี้แต่งยาวๆ เป็นนิยายเรื่องแรกที่แต่งแบบจริงจัง อาจมีติดเหรียญในอนาคตปรัมาณตอนที่60กว่า จะอัพได้ประมาณสัปดาห์ละ2-3ตอน  ภาพหน้าปกเป็นภาพชั่วคราวที่วาดขึ้นเอง ห้ามนำไปใช้อย่างอื่น
VIEW MORE

Chapter 1 - บทที่ 1 ตื่นจากฝันร้ายชั่วนิรันดร์

บทที่ 1 ตื่นจากฝันร้ายชั่วนิรันดร์

 

จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเล่าจากตรงไหน แต่มันน่าจะเกิดขึ้นราวๆ 2เดือนก่อน อัลเลย์ อาโดนิส เป็นผู้ชายวัย27ปีธรรมดา

ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ธรรมดาในโลกที่ธรรมดา ตื่นตอนเช้าและกลับบ้านดึก แต่ในวันหนึ่งที่กำลังเล่นมือถือยามดึกก็ได้ไปพบกับเว็บดูดวงที่ผ่านตามาพอดี

 อาจเป็นเพราะความเผลอไผล ความเบื่อหน่ายชั่วขณะ หรือแรงดึงดูดแห่งโชคชะตา ถึงได้อยากลองที่จะกดเข้าไปดูความเป็นไปของตนในช่วงนี้

มันนั้นก็เหมือนเว็บไซต์ดูดวงไพ่ทาโรต์ธรรมดาทั่วไปไม่ได้มีอะไรพิเศษ ไพ่ที่ได้ก็มีทั้งอันที่รู้สึกคุ้นเคยและไม่เคยเจอมาก่อน

นอกจากที่ได้ผลทำนายทั้งหมดไปเชิงที่ไม่ดี อัลเลย์ก็เลือกที่จะไม่สนใจและเมินเฉยมันไป

เอาเวลาไปนอนหลับเก็บแรงสำหรับการทำงานดีกว่ามานั่งคิดอะไรพวกนี้ที่ไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์

 

ในห้องขนาด29ตารางเมตรนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงบตามเคย แต่วันนี้น่าแปลกที่ตอนนี้ยังตื่นอยู่ ปกติก็ไม่ใช่คนที่นอนหลับยากอะไรแค่หัวถึงหมอนไม่ถึง20นาทีก็หลับสนิทแล้ว

 แต่ตอนนี้กลับยังคงรู้สึกตัวปกติ ตื่นตัวดีทุกอย่าง

หรือว่าบางทีในใจลึกๆ เราจะยังแอบคาใจกับไพ่ทาโรต์นั้นจริงๆ

แต่มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงในเมื่อตอนนี้อัลเลย์แทบจะลืมทุกอย่างไปแล้วว่าคำทำนายมีอะไรบ้าง

 

 เอี๊ยด…ครืด..

 

 กลิ่นทะเลและกลิ่นเหม็นของไม้อับชื้น เสียงของไม้ที่เสียดสีและคำพูดพึมพำของผู้คน

 อัลเลย์นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วขณะก่อนที่จะพยายามลืมตาเพื่อดูสิ่งต่างๆ รอบตัว

 ลืมตาไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ ได้เพียงหายใจดมกลิ่นและฟังเสียงรอบตัว

 หรือว่าจะเป็นโรคผีอำ?

 แต่สัมผัสต่อผิวของเขานั้นชัดเจนราวกับเป็นเรื่องจริง เหมือนกับว่าตอนนี้ร่างกายไม่ได้นอนอยู่บนเตียงในห้องนอนอุ่นๆ แต่เป็นบนพื้นไม้แข็งๆ

 เดี๋ยวนะ ดูเหมือนจะมีเสียงบางอย่าง

 เสียงนาฬิกาปลุกที่แสนเกลียดชังดังขึ้น ก่อนที่จะพบว่าตัวเองนั้นลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นห้อง

 ฝันร้าย? เป็นแค่ฝันร้าย?

 "เป็นแค่ฝันร้ายนี้เอง" ได้แต่สะลึมสะลือล้างหน้าเตรียมตัวเพื่อไปทำงานแล้วลืมความฝันไร้สาระพวกนั้นไปไม่ให้รกสมอง

 

 อัลเลย์ฝันร้ายแบบเดิมซ้ำๆ

 เหมือนเดิมทุกครั้ง

 "เปลี่ยนบ้างก็ได้นะ"

 

 และเมื่อวันหนึ่งที่ตื่นมาพบกับใต้ตาสีคล้ำกับผิวซีดเซียวสภาพไม่ต่างกับหมีแพนด้า ตอนนั้นถึงได้ตัดสินใจไปพบหมอเพื่อหาวิธีนำสุขภาพการนอนหลับที่ดีของตัวเองกลับคืนมา

 

 วันที่ 14 เดือนกุมภาพันธ์ ตอนนี้อัลเลย์อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่จากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ นักจิตวิทยาบอกว่าการฝันเรื่องเดิมซ้ำๆ นั้นคือการบ่งบอกถึงความปรารถนาส่วนลึกในจิตใจตัวเอง

 แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าการฝันว่านอนอยู่ในเรือนั้นจะเป็นความปรารถนาแบบไหนได้

 จากการฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้สามารถแยกแยะและระบุรายละเอียดเหตุการณ์ในความฝันได้เพิ่มมากขึ้น

 ร่างกายของเขานอนอยู่บนพื้นไม้ถูกคลุมด้วยผ้าเนื้อหยาบเพื่อให้ความอบอุ่น การเคลื่อนไหวและความโคลงเคลงของพาหนะที่นอนอยู่บวกกับเสียงฝีเท้าและพูดคุยแว่วมาจากด้านบนนั้นทำให้คิดว่าร่างกายของเขาน่าจะอยู่ภายในเรือ

 นอกจากนั้นก็มีเสียงพึมพำพร้อมทำนองบางอย่างที่น่าจะเป็นเสียงเพลงที่ชวนให้งงงวยจนฟังไม่ออก

 

 อัลเลย์มองออกไปนอกหน้าต่างสำนักงาน น่าแปลกที่วันนี้นั้นเต็มไปด้วยลูกโป่งหัวใจและสีแดงสดใส ขนาดในที่ทำงานก็ยังมีการมอบดอกกุหลาบและช็อกโกแลตให้กันและกัน หนุ่มหล่อผมดำที่แผนกข้างๆ ก็ยังได้มากถึง 4 กล่อง

 แต่น่าแปลกที่จิตใจนั้นกลับโปร่งใสและสงบนิ่งแบบไม่เคยมีมาก่อน สงบจนสามารถสังเกตเห็นหลายอย่างที่ไม่เคยใส่ใจหรือมองเห็นก่อนหน้านี้

 อย่างเช่นในช่วงนี้ในเมืองเต็มไปด้วยนกฮูกจำนวนมากจนพบได้ทั่วไป ทั้งกลางวันและกลางคืนปริมาณเยอะพอที่จะแข่งกับนกพิราบ หรือสิ่งเล็กๆ ที่ดูธรรมดาเช่นตัวของอัลเลย์มักจะกินแฮมชีสกับนมในมื้อเช้า กินข้าวทงกัตสึเป็นมื้อเที่ยง และกินแฮชบราวน์พร้อมทาโก้เป็นมื้อเย็นเสมอมา

 แต่วันนี้เขาลองสั่งข้าวแกงกะหรี่เป็นมื้อเที่ยงแทน มันทำให้พนักงานร้านมองเหมือนเห็นผี

 

 "อัลเลย์ วันพรุ่งนี้คุณว่างหรือเปล่า" และอีกอย่างคือหญิงสาวแปลกหน้าที่ทำงานในแผนกวิจัยที่น่าสงสัย

 ช่วงนี้ดูเหมือนเธอจะชอบแอบมองมาเสมอและมักพบเจอกันบ่อยๆ เมื่อไปชงกาแฟ

 "ขอโทษที พอดีพรุ่งนี้ผมมีนัดกับหมอน่ะ" ถึงไปทุกรอบจะได้ยามากินเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม

 หญิงสาวแปลกหน้าทำหน้าเจื่อนก่อนจะคิดอะไรบางอย่างได้

 "ช่วงนี้อัลเลย์มีปัญหาเรื่องการนอนหลับใช่มั้ยคะ พอดีฉันพอจะมีทริคบางอย่างจากที่บ้าน แม่มักจะทำแบบนี้ทุกครั้งที่ฉันฝันร้าย"

 "ขออนุญาตนะ"

 เธอนำปากกาจากกระเป๋าเสื้อก่อนพูดขออนุญาต ค่อยๆ คลี่มือของขวาอัลเลย์ออกก่อนก้มตัวลงมาวาดกากบาทเล็กๆ บนฝ่ามือ

 อุณหภูมิของร่างกายนั้นดูเป็นเรื่องแปลกใหม่และมือนั้นก็นุ่มมากเช่นกัน เขาพึ่งได้สังเกตว่าเธอนั้นมีขนตายาว กับผมสีดำที่ดูนุ่มลื่น แสงแดดยามบ่ายนั้นฉายไปบนผิวสีข้าวสาลีและดวงตาสีน้ำตาลเข้มจนทำให้อดเผลอมองไม่ได้

 "เชื่อกันว่ามันจะช่วยป้องกันฝันร้าย ปกติก็จะวาดก่อนนอน…อัลเลย์? "

 "เอ่อ…ขอบคุณมาก" ตอนนี้ถึงได้รู้ตัวว่าจำชื่อของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ถึงจะรู้สึกผิดแต่ก็ไม่อยากถามชื่อไปให้เจ้าตัวรู้ว่าตนนั้นไม่รู้ชื่อของเธอเลยทั้งที่ทำงานด้วยกันมาสักพัก

 "ฉันหวังว่ามันพอจะช่วยอัลเลย์ได้ แล้วก็อัลเลย์สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้านะคะ"

 "ขอบคุณครับ…" จริงด้วยดูเหมือนพรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดครบรอบอายุ28ปี อัลเลย์ทำเพียงมองหญิงสาวคนนั้นเดินจากไปก่อนจะหันมาจัดของเตรียมตัวกลับบ้าน

 ระหว่างทางก็หยุดอยู่หน้าร้านพิซซ่า คิดสักพักก่อนจะตัดสินใจซื้อพิซซ่ามากินฉลองวันเกิด

 

 เมื่อกลับถึงบ้านก็จัดวางรองเท้าและสิ่งของ อาบน้ำแต่งตัว แล้วกลับมานั่งมองพิซซ่าที่เริ่มเย็น

 นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะโชว์เวลาว่าอีกไม่นานก็จะเลยเที่ยงคืนของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นจะชอบฉัน แต่ตัวเรานั้นกลับไม่รู้สึกอะไรเลย ในชีวิตนี้ของ อัลเลย์ อาโดนิส ที่ไม่เคยมีแฟนมาก่อนเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น คนปกติก็คงจะมีอารมณ์ตื่นตระหนกตื่นเต้นบางอย่างซินะ

 แต่กลับมานั่งคิดถึงเรื่องทำไมเขาถึงไม่เคยสังเกตเห็นสิ่งเล็กน้อยอย่างชื่อเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย และคนอื่นๆ วันนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นวันสำคัญที่คนทั่วไปก็รู้จัก จะเป็นไปได้ยังไงที่มนุษย์จะใช้ชีวิตโดยไม่รู้ชื่ออะไรเลยนอกจากชื่อตัวเอง

 "ไม่สิ ฉันจำแมรี่ได้"

 นั้นคือชื่อของแม่ แต่ก็จำได้แค่นี้?

 มีม่านหมอกบางอย่างที่คอยปิดบังและบิดเบือนความทรงจำอยู่

 อาการปวดหัวตรงขมับเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อพยายามจะนึกถึงอะไรบางอย่าง ได้แต่นำยาที่มีอยู่มากินเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดเหล่านั้น

 ปล่อยตัวปล่อยใจให้ล่องลอยออกไป ปล่อยหัวให้ตกไปตามแรงโน้มถ่วงจนสุดท้ายก็นอนเหม่อมองออกนอกหน้าต่างทั้งที่ตัวท่อนบนกำลังทับพิซซ่าที่เย็นชืดอยู่

 เจ็บ

 มันร้าวไปหมดทั้งหัว ทั้งหน้าผาก เบ้าตา จมูก จนถึงฟัน

 ทรมานกว่าทุกที

 แต่ก็ไม่อยากนอนหลับ

 นกฮูกนอกหน้าต่างจำนวนมากจ้องมองมาที่อัลเลย์ เหมือนดวงตาของปีศาจร้ายที่เฝ้ามองเหยื่อ

 คล้ายว่าอาการเพ้อของเขานั้นจะมีระดับสูงขึ้นจนตอนนี้มองว่าพวกมันมีดวงตาสามดวง

 ไอพวกนี้มันไม่มีอะไรให้ดูแล้วรึไง

 

 รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวบนใบหน้า เมื่อลองเอามืออันสั่นเทาไปสัมผัสดูก็รู้ว่ามันคือเลือดกำเดาผสมน้ำตาของตัวเอง

 หรือบางทีชีวิตที่แสนธรรมดานี้จะมาถึงจุดจบแล้ว

 แต่อย่างน้อยก่อนที่จะหลับไปก็ขอนึกประโยคบางอย่างที่ติดค้างในใจก่อน

 มันนั้นติดอยู่ที่ปลายลิ้นแต่ก็พร่าเลือนเกินกว่าจะนึกออก อึดอัดจนเผลอเอามือเกาและขย้ำหน้าอกตัวเองจนเสื้อผ้าหลุดลุ่ย จนผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดง

 

 วี๊ดดดด…..ปัง!!

 

 ภายในวินาทีที่พลุดอกนั้นทะยานขึ้นไปย้อมท้องฟ้าให้เติมเต็มด้วยสีสันสวยงาม ก็เป็นเวลาเดียวกับที่นาฬิกาดิจิตอลโชว์ตัวเลขศูนย์4ตัวบนหน้าจอ

 เหมือนมีใครเปิดม่านที่บดบังความคิด ทำให้อัลเลย์ตื่นรู้ถึงประโยคที่ติดค้างในใจ

 

 "ใช่แล้ว โลกนี้มันดูปลอมเกินไป…นี้ไม่ใช่ความเป็นจริง" โลกนี้เหมือนส่วนประกอบแปลกๆ ที่ถูกเย็บติดชั่วคราวเพื่อเหตุผลอะไรบางอย่าง ทุกอย่างต่างก็ไม่เคยมีตัวตน เป็นแค่สิ่งสมมุติที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น

 ใครที่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้?

 แล้วโลกที่แท้จริงคือที่ไหน?

 มันคือฝันร้ายนั้นหรือเปล่า…

 หากแค่เพียงคิดได้ไม่นาน ร่างกายก็ไม่อาจรับภาระได้ไหวอีกต่อไป อัลเลย์เลือกที่จะปล่อยสิ่งที่ค้างคาเหล่านั้นทิ้งไปแล้วเลือกที่จะนอนหลับ

 แค่คิดว่าก่อนตายเขาได้ไขความลับของโลกก็อดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มมุมปาก การตายของอัจฉริยะมักจะน่าจดจำเสมอถึงอัจฉริยะคนนี้จะเป็นแค่คนธรรมดาและตายบนพิซซ่าก็ตาม

 นอนหลับไปในค่ำคืนที่ถูกย้อนด้วยสีสันแห่งนิรันดร์

 

 

 กลิ่นไม้อับชื้น กลิ่นเค็มของทะเล และการเสียดสีของผ้าเนื้อหยาบ พื้นไม้แข็งๆ ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ในครั้งนี้อัลเลย์สัมผัสได้มากกว่านั้น

 เจ็บคอจากอาการขาดน้ำ ความปวดเมื่อยตามร่างกาย และอาการระคายเคืองเล็กน้อยตามผิวหนัง

 แต่ที่ชัดเจนกว่าก็คือความรู้สึกบางอย่างที่ท่วมท้นในส่วนลึก

 นี้คืออะไร?

 มันคือความตื่นตระหนก ความตื่นเต้น หรือความใคร่รู้ก็ไม่อาจทราบได้ ที่ก่อนหน้านี้ขาดหายไปหรือไม่

 เมื่อลองขยับปลายนิ้วก็รู้สึกได้ว่าดูเหมือนครั้งนี้จะสามารถควบคุมร่างกายได้แล้ว อัลเลย์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัว

 มันคือพื้นที่ส่วนหนึ่งในท้องเรือมีสัมภาระที่ถูกห่อด้วยหนังสัตว์และลังไม้จำนวนหนึ่ง แสงบางส่วนและเศษดินเล็กน้อยที่ตกลงมาตามจังหวะการเดินของคนข้างบน เมื่อได้ลองลุกขึ้นมานั่งพิงผนังดีๆ ถึงได้รู้ว่าตัวเขานั้นมีส่วนสูงกับร่างกายที่เล็กลงผิดปกติ

 นี้…ดูเหมือนจะเป็นร่างกายเดิม

 แผลไฟไหม้ที่ด้านหลังคอก็ยังอยู่ที่เดิม ผมที่ตอนนี้ยาวถึงกลางหลังก็มีสีน้ำตาลเข้มเหมือนกัน แต่แค่มีอายุที่ลดลงไปเท่านั้น

 เมื่อคิดว่าตัวเขาที่อีกไม่กี่ปีจะอายุ30ได้หดตัวเองกลับไปร่างเด็กอายุ14-15ปีอีกครั้งคล้ายเรื่องยอดนักสืบสักเรื่อง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีรสขมในคอ

 

 เรือขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้ทั้งหมดแบบนี้หายากมากในยุคเดิม ถ้าหากจะเจอก็คงจะไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์กันหมด

 ตอนนี้อัลเลย์อยู่ภายในกรงเหล็กของเรือที่ประตูถูกล๊อกไว้อย่างดี เป็นพื้นที่ที่ดูเหมือนจะทำไว้เพื่อคุมขังคนโดยเฉพาะ แบ่งด้านซ้าย2ห้องด้านขวา2ห้องหันหน้าเข้าหากัน

 ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ตนไปทำอะไรจนต้องถูกขังอยู่ในนี้ แต่ดูจากสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองเปรียบเทียบกับอีกคนก็เหมือนจะดูดีกว่ามาก

 ห้องขังตรงข้ามอัลเลย์มีหญิงสาวท้องแก่คนหนึ่งกำลังร้องเพลงอยู่ เป็นเสียงที่มักได้ยินแว่วมาทุกครั้งในความฝันและมักเลือนรางเกินกว่าจะเข้าใจ หากแต่ในคราวนี้อัลเลย์สามารถเข้าใจเนื้อหาของเพลงได้ครบถ้วน

 มันเป็นเพลงกล่อมเด็กนี้เอง ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย

 เมื่อเปรียบเทียบกับอัลเลย์ที่สวมชุดคลุมยาวพอดีตัวสีดำ แขนเสื้อยาวและติดกระดุมจนถึงคอ ปลายชุดที่ยาวถึงข้อเท้าด้านหน้าถูกตัดยาวจนถึงช่วงน่องซ้ายขวา มีลวดลายมากมายปักตามเสื้อให้ดูหรูหรา ภายใต้ชุดก็มีกางเกงฮาเร็มสีขาวกับรองเท้าผ้าเรียบๆ ใส่อีกที

 แถมเขายังมีผ้าคลุมอีกผืนเพื่อให้ความอบอุ่นอีกต่างหาก

 แต่หญิงสาวท้องแก่ตรงหน้ากลับได้ใส่แค่เสื้อเนื้อเลวที่ปัจจุบันน่าจะเอาไว้ทำกระสอบมากกว่าใช้สวมใส่

 หล่อนมีใบหน้าที่ถึงจะดูธรรมดาแต่ก็สะอาดน่ามองปากนิดจมูกหน่อย คิ้วและดวงตาดูใจดี มีผมสีน้ำตาลอ่อนและตาสีเขียว เสียงของเธอไม่ได้ใสแบบนกไนติงเกลแต่ก็อบอุ่นเหมือนออกมาจากหัวใจ

 เมื่อละความสนใจจากหญิงสาวก็ถึงได้สังเกตว่าเขามีเพื่อนร่วมห้องด้วยอีกคน

 เป็นเด็กชายอายุราว7-8ขวบ ผิวคล้ำ ผมสีดำมัดเป็นเปียยาวถึงเอว ดวงตาสีดำ สวมเสื้อผ้าคล้ายอัลเลย์แต่ดูเรียบง่ายกว่า หน้าตาดูดีจนอดเผลอมองไม่ได้ดวงตากลมโตมีริมฝีปากสุขภาพดีและไขมันเด็กตรงแก้ม

 หากแต่ดวงตากลับมืดมิดราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดเหมือนกับสามารถมองเห็นความจริงทุกอย่างของโลกได้ด้วยดวงตาคู่นั้น

 เด็กคนนั้นนั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมห้อง คอยจ้องมองอัลเลย์ตลอดตั้งแต่ก่อนตื่น เจ้าตัวดูเหมือนจะแปลกใจที่อัลเลย์สามารถสังเกตเห็นตัวเองได้แต่ก็ยังคงนั่งเงียบไม่ขยับร่างกายไปไหน

 "สวัสดี คุณต้องการผ้าผืนนี้มั้ย" เสียงอัลเลย์แหบแห้งเล็กน้อยจากการไม่ได้พูดมานาน

 ถึงจะดูเหมือนเป็นตอนกลางวันแต่ก็หนาวเหน็บอย่างน่าประหลาด ดังนั้นเมื่อเทียบกับอัลเลย์และเด็กชายอีกคนที่สวมชุดแขนขายาวครบชุด หญิงสาวห้องตรงข้ามที่สวมชุดเดรสสั้นๆ แถมยังท้องแก่อยู่ดูเหมือนจะต้องการสิ่งนี้มากกว่า

 เธอดูแปลกใจก่อนจะส่งรอยยิ้มที่สวยงามมาให้

 "ฉันมีเชื้อสายของยักษ์อยู่ดังนั้นมันไม่ได้หนาวขนาดนั้น แต่ว่าคุณนอนเก่งมากเลยนะ ฉันไม่เคยเห็นใครนอนเยอะขนาดนั้นมาก่อน"

 "…" ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกได้ว่าสายตาจ้องมองของเด็กชายข้างๆ ดูเหมือนจะร้อนแรงมากขึ้น

 รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลจากหน้าผากในวันที่หนาวเหน็บ ถ้าหากสายตาสามารถแทงคนตายได้ตอนนี้ศพของเขาอาจมีรูพรุนไม่ต่ำกว่า30แผล

 "คุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าพอจะรู้รึเปล่าว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน" เธอทำหน้ามึนงงสักพักก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าผู้ชายคนนี้หลับตลอดตั้งแต่ขึ้นเรือ

 "โอ้ ตอนนี้เราอยู่บนเรือแอสตราลิส กำลังเดินทางข้ามทะเลดำไปยังดินแดนแห่งความหวัง ตามการชี้นำของเทพแห่งนิรันดร์"

 "เทพแห่งนิรันดร์…"

 "ดูเหมือนคุณจะเป็นชนกลุ่มน้อยที่นับถือเทพองค์อื่นซินะ น่าเสียดายที่ไม่สามารถไปเยี่ยมชมโบสถ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนได้อีก ชนกลุ่มน้อยที่ได้ชมที่นั่นต่างก็หันมาศรัทธาในเทพแห่งนิรันดร์เนื่องจากความดีงามของพระองค์"

 "ผมไม่เคยไปที่ไหนเลยนอกหมู่บ้าน คุณพอจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทพแห่งนิรันดร์ให้ฟังได้มั้ย"

 เธอยิ้มอย่างมีความสุขและตอบรับด้วยความยินดี ดูเหมือนที่ผ่านมาการอยู่ในเรือกับคนที่นอนโคม่ากับเด็กที่ไม่เข้าสังคมนั้นทำให้หล่อนเหงาไม่น้อย

 นอกจากเรื่องเกี่ยวกับเทพแห่งนิรันดร์ก็ยังมีเรื่องอื่นๆ มากมายในโลกภายนอกที่เล่าให้ฟัง บางทีในความคิดของหญิงสาวที่กำลังจะเป็นแม่คน ชายหนุ่มห้องตรงข้ามอาจจะเป็นเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ไม่เคยรู้จักโลกมาก่อน

 เรือลำนี้ชื่อว่าแอสตราลิส ทั้งเธอและคนอื่นๆ มาจากอาณาจักรธัมไฮล์ที่กำลังเกิดสงครามอยู่ แล้วออกจากฝั่งมาได้8วันแล้ว

 "…" คนที่หลับไป71วันหรือมากกว่านั้น แถมในโลกนี้ยังมีสงครามอีกต่างหาก

 

 ผู้คนที่นี่เห็นการหลับ71วันเป็นเรื่องปกติรึเปล่านะ แต่ร่างกายนี้ก็ดูเหมือนไม่มีอาการเจ็บป่วยใดๆ นอกจากความปวดเมื่อยตามร่างกายเพราะนอนบนพื้นไม้แข็งๆ

 โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์และเทพเจ้า การต่อสู้และสงครามของผู้ทรงอำนาจเหล่านั้นต่างส่งผลต่อมนุษย์ตัวเล็กจำนวนมาก

 ดังนั้นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแออย่างมนุษย์จึงพึ่งพาและรักในเทพที่คอยปกป้องพวกเขา เทพแห่งนิรันดร์ที่ธัมไฮล์นับถือเป็นหลัก จ้าวแห่งพันธสัญญา เทพพระอาทิตย์ มารดาแห่งชีวิตของเอลฟ์ นั้นคือสิ่งมีชีวิตระดับเทพที่เธอรู้จัก

 อัลเลย์รู้สึกว่าชื่อโบสถ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนน่าจะเหมาะกับเทพพระอาทิตย์มากกว่า แต่ก็เลือกที่จะเงียบและคิดแค่ในใจเพราะไม่งั้นมิตรภาพแสนสั้นนี้อาจหายไปอย่างรวดเร็ว

 เทพแห่งนิรันดร์นั้นเป็นผู้นำแห่งเผ่าพันธ์มนุษย์มาแต่ช้านาน ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแออย่างมนุษย์สามารถอยู่รอดมาได้นานจนถึงตอนนี้

 เธอยังเล่าอีกว่าในอดีตอันนานมาแล้วนั้นมนุษย์เคยถูกปกครองโดยยักษ์มาก่อน แต่สุดท้ายมนุษย์ก็ถูกปลดปล่อยโดยเทพแห่งนิรันดร์จากการกดขี่ของยักษ์

 "จ้าวแห่งพันธสัญญา ท่านเป็นเทพไม่กี่องค์ที่อยู่ฝั่งมนุษย์"

 นอกนั้นก็เล่าเกี่ยวกับทุ่งหญ้าวินด์ฮาร์ฟที่เปล่งประกายราวกับทองคำเมื่อต้องแสงอาทิตย์เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของทวยเทพ ถนนที่ยกสูงขึ้นเรื่อยๆ บิดเป็นเกลียวและลอยอยู่บนอากาศโดยไร้แรงโน้มถ่วงโดยที่ปลายสุดนั้นมีโบสถ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนตั้งอยู่ชื่อว่าบันไดสู่วัลฮัลล่า หรือน้ำตกกลางอาณาจักรธัมไฮล์ที่ตกย้อนขึ้นสู่ท้องฟ้าทำตัวตรงข้ามกับแรงโน้มถ่วง

 ช่วงท้ายก็เล่าเกี่ยวกับเทศกาลก่อตั้งอาณาจักร อาหารขึ้นชื่ออย่างพายซินนาจาที่น่าจะเป็นผลไม้คล้ายพวกตระกูลเบอร์รี

 แล้วมาถึงทะเลดำทะเลที่มีน้ำสีดำสนิทจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง มีตำนานเล่าว่าเป็นทะเลแห่งความตายที่ผู้ที่ล่องเรือไปจะไม่มีทางได้กลับมาอีก

 "…ว้าว"

 แต่ตอนนี้พวกเราก็กำลังอยู่ในทะเลดำไม่ใช่เหรอ?

 "ฉันต้องขอโทษด้วยนะ ในฐานะคนชนชั้นต่ำเลยรู้เรื่องอยู่แค่เล็กน้อย เรื่องพวกนี้ส่วนใหญ่คนอื่นๆ ก็เล่าต่อกันมาอีกที อย่างโบสถ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนฉันก็ไม่เคยไปที่นั่นเหมือนกัน"

 "คนชนชั้นต่ำ…นั้นสินะเราพูดคุยกันมานานแต่ก็ยังไม่รู้จักชื่อกันเลย ผมชื่อ อัลเลย์ อาโดนิส ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรหรือครับ"

 เธอทำหน้าตกตะลึง ก่อนที่หญิงสาวจะส่งยิ้มอย่างสบายใจราวกับสิ่งที่พูดออกมาเป็นเรื่องปกติทั่วไป รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกแดนดิไลออนในฤดูใบไม้ผลิ

 ทั้งที่รอยยิ้มงดงามขนาดนั้นแต่ในใจของอัลเลย์กลับเริ่มรู้สึกไม่ดี

 "ฉันชื่อ ฮาโมนี่ เป็นทาสของท่านผู้เชี่ยวชาญเอ็ดวิน"

 ในตอนนั้นอัลเลย์ถึงได้ตระหนักว่าตนนั้นกำลังอยู่ในฝันร้ายที่ป่าเถื่อนและงดงาม ในยุคที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีพลังระดับเทพและมนุษย์ที่ต้องการการคุ้มครองและความแข็งแกร่ง

ในยุคที่ดูล้าหลังและปลาใหญ่กินปลาเล็กแบบนี้การมีทาสคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 

 "ชนเผ่าของคุณคงจะอยู่ห่างไกลการรับรู้ซินะ ฉันแปลกใจตั้งแต่ที่คุณพูดสุภาพกับฉันแล้ว ไหนจะเรื่องที่มีนามสกุลอีก คุณคงจะเป็นคนที่มีฐานะในเผ่าใช่มั้ยล่ะ"

 "ผู้คนทั่วไปไม่มีนามสกุลกันเหรอครับ" อัลเลย์รู้สึกว่าเธอเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น เริ่มเอนตัวสบายๆ และพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน

 "ใช่แล้วมีแค่ผู้คนจากตระกูลชนชั้นสูงกับเหล่าผู้วิเศษที่จะได้รับนามสกุลจากเทพแห่งพันธสัญญา"

 "ทาสที่มีเชื้อสายยักษ์แบบฉันไม่มีทางมีนามสกุลได้หรอก ถึงจะให้กำเนิดบุตรของผู้วิเศษก็ตาม"

 "คุณฮาโมนี่ผู้วิเศษคืออะไร" อัลเลย์ที่เลือกโรลเพลย์เป็นคนในชนเผ่าที่อยู่ในส่วนลึกของภูเขาผู้ห่างไกลความเจริญและข่าวสาร พร้อมทำเป็นไม่สนใจสายตาที่เหมือนกำลังมองคนพิการทางสมอง

 "ชนเผ่าของคุณอยู่รอดมาได้ยังไง…"

 

 จากการเล่าของฮาโมนี่ ผู้วิเศษ คือผู้ที่ถูกเลือกโดยเทพเจ้าทำให้มีพลังวิเศษเป็นผู้ใช้มนตรา มีพลังแกร่งกล้าเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไป อย่างเอ็ดวินที่เป็นเจ้าของฮาโมนี่ก็เป็นผู้วิเศษระดับผู้เชี่ยวชาญ

 ไม่ใช่ทุกคนที่โชคดีพอที่จะกลายเป็นผู้วิเศษได้ หล่อนเล่าว่าไม่ว่าจะการตื่นของพลังลำดับชั้นที่สูงกว่าหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับผู้วิเศษนั้นต่างก็เป็นความลับ เป็นข่าวสารที่มีการควบคุมจากส่วนกลาง

 ชนเผ่าต่างๆ ที่ไม่ต้องการพึ่งพิงอาณาจักร เพื่อที่จะสามารถอยู่รอดในโลกที่โหดร้ายนี้ชนเผ่าเหล่านั้นจะต้องมีผู้วิเศษระดับสูงเป็นผู้คุ้มครอง

 ดังนั้นการที่อัลเลย์ไม่รู้จักผู้วิเศษจึงเป็นเรื่องน่าแปลกเหมือนกับมนุษย์ที่ไม่รู้จักโทรศัพท์มือถือ

"ในเรือลำนี้ท่านเอ็ดวินเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นฉันที่เป็นทาสของท่านเอ็ดวินจึงไม่มีใครมารังแก"

 ดูจากการแต่งกายและที่อยู่ของฮาโมนี่ก็รู้ได้ว่าดูเหมือนเอ็ดวินจะไม่ได้มีความรักต่อเธอมากมายขนาดนั้นจึงได้มาลงเอยอยู่ในกรงตรงข้ามอัลเลย์ และเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะไม่รู้ที่มาของตนว่าเด็กชายที่มาจากชนเผ่าที่ห่างไกลความเจริญนี้ถูกนำขึ้นเรือมาทำไม

 

 จนสุดท้ายนอกจากการบ่นเรื่องธรรมดาๆ ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก ทั้งสองพูดคุยกันเรื่อยๆ จนมีเสียงกลอนดังจากประตู

 ฮาโมนี่กับอัลเลย์เงียบลงก่อนเจ้าของเสียงจะปรากฏตัวให้พวกเขาเห็น

 เป็นแค่ผู้หญิงที่มีหน้าตาสวยงามมีผมสีทองตาสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าเรียวมีคิ้วที่เรียวตรงดูเคร่งขรึมและเที่ยงตรง

 การแต่งกายของเธอนั้นดูดีกว่าฮาโมนี่มาก เป็นชุดผ้าฝ้ายแขนสั้นสีขาวติดกระดุมถึงอก และใส่กางเกงยาวสีดำรัดรูปอวดรูปร่างอันสวยงาม ตรงเอวก็มีดาบยาวดูดี2เล่มพร้อมปลอกดาบสีดำเรียบหรูเหน็บอยู่

 หล่อนเลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นอัลเลย์ตื่นอยู่ เธอเหลือบมองไปที่ฮาโมนี่ก่อนจะเดินไปนำสัมภาระตามเป้าหมายแล้วกลับไปอย่างสงบ

 

 "ท่านนั้นคือท่าน มิลาด้า กูล จากตระกูลกูล ฉันไม่เคยได้ยินตระกูลนี้มาก่อน แต่เธอมาที่นี่ก่อนที่เรือจะออก แล้วมอบจดหมายบางอย่างให้ท่านเอ็ดวินแล้วดูเหมือนพวกเขาจะมีปากเสียงกัน…" ฮาโมนี่เป็นผู้หญิงที่รักในการเม้าท์มอยจริงๆ

 หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกนอกจากคุณลุงที่มีหนวดเคราและหัวที่ใสสะอาด พร้อมกล้ามที่น่าจะสามารถบีบแตงโมแตกได้

ฮาโมนี่บอกว่าลุงคนนั้นมีชื่อว่าเลียม เป็นคนที่จะนำอาหารมาให้เธอเสมอ เขาเคยเป็นคนสามัญชนมาก่อนก่อนที่จะกลายเป็นผู้วิเศษในภายหลัง

 น่าแปลกที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ลงมาที่นี่ต่างก็ไม่พูดอะไรเลยพวกเขาเลือกที่จะทำภารกิจของตัวเองและจากไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่เลียมก็เลือกที่จะจ้องมองพื้นตลอดไม่มองมาที่พวกเขาด้วยซ้ำ

 

 จิตใจที่แจ่มใสนำมาซึ่งสมาธิและการมองเห็นอันยอดเยี่ยม อัลเลย์ยังแอบเห็นมือที่อ่อนนุ่มของมาลินด้าที่ดูไม่เหมือนผู้ที่เคยฝึกฝนในวิชาดาบ แม้แต่เลียมก็ยังมีผิวที่ใสและสวยงามจนหญิงสาวในโลกก่อนต้องอิจฉา

 บางทีการเป็นผู้วิเศษอาจทำให้มีผิวสวย

 สิ่งที่เลียมนำมาให้อัลเลย์นั้นเป็นอาหารที่ประกอบด้วยขนมปังที่ไม่ได้นุ่มแต่ก็ดีมากในสถานการณ์แบบนี้ สเต๊กที่ทำมาจากเนื้อปริศนา ผลไม้เล็กสีแดงมีขนาดประมาณผลส้มชื่อซินนาจาจำนวนสองลูก และเหยือกน้ำที่น่าจะมีน้ำประมาณ1.5ลิตร ซึ่งดูดีมากจนน่าประหลาดใจเมื่อเทียบกับฮาโมนี่ที่มีเพียงขนมปังกับซินนาจา1ลูกและน้ำ1แก้ว

 ดูเหมือนตัวตนนี้จะพอมีสถานะบางอย่างบนเรือลำนี้

 "อัลเลย์ทำไมเจ้าถึงได้อาหารดีขนาดนั้นกัน" อัลเลย์ที่ทนสายตาร้อนแรงจากอีกฝั่งไม่ไหวจึงได้มอบซินนาจาทั้ง2ผลให้กับเธอ โดยคิดในใจว่าถือเป็นค่าตอบแทนต่อข้อมูลที่มอบให้ตลอดมา

 ดูเหมือนการรับสิ่งของของฮาโมนี่จะดีเกินคาดหรือพลังแห่งความหิวโหยมอบพรวิเศษ ทำให้เธอไม่เคยปล่อยซินนาจาลูกไหนตกถึงพื้นเลยเมื่ออัลเลย์โยนไป

 

 น่าแปลกที่ดูเหมือนตลอดที่ผ่านมานอกจากตัวอัลเลย์แล้ว คนอื่นๆ ไม่ว่าจะฮาโมนี่ มิลาด้า หรือเลียมต่างก็ดูเหมือนจะไม่สามารถมองเห็นเด็กชายที่อยู่ข้างเขาได้ราวกับว่าเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่

 บางทีเด็กคนนี้อาจเป็นผู้วิเศษและอาจมีระดับที่ไม่ธรรมดาจนสามารถลอบเข้ามาในเรือลำนี้ได้ เมื่อดูจากการแต่งกายและการที่เลือกที่จะมาอยู่ในห้องขังเดียวกัน

 ก็พอจะอนุมานได้ว่าตัวตนในโลกนี้กับเด็กคนนี้ดูเหมือนจะรู้จักกัน แม้จะมีจุดประสงค์อื่นอันใดก็ไม่อาจทราบได้

 แต่ก็เลือกที่จะเมินเฉยเรื่องนี้ไป ขอแค่รู้ว่าเราทั้งคู่ไม่ได้เป็นศัตรูกันก็พอ

 เนื่องจากเลียมนำอาหารมาแค่ในส่วนของอัลเลย์และฮาโมนี่ ดังนั้นเขาได้จึงเลือกที่จะหลบซ่อนขนมปังและน้ำบางส่วนจากสายตาของฮาโมนี่ เพื่อหวังผูกมิตรกับผู้วิเศษท่านนี้

 เมื่อเหลือเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่ลอดผ่านจากแผ่นไม้ข้างบน อัลเลย์จึงได้เตรียมพร้อมจัดเตรียมพื้นที่สำหรับการพักผ่อนด้วยความสบายใจ

 ในที่สุดก็จะได้นอนแบบสบายๆ ซะที

 ในเมื่อเข้ามาในโลกแห่งฝันร้ายแล้ว ดังนั้นก็หมายความว่าสุขภาพการนอนที่ดีของตนจะกลับคืนมา

 ก็ในเมื่ออยู่ในฝันร้ายก็แปลว่าจะไม่ฝันอีกใช่มั้ย?

 ปล่อยจิตใจการรับรู้และสติให้ล่องลอยไปในความมืดท่ามกลางเสียงคลื่นและเพลงกล่อมเด็กภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน

 

 จนในเวลาใดที่ไม่อาจทราบได้เด็กชายคนนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าหาอัลเลย์ ก่อนจะจัดแจงผ้าห่มให้มิดชิดเพื่อป้องกันความหนาวเย็นยามค่ำคืน

 นี้คือผ้าที่อุตส่าห์ทำมาเพื่อท่าน จะไปมอบให้ทาสคนอื่นได้ยังไง

 ใช้ดวงตาสีดำไร้ก้นบึ้งจ้องมองไปยังชายหนุ่มผู้หลงไปในห้วงแห่งนิทรา ก่อนจะกลับไปยังที่ประจำของตนก็สะดุดตาเข้ากับขนมปังและน้ำในเหยือกที่เหลืออยู่

 "…"

 

 เป็นการนอนหลับสบายที่ไม่ได้มีมาแสนนาน ถึงพื้นจะแข็งกับหนาวไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่ฝันอะไรอีก

 เมื่อดูฮาโมนี่ที่แข็งแรงสุขภาพดี เปรียบเทียบกับตัวเองที่ถึงจะมีผ้าคลุมก็ต้องนอนตัวสั่นทั้งคืน

 ดูเหมือนยักษ์จะทนหนาวได้ดีจริงๆ

 มองไปยังขนมปังและน้ำที่หายไปจนหมด ก่อนจะแค่แอบคิดในใจว่าดูเหมือนเด็กคนนี้จะหิวน้ำมาก...