Chapter 6 - บทที่ 6 ความปรารถนา

เพราะตอนกลางคืนของที่นี่นั้นเต็มไปด้วย เลือด สัตว์ประหลาด และการต่อสู้ ตอนกลางวันที่เงียบสงบก็เลยเป็นช่วงที่สงบสุขที่สุดของคนบนเรือ อัลเลย์นั่งแทะปลาซาร์ดีนย่างเกลือ พร้อมมองไปยังกลุ่มคนบนเรือที่กำลังพูดคุยพร้อมดื่มบรั่นดีกันอย่างมีความสุข

การเดินทางครั้งนี้พวกเราไม่อาจรู้ได้ว่าจะไปถึงจุดหมายตอนไหน น้ำเปล่าที่เสียได้ง่ายจึงนำมาจำนวนน้อยและสงวนไว้สำหรับบางคนเท่านั้น ผู้คนทั่วไปบนเรือแม้แต่มิลาด้ากับเอ็ดวินจะได้กินบรั่นดีที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงแทน นอกจากจะสามารถเก็บได้นานหลายเดือนบางครั้งยังสามารถนำมาใช้ฆ่าเชื้อได้ด้วย

อัลเลย์มองเครื่องดื่มสีน้ำตาลแดงด้วยความคิดลึกซึ้ง บรั่นดีแก้วนี้มีรสชาติหวาน มีกลิ่นหอมผลไม้และเครื่องเทศ คุณภาพดีจนน่าประหลาดใจ เมื่อได้ลองจิบสักครั้งก็อยากจะจิบอีกเรื่อยๆ 

ในสมัยก่อนเขาเป็นคนที่กินเหล้าหรือเครื่องดื่มมึนเมาน้อยมาก ส่วนใหญ่มักจะชอบเครื่องดื่มพวกชามากกว่า แต่ว่าตอนนี้เมื่อมิลาด้าเห็นว่าตนได้กลายเป็นผู้วิเศษแล้ว จึงไม่วายให้เขากินบรั่นดีแทนน้ำเปล่า

แต่ไม่ยักจะรู้สึกมึนเลยแฮะ

การกลายเป็นผู้วิเศษทำให้เมาได้ยากขึ้นซินะ จะนับว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียกัน

"ฮะๆ ดูสนุกดีใช่มั้ยล่ะ" มิลาด้าหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อมองไปยังกลุ่มคนข้างล่าง เขายังแอบเห็นเลียมที่กำลังแข่งงัดข้อกับคนอื่นอีกด้วย

"มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดเคยทำมาก่อน การเดินทางข้ามทะเลดำไปยังดินแดนที่ไม่รู้จัก ไม่รู้เวลา ไม่รู้ระยะทาง"

 "ผู้คนที่ขึ้นเรือลำนี้มาต่างก็พร้อมจะตายไว้แล้ว สนุกในทุกวันที่มีชีวิตเพื่อที่จะได้ไม่เสียดายเมื่อเราต้องตายไป" เธอมองไปยังทิศทางที่เรือกำลังมุ่งไปอย่างเงียบงัน ดูไม่เหมือนคนที่เคยสั่งให้ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตามาก่อน

"ทำไมอาจารย์ถึงขึ้นเรือลำนี้เหรอครับ" ฮาสารทุกข์สุกดิบนี่บอกว่ามิลาด้าขึ้นเรือลำนี้มาด้วยความตั้งใจของตัวเอง ไม่เหมือนกับเอ็ดวินที่ได้รับภารกิจมาโดยเฉพาะ

"จริงๆ แล้วฉันท้องอยู่น่ะ"

"..." อะไรวะเนี่ย

ลูกของมิลาด้ากับเอ็ดวิน?

"ใช่ ลูกของฉันกับเอ็ดวิน"

อัลเลย์ที่เกือบสำลักเหล้าคาดไม่ถึงกับคำตอบนี้มาก่อน อาจจะเพราะเขาคิดในฐานะคนปกติทั่วไปที่ว่าคงไม่มีคนท้องที่ไหนที่คิดจะขึ้นเรือลำนี้ด้วยความตั้งใจของตัวเอง

"คนท้องกินเหล้าได้ด้วยเหรอครับ"

"ก็ฉันเป็นผู้วิเศษนี้" ยามปกติหล่อนดูเป็นคนอารมณ์ดีทั่วไป เธอหัวเราะกับสีหน้าแปลกๆ ของอัลเลย์ก่อนจะจ้องมองลงไปในบรั่นดีในมือ

"นายคิดว่าทำไมพลังวิเศษของแต่ละคนถึงได้แตกต่างกันล่ะ"

"ตามตำนานเคยมีคนกล่าวไว้ว่าความสามารถพิเศษคือเงาสะท้อนถึงความปรารถนาส่วนลึกในจิตวิญญาณของคนคนนั้น ท่านอาจารย์ลาซาลาซบอกว่าการเกิดของพลังวิเศษขึ้นอยู่กับ ความปรารถนา ประสบการณ์ และบุคลิกรวมกัน"

"ทั้งสองข้อนี้มีบางอย่างที่เหมือนกันนั้นคือความปรารถนา"

"บางคนที่กลายเป็นผู้วิเศษอาจไม่เคยรู้เลยทั้งชีวิตว่าความปรารถนาของตนเองคืออะไร แต่บางคนอาจสามารถรู้ได้ตั้งแต่ก่อนจะกลายเป็นผู้วิเศษด้วยซ้ำ"

"อัลเลย์รู้มั้ยว่าทำไมพวกเขาถึงคิดว่าความปรารถนาคือที่มาของพลัง?" อัลเลย์คิดอยู่สักพักแล้วจึงตอบไปตามความคิดของตน

"เพราะมีการทดลองสำรวจที่มาของแต่ละบุคคล ตรวจสอบประวัติก่อนเป็นผู้วิเศษ เลยเห็นแนวโน้มความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง...?" มิลาด้าทำหน้าอึ้ง ก่อนจะก้มตัวลงไปหัวเราะเสียงดังอยู่บนพื้น

???

อัลเลย์ทำหน้าเหลอหลา หรือว่าคำตอบของเราจะดูโง่เกินไป?

"แฮ่ก...นี้...นี้เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินอะไรแบบนี้ แต่บางที่นายอาจจะเหมาะกับท่านอาจารย์ลาซาลาซ..."

"ความจริงมันง่ายกว่านั้นมาก" หล่อนล้มลงนั่งพิงราวระเบียง ยกเหล้าขึ้นมาซดหนึ่งอึก

"ความจริงคือยิ่งระดับสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งจมไปในความรู้สึกหรือความปรารถนานั้นมากเท่านั้น ยิ่งทำให้บ้ามากขึ้น จนถึงจุดหนึ่งที่ละทิ้งซึ่งจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ไป"

"จมไปในความรู้สึกและความปรารถนา?"

อัลเลย์กุมคางพร้อมครุ่นคิดอย่างจริงจัง หากโลกนี้มีความเกี่ยวข้องกับเลิฟคราฟท์ พวกเรื่องที่เกี่ยวกับการทำให้เป็นบ้าหรือค่าสติอะไรพวกนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมายจนเกินไป

"แล้วเรื่องนี้เกี่ยวกับการท้องตรงไหนเหรอครับ" ยิ่งคุยกันมากขึ้นเขาก็เผลอพูดสบายๆ กับมิลาด้าโดยไม่รู้ตัว เธอยิ้มตอบรับมาให้

"เพราะว่าการมีลูกถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดอาการการครอบงำของพลังวิเศษได้ จริงๆ มีเหตุผลอื่นอีกแต่ตอนนี้นายไม่ต้องรู้หรอก"

"การมีลูกช่วยลดอาการครอบงำของพลังวิเศษ?" โลกของผู้วิเศษเต็มไปด้วยเรื่องแปลกประหลาดมากมายจนทำให้อัลเลย์สับสน

"ฉันไม่รู้เหตุผลหรอกนะว่าทำไม แต่มันเป็นวิธีที่ใช้ได้จริง"

"แต่ก็มีบางคนที่ไม่สนการครอบงำของพลังวิเศษจะเรียกว่าพวกบ้าก็ได้ ถ้าไปเจอคนแบบนี้ในอนาคตก็อยู่ให้ห่างเชียว"

"เข้าใจแล้ว" จู่ๆ อัลเลย์ก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา และมีอาการตากระตุกทั้งสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ

"อะไร? ตากระตุกงั้นเหรอ"

"สงสัยจะพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะครับ" ไม่นานอาการพิลึกนั้นก็หายไป แต่ในใจเขาก็ยังรู้สึกไม่ดีราวกับมีบางอย่างที่พลาดไป

สุดท้ายก็พึ่งมานึกได้ทีหลังว่ามิลาด้ายังไม่ตอบคำถามตนเกี่ยวกับเหตุผลในการขึ้นเรือลำนี้

ความสามารถในการเปลี่ยนเรื่องนับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจเพราะดูเหมือนเธอจะไม่อยากตอบคำถามนี้ของเขาเท่าไหร่

มิลาด้าเธอไม่ได้สอนการใช้ดาบให้อัลเลย์ แต่สิ่งแรกที่หล่อนทำคือ การอ่าน เขียน ดูแผ่นที่ การใช้เข็มทิศ หน้าที่ต่างๆ บนเรือ เขายอมรับการสอนของเธออย่างเต็มใจ ยังไงซะตอนนี้เราก็อยู่บนทะเล การเรียนรู้เรื่องพวกนี้ก็คงจะไม่เสียอะไรใช่มั้ย? 

มันทำให้นึกถึงนิยายการผจญภัยในทะเลที่เขาเคยอ่านมา พอได้มาลองอยู่บนเรือจริงๆ กลับน่าตื่นเต้นมากกว่าการอ่านร้อยเท่า

ภาษาธัมไฮล์เป็นภาษาที่คล้ายภาษาอังกฤษจนน่าแปลกใจ แต่ก็มีบางอย่างที่แตกต่างเช่น สระ และการออกเสียงตัวศัพท์เฉพาะทางบางคำ

นอกจากนี้ยังพบว่าโลกนี้มีกลุ่มดาวที่มีชื่อแปลกประหลาดแตกต่างจากโลกเก่า แต่ก็พอมีดาวที่ชื่อคุ้นเคยอย่างดาวเหนือและดวงจันทร์สีเหลืองรูปกระต่าย

"ดูเหมือนอัลเลย์จะมีพรสวรรค์ในเรื่องดวงดาวนะ บางทีถ้าตอนนี้อยู่ที่ธัมไฮล์ นายน่าจะสามารถเข้าร่วมกลุ่มสมาคมดาราศาสตร์ได้เลยนะเนี่ย"

"ขอบคุณครับ"

ดูเหมือนโลกแห่งฝันนี้จะมีหลายอย่างที่เชื่อมโยงกับโลกเก่าของเขา บางทีตนอาจจะได้เจอคนที่ข้ามมาโลกนี้เหมือนกันในอนาคตก็เป็นได้ 

ในตอนกลางคืนก็เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกโลกหนึ่ง มิลาด้าและเอ็ดวินเลือกที่จะปล่อยให้อัลเลย์อยู่ในห้อง เฝ้ามองเหตุการณ์เลือดสาดข้างนอกอย่างเงียบเหงา ในยามนี้บนเรือจะไม่มีการจุดไฟใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อลดความเป็นไปได้ทั้งหมดในการล่อสัตว์ประหลาดมาเพิ่ม

เมื่อได้มามองจากมุมนี้อัลเลย์ก็ได้เห็นที่มาของสิ่งมีชีวิตพวกนั้น เมื่อแสงอาทิตย์หายไปจากขอบฟ้า พวกมันก็ขึ้นมาจากน้ำทะเลปีนป่ายตามเรือ พวกนกสีสันสดใสที่เคยเห็นมาก่อนก็บินพุ่งทะยานขึ้นมาจากน้ำทะเลมืดมิด

พวกมันใช้ดวงตาสีแดงหลายคู่นั้นจ้องมองไปรอบๆ มองหาเหยื่อที่ต้องตายในวันนี้

ไม่รู้ว่าตอนนี้ฮาโมนี่จะเป็นอย่างไรบ้าง จะยังคงนอนหลับลึกเหมือนเดิมมั้ย

อัลเลย์เล่นกับกุญแจในมือ พลิกไปมาซ้ายขวา เจ้ากุญแจนี้ก็แปลกมาก ตอนไหนที่คิดถึงมัน มันก็จะมาปรากฏอยู่ในมือเขาเสมอ หากครั้งไหนที่ไม่สนใจ มันก็หายไปเหมือนกับไม่เคยมีอยู่

นี้คือพลังของเรางั้นเหรอ อัลเลย์ลองที่จะเอามันไปจิ้มตรงนู้นที ตรงนี้ที ก็ทำให้เขาทราบว่านอกจากสิ่งที่มีรูกุญแจแล้ว สิ่งที่เหลือก็ไม่สามารถใช้ได้อีก อัลเลย์เหลือมองกล่องที่เก็บเหรียญแห่งคธูลูเจ้าปัญหา แต่ก็เลือกที่จะรีบลบความคิดชั่วร้ายนั้นอย่างรวดเร็ว

"ความสามารถของแต่ละบุคคลคือความปรารถนาสูงสุดภายในจิตใจ บางคนทั้งชีวิตก็อาจจะไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงได้พลังวิเศษแบบนั้น" ประโยคที่คุ้นเคยดังขึ้นมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันมาจากเอ็ดวิน ใช้แล้วตอนนี้อัลเลย์อยู่ในห้องของเขา

อัลเลย์มองออกไปข้างนอก เห็นได้ถึงแสงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่องต้อนรับวันใหม่ ตั้งแต่ได้กลายเป็นผู้วิเศษเขาก็ไม่ค่อยรู้สึกง่วงยามดึกอีกต่อไป ดูเหมือนการกลายเป็นผู้วิเศษจะสามารถยกระดับความสามารถทางกายไปด้วย อย่างตอนนี้ตัวเขาก็ยังไม่เคยเห็นเอ็ดวินกับมิลาด้าได้นอนเลยสักครั้ง

อัลเลย์เบียดตัวไปอยู่มุมหนึ่งของเตียง ห้องของเอ็ดวินตกแต่งได้เรียบง่ายจนเขาแปลกใจ มีเพียงเตียง โต๊ะ เก้าอี้ เอกสารต่างๆ ตอนนี้ก็มีเตียงอีกอันที่ถูกยกเพิ่มมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ทำให้ลดความเกร็งของอัลเลย์ได้นิดหน่อยที่ไม่ต้องนอนเตียงเดียวกันเจ้าตัว

"นั้นเป็นคำบอกเล่าที่ได้ยินมาตลอดในอาร์คานัม แต่เอาจริงๆ ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเกณฑ์ในการตัดสินของพลังวิเศษคืออะไร"

"ข้ารู้จักคนที่มีพลังคล้ายกัน แต่พวกเขากลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน บางคนที่ดูจะเหมือนกันเกือบทุกอย่างแต่พลังกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว" เอ็ดวินเช็ดดาบเล่มใหญ่ของตน ที่ถึงจะไม่เห็นคราบอะไรอีกเนื่องจากถูกเผาไหม้ไปด้วยแสงอาทิตย์ แต่เจ้าตัวก็ยังคงดูแลมันอย่างดี

"บางทีคนที่รู้ความจริงก็คงจะมีแต่เทพเท่านั้น"

"อาร์คานัมคืออะไรงั้นเหรอครับ" อัลเลย์ถามกลับอย่างสุภาพ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

"อาร์คานัม ออร์เดอร์ คือกลุ่มที่ประกอบไปด้วยผู้วิเศษเป็นแกนหลักของธัมไฮล์ทำหน้าที่ทั้งการบริหารและกองกำลังทหาร ทำให้มนุษย์ยังสามารถอยู่รอดได้จนถึงตอนนี้" เอ็ดวินพูดด้วยความภูมิใจ

อัลเลย์มองไปยังกุญแจในมือพร้อมครุ่นคิดไปด้วย ความปรารถนาของเขาคืออะไร มีบางอย่างที่ตนอยากจะเปิดรึเปล่านะ 

"ออกไปหาอะไรกินซะ มีเรื่องอีกมากที่แกต้องเรียนรู้" เอ็ดวินลุกขึ้นไปหยิบเอกสารต่างๆ ที่ตนต้องการ ในเมื่อเจ้าของออกตัวไล่ขนาดนี้ อัลเลย์ก็เลือกที่จะยอมออกไปแต่โดยดี

ร่องรอยความเสียหายและผู้คนบาดเจ็บจำนวนมากอยู่ทั่วเรือลำนี้ ถึงซากศพของเจ้าพวกนั้นจะถูกเผาจนไม่เหลืออะไรอีก แต่ศพของมนุษย์บนเรือนั้นก็ยังคงเหลืออยู่

เมื่อวานการได้เดินไปรอบเรือพร้อมมิลาด้าทำให้ตนได้รู้จักกับผู้คนมากมาย รวมถึงหญิงสาววัยรุ่นที่แสนสดใสคนหนึ่ง เธอเป็นผู้ช่วยของคุณป้าที่ดูแลเรื่องอาหาร อัลเลย์มักเห็นเธอคอยแจกจ่ายและเติมเหล้าในแก้วให้กับทุกคนบนเรือ

แต่ในวันนี้หล่อนกลับเหลือแค่ร่างไร้วิญญาณ เมื่อดูผ่านๆ ก็เหมือนกับเธอแค่กำลังนอนหลับอยู่เท่านั้น

จนอดทำให้อัลเลย์นึกถึงบทกวี Thanatopsis ของ วิลเลียม คัลเลน ไบรอันต์ ที่กล่าวว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ไม่ว่ายังไงตัวเราก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติในสักวัน

'ไม่ได้ไปที่ไหนทั้งนั้น แค่กลับสู่อ้อมกอดของความฝัน'

อัลเลย์นึกถึงคำพูดของไกด์ ถ้าหากในโลกเก่า มนุษย์จะชอบพูดว่าได้กลับไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ถ้าอย่างงั้นในโลกแห่งฝันร้ายนี้ก็คือการได้กลับไปสู่ในอ้อมกอดของความฝันซินะ

พวกเทพสามารถตายได้รึเปล่านะ?

ดูเหมือนสิ่งที่ถูกเรียกว่า ความฝัน จะเป็นศัพท์เฉพาะของผู้วิเศษเท่านั้น ดังนั้นฮาโมนี่ที่เป็นแค่คนธรรมดาจึงไม่รู้จักคำคำนี้ ดังนั้นการคาดคะเนที่ว่าไกด์เป็นผู้วิเศษก็ยิ่งชัดเจนไปอีก

ในเมื่อสามารถลบร่องรอยตัวเองได้ถ้าไม่เป็นผู้วิเศษแล้วจะเป็นอะไร? ผี?

ในขณะที่เขากำลังยืนคิดว่าโลกนี้น่าจะมีผีหรือไม่ เสียงเรียกเล็กๆ ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น

ฮาโมนี่เธอมาพร้อมกับจานใส่ปลาซาร์ดีน ผลไม้แห้ง ถั่ว ชีสแข็งเล็กๆ พร้อมผักดอง เมื่อเดินเรือมาได้สักพัก ผลไม้สดที่เน่าเสียเร็วแบบซินนาจาก็หมดลง เหลือแค่ของกินที่สามารถเก็บได้นานเท่านั้นที่เหลืออยู่

"ท่านอัลเลย์...นี้คืออาหารของคุณ..."

"ขอบคุณนะฮาโมนี่" ไม่ทันให้พูดถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเธอก็กลายร่างจากนกกระจอกเทศเป็นหนูวิ่งแจ้นหายไปอย่างรวดเร็ว

"โอ้..." กำลังจะถามเลยว่าช่วงนี้เป็นยังไงมั้ง

ในขณะที่กำลังนั่งกินอาหารอยู่ ดวงตาของเขาก็มองไปยังกลุ่มคนที่กำลังลากอวนอยู่ข้างเรือ วันนี้ปลาซาร์ดีนที่สามารถจับได้มีจำนวนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าอาจจะไม่มีสิ่งดีๆ แบบนี้มาให้กินอีก

วันนี้น่าแปลกที่ทุกคนดูมีความสุขมากกว่าปกติ แม้แต่ฮาโมนี่ก็ยังดูกระตือรือร้นกว่าทุกที

"วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นปกติที่ธัมไฮล์ก็จะจัดเทศกาลสถาปนาอาณาจักรวันนี้" เอ็ดวินพูดหลังจากที่เจ้าตัวขอบคุณอาหารเสร็จ เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่คนที่ดูแข็งกระด้างแบบเขาจะเป็นคนที่ใส่ใจในการกินและฆ่าสิ่งมีชีวิตต่างๆ

นอกเหนือจากสัตว์ประหลาดพวกนั้นที่เขาฆ่าโดยไม่กะพริบตา สิ่งที่เหลือไม่ว่าจะผัก ผลไม้ หรือปลาซาร์ดีน เอ็ดวินก็จะกุมมือสองข้างไว้แนบหน้าผาก พร้อมพูดขอบคุณต่อการเสียสละของสิ่งนั้น

ตั้งแต่ได้มาอยู่บนเรือลำนี้ เขาก็ได้เจอคนหลากหลายแบบที่ไม่เคยเจอในโลกเก่ามาก่อน ถ้าให้เทียบโลกเก่าที่เป็นแค่กระดาษสีขาวว่างเปล่า โลกนี้ก็เหมือนผ้าใบงานศิลปะที่เต็มไปด้วยสีสันมากมาย

แม้แต่มิลาด้าและเอ็ดวินที่นึกว่าจะเป็นคู่รักที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินปืน ก็ยังมีเหตุการณ์ที่แสดงความห่วงใยต่อกันในบางครั้ง

"วันพระจันทร์เต็มดวงคือค่ำคืนที่สงบสุขที่สุด เป็นการอวยพรของเทพแห่งนิรันดร์ที่มีต่อผู้ศรัทธาของพระองค์ ดังนั้นคืนนี้จึงจะมีการจัดงานปาร์ตี้เต้นรำกัน" มิลาด้าพูดในขณะที่กำลังค่อยๆ เคี้ยวผักดองไปด้วย 

"น่าเสียดายที่ไม่สามารถทำกองไฟเหมือนในธัมไฮล์ได้"

อัลเลย์มองไปยังขอบฟ้า ตอนนี้เป็นยามเย็นแล้ว หากเป็นวันอื่นๆ ผู้คนบนเรือก็จะเริ่มทำสีหน้าหดหู่ เศร้าหมอง เคร่งเครียดขึ้นมา อาจจะเพราะวันนี้เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและความสุข ท้องฟ้าสีส้มแดงที่มักเจอบ่อยๆ จึงดูสวยงามมากกว่าปกติ

เมื่อถึงเวลากลางคืนเขาก็รู้สึกไม่คุ้นชินนิดหน่อย ตรงที่ไม่มีเสียงต่อสู้และความโคลงเคลงจากการกระแทกของเรือเหมือนปกติ แต่เป็นเสียงดนตรีและเสียงการพูดคุยอย่างครึกครื้น

ด้วยดวงจันทร์สีเหลืองเต็มดวงบนท้องฟ้าทำให้วันนี้ถึงไม่มีแสงจากไฟแต่ก็ไม่มืดจนเกินไป เอ็ดวินโค้งตัวลงขอมิลาด้าเต้นรำท่ามกลางเสียงพูดคุยสนุกสนานรอบข้าง ฮาโมนี่ดูเหมือนจะมีเพื่อนใหม่เป็นหญิงสาววัยกลางคนที่ทำหน้าที่ในการดูแลเรื่องอาหาร ดังนั้นเธอจึงได้รับส่วนแบ่งเล็กน้อยให้พอมีความสุขไปกับเทศกาล

ถึงจะเป็นงานเทศกาลที่จะมีนานๆ ที แต่ก็ต้องกินอาหารและดื่มเหล้าอย่างประหยัดอยู่ดี

อัลเลย์จ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าจากบนสะพานเดินเรือ จิบบรั่นดีอุ่นๆ พร้อมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีดาวปรากฏมากมาย

นอกเหนือจากเชฟ และนักสืบ บางทีในอนาคตตนอาจจะเป็นนักดาราศาสตร์ได้เหมือนกัน ตรงนั้นคือดาวเหนืออยู่ในกลุ่มดาวตาชั่งสองแขน นั้นคือกลุ่มดาวอิกดราซิล และนั้นก็คือกลุ่มดาวนกฮูก

"มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจมากเลยใช่มั้ยครับ พวกเขาเดินทางไปในสถานที่ที่ดูอันตรายขนาดนี้ แต่พวกเขากลับสามารถรักษาจิตใจให้มีความสุขได้อยู่"

เหมือนกับบทกวี Death Be Not Proud ของจอห์น ดันน์ ที่กล่าวถึงความตายที่ถึงจะดูน่ากลัวแต่มันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของวงจรชีวิต แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางและแข็งแกร่งของมนุษย์ในการมีชีวิตอยู่

ไกด์จ้องมองไปยังใบหน้าของอัลเลย์ ก่อนจะมองไปฉากตรงหน้าที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีและเสียงพูดคุย

"อัลเลย์ ในมุมมองของคุณ คุณคิดว่าความหมายของคำว่ามนุษย์คืออะไร"

"เล่นของยากนะเนี่ย"

ในมุมของวิทยาศาสตร์ มนุษย์เป็นสมาชิกของโฮโมเซเปียนส์ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่วิวัฒนาการมาจากลิง แต่ดูเหมือนคำตอบที่ไกด์ต้องการจะเป็นในเชิงปรัชญามากกว่า

อริสโตเติลบอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เรอเน เดการ์ตเชื่อว่าความเป็นมนุษย์ถูกกำหนดโดยความสามารถในการคิด ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์กล่าวว่ามนุษย์ไม่มีธรรมชาติที่แน่นอน ในโลกเก่าเขามีนักปรัชญามากมายที่พูดถึงคำว่ามนุษย์ในหลากหลายรูปแบบ

"ผมคิดว่ามนุษย์คือสัตว์ที่ยังไม่สมบูรณ์ ทุกการเติบโตของมนุษย์ก็คือการก้าวข้ามข้อจำกัดทางศีลธรรมและสังคมเพื่อแสวงหาความหมายชีวิตในแบบของตนเอง"

อัลเลย์ค่อนข้างชื่นชอบมุมมองมนุษย์ของ ฟรีดริช วิลเฮล์ม นิทเช่ เป็นพิเศษ ความจริงมนุษย์นั้นก็เป็นแค่สัตว์ชนิดหนึ่งบนโลกเท่านั้น

หากมนุษย์ไม่สามารถตระหนักได้ถึงความหมายของชีวิตของตนเอง ก็จะทำได้แค่ใช้ชีวิตรอความตายไปวันๆ เหมือนผีเสื้อที่หลงทางในเขาวงกตแบบตัวเขาในตอนนี้

"..." ดวงตาของไกด์สั่นไหวด้วยอารมณ์บางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ ดูเหมือนเด็กชายคนนี้จะมองเห็นคนอื่นผ่านตัวตนของอัลเลย์

พลังวิเศษที่สะท้อนถึงความปรารถนาในส่วนลึกของตัวเอง? ดูเหมือนตัวเราก็มีเป้าหมายเหมือนกันนี้

อัลเลย์หัวเราะร่าอย่างมีความสุข ยิ่งอยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าเดิม ว่าความปรารถนาที่แท้จริงของตนคืออะไร