จะบอกว่าเหตุการณ์คริมสันคราวน์ครั้งนั้นเป็นแค่จุดเริ่มต้นก็ว่าได้ เนื่องจากนกพวกนั้นกินทุกอย่างที่ขวางหน้าดังนั้นอาหารบนเรือจึงโดนแย่งชิงไปจำนวนมาก ถังไม้บางถังก็มีร่องรอยของการรั่วซึมออกมา
แอสตราลิสเข้าสู่ภาวะควบคุมจำนวนอาหารและน้ำ อัลเลย์จ้องมองจานตรงหน้าด้วยความโศกเศร้าความแค้นที่มีต่อนกพวกนั้นเพิ่มขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว
ไม่ว่าจะความร้อน กลิ่น อาหาร และสิ่งต่างๆ บนเรือก็ทำให้เขาเต็มไปด้วยความหดหู่ เลือดของนกพวกนั้นที่อยู่บนเสื้อก็จับกันจนแข็งตัว แม้แต่ตอนนี้ปลาซาร์ดีนสักตัวในทะเลก็ไม่มีโอกาสได้เห็น
"เอาของฉันไปสักหน่อยมั้ย..." ฮาโมนี่ส่งเสียงแผ่วเบา
"ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณท้องอยู่นี่"
"แต่ว่าแผลนะ มันไม่เจ็บเหรอ" เธอมองด้วยความกังวล
"ฮะๆ สบายมาก" ขนาดตัวเขายังทึ่งเลยที่สามารถอดทนกับความเจ็บปวดได้มากขนาดนี้
ตั้งแต่ครั้งนั้นฮาโมนี่ก็เริ่มพูดคุยกับตนอีกครั้ง ทั้งคู่พูดคุยกันไปได้สักพัก อัลเลย์ถึงได้รู้ว่าปัจจุบันเธอได้อยู่อาศัยที่ห้องของลูกเรือข้างห้องซาแมนธา
เอ็ดวินก็ยังคงสวดขอบคุณอาหารอยู่เหมือนเดิม มิลาด้าก็ยังคงอยู่ตรงหน้าเรือเหมือนปกติ สภาพอารมณ์ของทุกคนบนเรือเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
สัตว์ประหลาดตอนกลางคืนก็เริ่มปรากฏพวกที่มีพลังวิเศษมากขึ้นเรื่อยๆ อนาคตดูเหมือนจะมืดมน แต่สุดท้ายเรือลำนี้ก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป
มือข้างขวาหมุนกุญแจสีทองในมือด้วยความเบื่อหน่าย อดทนต่อความรู้สึกแปลกๆ ตามผิวหนัง ตอนนี้ไม่มีน้ำเปล่าในเรือเหลืออยู่ดังนั้นทุกคนบนเรือจึงไม่ได้อาบน้ำมาสักพักแล้ว
"นั้นความสามารถพิเศษนายเหรอนะ" อัลเลย์มองไปยังเจ้าของเสียง เป็นชายวัยกลางคนที่ค่อนข้างผอมจมูกใหญ่ใบหูกว้างและมีดวงตาสดใสเป็นมิตร เขาเดินอย่างสบายใจก่อนมานั่งข้างๆ
"?"
"นี้ความสามารถของฉัน โซ่ที่สามารถทะลุวัตถุได้" ชายคนนั้นโชว์โซ่ที่ดูหน้าตาธรรมดาด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะสาธิตวิธีการใช้ด้วยการปล่อยให้ไหลทะลุลงไปใต้ท้องเรือ
"???"
คนคนนี้ชื่อแจ็คคือยามเรือที่เคยเตือนตอนคริมสันคราวน์บุกครั้งก่อน อัลเลย์มองเขาด้วยความสนใจ
อย่างที่รู้กันว่าตนเป็นคนเถื่อนที่ค่อนข้างถูกรังเกียจ ถึงจะไม่ชัดเจนเพราะเป็นลูกศิษย์ของเอ็ดวินกับมิลาด้า แต่เวลาปกติก็ไม่มีใครอยากมาพูดคุยด้วยอยู่ดี
"ให้เดาว่านายเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นใช่มั้ยละ" อัลเลย์ขมวดคิ้วแต่ชายตรงหน้ากับหัวเราะอย่างชอบใจ
"ฉันน่ะนะก็เคยมีเพื่อนคล้ายนายเหมือนกัน หมอนั้นนะชอบมองคนเหมือนอ่านหนังสือเลย"
"แล้วตอนนี้เขาเป็นยังไงเหรอครับ"
"อ๋อ ตายแล้วน่ะ"
"...ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรจะพูดกับผมรึเปล่าครับ"
"อย่าทำตัวเหมือนคนไม่มีใครคบซี้" อัลเลย์ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ชายคนนี้ดูเหมือนคนที่พูดอะไรไปก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่สามารถรับสารอะไรได้สักนิด
แจ็คกอดคอของอัลเลย์อย่างถือวิสาสะ ก่อนพูดคุยเล่าเรื่องไปเรื่อยไม่ว่าจะเพื่อนข้างบ้าน เจ้านาย ลูกชายวัย3ขวบ และภรรยาสาวสุดสวย
อัลเลย์อดทนฟังทุกอย่างจนจบ ได้แต่ทึ่งกับความสามารถในการพูดไปเรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด ดูเหมือนชายคนนี้จะเก็บกดจากอะไรบางอย่างถึงได้มาลงกับตน
ในกระเป๋าของเขามีรูปเหมือนของครอบครัวอยู่ แจ็คหยิบมันออกมาโชว์ทีละรูปด้วยความภูมิใจ ภรรยาของเขาไม่ได้สวยจนยากจะละสายตาแต่มีความรักความอบอุ่นความอ่อนโยนอยู่ในใบหน้าของเธอ ลูกวัยสามขวบส่งรอยยิ้มซุกซนอยู่ภายในรูปภาพ โดยมีแจ็คที่โอบไหล่และกอดทั้งคู่
"แล้วนายละมีคนสำคัญคนไหนที่อยากไปเจอบ้างมั้ย"
"แม่ของผม..."
"หืม? เธอเป็นคนยังไงล่ะ" แจ็คพูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เธอเป็นคนยังไง? ภายในความทรงจำที่คงเหลืออยู่น้อยนิด เขาจำได้ถึงรอยยิ้มและความอบอุ่นที่ถ่ายทอดผ่านมือของเธอมาสู่ร่างกายของเขาเท่านั้น
'อัลเลย์ วันนี้ก็ยังเป็นเด็กดีเหมือนเดิมเลยนะ'
"ใจดีและอบอุ่น"
"ฮ่าๆ ถ้างั้นก็ดีแล้วนี่" แจ็คมองไปยังภาพพวกนั้นด้วยรอยยิ้ม
"เห็นทำหน้าเบื่อชีวิตแบบนั้นก็เลยอดใจไม่ไหว ยังหนุ่มแบบนี้ยังมีอนาคตอีกเยอะรออยู่"
"เพราะงั้นพยายามอย่าตายเหมือนตอนนั้นล่ะ" เขาตบไหล่อัลเลย์อย่างแรง ก่อนจะหัวเราะพร้อมโบกมือลาก่อน
อัลเลย์มองหลังอีกฝ่ายนิ่งอึ้ง ไม่นึกว่าจะได้เจอคนประหลาดที่มาไวไปไวแบบนี้
พยายามอย่าตายเหมือนตอนนั้น?
เขานึกถึงตอนเหตุการณ์คริมสันคราวน์ที่ช่วงหนึ่งตนเกือบจะปล่อยวางในชีวิตไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่สังเกตเห็นสิ่งนี้
คลื่นความร้อนและความหิวโหยทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย ผ่านมาเกือบ2เดือนแล้วหลังจากที่เรือแอสตราลิสได้ออกเดินทาง
ไม่รู้เพราะความสามารถหรือเพราะโชคดีถึงทำให้เขารอดมาได้ถึงตอนนี้ เนื่องจากจำนวนแรงงานที่ลดลง เขาจึงได้งานใหม่ในการไปช่วยช่างใบเรือเพื่อดูแลรักษาใบเรือหลังการต่อสู้
ถึงความสามารถในการเย็บปักถักร้อยจะไม่ได้ชำนาญเท่าไหร่แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาในเรื่องเล็กน้อยแค่นี้
อะไรน่ะ
อัลเลย์สัมผัสได้ทิศทางการเคลื่อนที่ของนิวม่าที่เปลี่ยนไปในอากาศ ความชื้น รวมถึงอาการเหนียวตัวทำให้เขารู้สึกถึงเหตุการณ์บางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
"อาจารย์!! ฝน" เสียงรองอย่างตื่นเต้นดึงดูดความสนใจของทุกคนบนเรือ เอ็ดวินมองไปที่อัลเลย์นิ่งงัน ก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเพ่งสมาธิสำรวจความเป็นไปได้ต่างๆ แล้วจึงนิ่งไปอีก3วินาที
"ฝนกำลังจะมา"
ฝนตก!!
เหมือนเสียงสวรรค์สำหรับลูกเรือทุกคน ในไม่นานทุกคนก็เห็นถึงแถบเมฆสีดำหนาข้างหน้า คลื่นน้ำสีดำเคลื่อนที่รุนแรงขึ้นทำให้เรือนี้โยกไปมาชวนน่ามึนหัว
เอ็ดวินสั่งให้เก็บใบเรือและตรวจสอบความแข็งแรงของแอสตราลิส ผู้วิเศษพวกนี้ไม่เกรงกลัวพายุฝนเลยจริงๆ ถึงจะพอมีโอกาสที่สัตว์ประหลาดบางตัวจะหลุดขึ้นมา แต่ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องรีบกอบโกยผลประโยชน์จากมันสิ
เมื่อถึงเขตพายุฝนคลื่นสูง2เมตรและเมฆนิมโบสเตรตัสสีเทาเข้มข้างบนปิดกั้นแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังข้างล่าง ลมที่ไม่แรงเกินไปเสริมความสดชื่นให้กับทุกคนบนเรือ
เหล่าลูกเรือรีบนำถังน้ำที่ได้รับการซ่อมแซมแล้วมารองน้ำฝนอย่างรวดเร็ว บางคนก็รีบไปเอาสบู่ก้อนมาเพื่อทำความสะอาดตัวเองและซักผ้าไปพร้อมกันด้วย
ฮาโมนี่มองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง นี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นฝนตกกลางทะเล ไม่ใช่จากที่เคยได้ยินคนอื่นเล่ามาตลอด ถึงท้องฟ้าจะมืดครึ้มแต่ก็เป็นเหมือนแสงความหวังให้กับผู้คน
อัลเลย์ไม่รอช้ารีบไปนำสบู่ก้อนของตัวเองออกมาเช่นกัน นี้เป็นสบู่ที่เอ็ดวินมอบให้ มีกลิ่นหอมของดอกไม้และน้ำผึ้ง ถอดเสื้อนอกของตนก่อนจะขัดไปตามเสื้อผ้า
อย่างน้อยตนก็ยังมียางอายพอที่จะไม่ถอดเสื้อผ้าออกหมดเหมือนบางคนบนเรือ...
อัลเลย์มองดูวิธีซักผ้าของคนอื่นก่อนจะลอกเลียนแบบอย่างุ่มง่ามขัดให้เลือดและสิ่งสกปรกที่อยู่ในเนื้อผ้าซึมไหลออกไปตามน้ำ ในชีวิตก่อนเขาไม่เคยได้มาออกทะเลแบบนี้มาก่อน ท้องฟ้าสีดำที่ดูกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแบบนี้ก็พึ่งเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก
การเผชิญหน้ากับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ทำให้จิตใจของตนกลับมาสดใสอีกครั้ง แม้แต่เอ็ดวินก็ยังเผลอยิ้มตรงมุมปาก
ฝนตกนี้อยู่ได้ถึง8ชั่วโมงเติมเต็มถังเก็บน้ำว่างเปล่าทั้งหมดบนเรือให้กลับมาเต็มอีกครั้ง
ซาแมนธาแจกจ่ายซุปที่มีข้าวโอ๊ตและถั่ว ขนมปังแข็ง และกะหล่ำปลีดองเพื่อป้องกันโรคลักปิดลักเปิด ถึงกลุ่มผู้วิเศษจะดูอึดถึกทนกว่ามนุษย์ธรรมดาแต่สำหรับผู้วิเศษระดับต่ำก็ไม่ได้ดีไปกว่ามนุษย์ธรรมดามากนัก
กะหล่ำปลีดองรสเปรี้ยวกับขนมปังอุ่นๆ ที่จุ่มน้ำซุปจนเริ่มนุ่มทำให้อัลเลย์กลับมายิ้มอย่างมีความสุขอีกครั้ง ถึงถั่วและข้าวโอ๊ตในซุปจะมีน้อยไปหน่อยแต่ก็พอให้ตัวซุปมีรสชาติ
การทำอาหารถือเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน อัลเลย์มองไปยังมิลาด้าและเอ็ดวินที่กินอย่างสุภาพ แจ็คที่พูดคุยกับลูกเรือคนอื่นอย่างเสียงดัง จนมาหยุดที่ฮาโมนี่ที่นั่งกินอยู่ข้างๆ
เธอกินมันอย่างเงียบๆ ซาแมนธายังแอบเพิ่มขนมปังให้เธอนิดหน่อย ดวงตาสีเขียวของหล่อนมองไปยังอาหารตรงหน้า ภายในใจเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
"ฮาโมนี่ เพลงกล่อมเด็กที่คุณชอบร้องมันชื่ออะไรเหรอ" อัลเลย์รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย จริงๆ ตนก็ไม่ใช่คนที่พูดเก่งอะไร โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ฮาโมนี่ดูเงียบผิดปกติ เธอวางช้อนลงก่อนจะหันมาจ้องดวงตาสีน้ำตาลเข้มของอัลเลย์
"มันไม่มีชื่อหรอกนะ บางทีอาจจะเคยมี...แต่ฉันไม่รู้"
"ตั้งแต่เกิดก็ได้ยินมันมาเสมอ" เธอพึมพำก่อนจะเคี้ยวกะหล่ำปลีดองในปาก
"สถานที่ที่ฉันเกิดคือพื้นที่สลัมของธัมไฮล์ มันอยู่ชั้นใต้สุดลึกจนไม่เห็นแสงตะวัน"
"เพลงนี้ดังมากในสลัม เด็กทุกคนต่างก็ร้องได้กันทั้งหมดแต่พวกเราก็ไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร เพราะงั้นก็เลยเรียกว่าเพลงกล่อมเด็กไร้ชื่อ"
อัลเลย์จับคางครุ่นคิดด้วยความสนใจ ตอนที่ยังฝันร้ายอยู่ตัวเขาได้ยินเพลงนี้แว่วมาเสมอ เมื่อมาลองมาคิดตอนนี้บางทีมันอาจจะมีความพิเศษบางอย่างก็ได้
"ฮาโมนี่ช่วยร้องไห้ฟังหน่อยได้มั้ย" ยามปกติเขาไม่ได้ใส่ใจเพลงนี้มากนักแต่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ครั้งนี้อัลเลย์จึงตั้งใจจะลองสังเกตเพลงนี้อย่างจริงจัง
ฮาโมนี่มองอัลเลย์ด้วยความแปลกใจส่งเสียงด้วยความเขินอายนิดหน่อยก่อนที่จะร้องมันออกมาออกมา
เจ้ากระต่ายน้อย หลงทางไปไกล
ข้ามสายลมพัดพา ข้ามหมู่ดาวพร่างไหว
เงาจันทร์กระซิบ ว่าคืนนี้ยังยาวไกล
นอนเถิด… เจ้าจงหลับใหล
เจ้าคือแสงแห่งความเป็นไปได้
ผู้มาเยือนจากแดนแสนไกล
ผู้มาเยือนจากต่างถิ่น
นำความฝันสู่ค่ำคืนนี้
โอบกอดวันพรุ่งนี้เอาไว้
เจ้ากระต่ายน้อย มองเห็นสิ่งใด?
ฝันถึงอรุณรุ่ง หรือโลกที่ยังมิได้เห็น?
ฟ้ากว้างกระซิบว่าเส้นทางยังยาวไกล
นอนเถิด… เจ้าจงหลับใหล
จันทร์ยังคอย… ลมยังพัดไกว…
นอนเถิดนะ… เจ้ากระต่ายในความฝัน…
ผู้มาเยือนจากแดนแสนไกล…ผู้มาเยือนจากต่างถิ่น ประโยคนี้ทำให้หัวใจของอัลเลย์เต้นไม่เป็นจังหวะ สัญชาตญาณของเขาบอกว่ามีปัญหาบางอย่างกับเพลงนี้
เจ้าคือแสงแห่งความเป็นไปได้...
อัลเลย์รู้ตัวเสมอว่าทุกเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญของเขานั้นมันแปลกประหลาดและดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับเทพในโลกนี้ ได้แต่เหนื่อยใจว่าอนาคตของตนจะไม่ง่ายดายอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้นตัวเราในตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายพร้อมเมินเฉยสายตาแปลกประหลาดของฮาโมนี่ แสงสว่างบนท้องฟ้าหายไปยังไม่ทันให้เสื้อที่ตากไว้หายเปียก อัลเลย์จึงตัดสินใจที่จะใส่มันไปทั้งอย่างนั้น
เสียงกระซิบที่คุ้นชินพร้อมความแสบร้อนในดวงตาเกิดขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยเห็นตัวจริงของเจ้าของเสียงที่คอยพึมพำไปรอบๆ บางครั้งมันก็กระแทกไม่ก็ใช้บางสิ่งขูดไปตามผิวไม้สร้างเสียงรบกวนน่ารำคาญ
ครั้งหนึ่งเอ็ดวินได้สั่งให้แจ็คปล่อยโซ่ของตนลงไปในน้ำทะเลสีดำ แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอะไรที่อยู่ข้างใต้เรือ หรือแม้แต่รอยขีดข่วนตามแผ่นไม้ที่น่าจะมีอยู่
"อาจเป็นสัตว์ประหลาดที่มีพลังเกี่ยวกับการหลอกลวงประสาทสัมผัสหรือจิตใจ" เอ็ดวินคิดถึงความเป็นไปได้
แต่อัลเลย์ก็ยังคงคิดว่านั้นเป็นสัญญาณเรียกหาของบางสิ่งบางอย่าง แต่เมื่อนึกถึงสีหน้าของเลียมในตอนนั้นและด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นแบบนี้การพูดไปก็มีแต่จะทำให้ผู้คนเสียขวัญเปล่าๆ
อัลเลย์ตวัดดาบไปติดส่วนเกราะของสัตว์ประหลาดตรงหน้าก่อนกระโดดถอยหลังหลบแขนขนาดใหญ่ของมันที่ตบลงมา เมื่อเห็นช่องว่างระหว่างเกราะที่อยู่บริเวณคอถูกเปิดออกก็ไม่พลาดโอกาสในการเสียบดาบเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว
ฉึก
แคร้ง!!
เขามองไปยังดาบของตนที่หักครึ่งติดอยู่ภายใต้เกราะของสัตว์ประหลาดด้วยความตกตะลึง ดาบเล่มนี้ถูกใช้งานอย่างหนักโดยเจ้าของที่ใช้มันอย่างไม่ทะนุถนอมและไม่ถูกวิธีในการดูแลรักษาเวลา เมื่อมันผ่านการต่อสู้มาหลายครั้งจึงไม่สามารถทนไหวอีกต่อไป
ดวงตาสีแดงของสัตว์ประหลาดคล้ายปูที่มีเพรียงสีม่วงเรียงแสงเกาะตามตัวตรงหน้าเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท ใช้ก้ามปูขนาดใหญ่ของตัวเองตั้งใจจะฆ่าเด็กมนุษย์ตรงหน้าให้ได้
แต่ในจังหวะนั้นเองที่มีโซ่สีเงินผุดขึ้นมาจากพื้นไม้ชอนไชเข้าไปในกระดองของสัตว์ประหลาดตรงหน้ารัดแน่นจนไม่สามารถขยับตัวได้
"ไหวรึเปล่า" แจ็คพูดด้วยความห่วงใย ปล่อยโซ่ให้รัดสิ่งมีชีวิตที่จะโจมตีอัลเลย์ให้ตายคาเกราะของมัน
"ยังไหวอยู่ครับ" อัลเลย์ตอบรับด้วยความสุภาพเมื่อจะยื่นไปจับมือของแจ็คที่จะช่วยเขาลุกขึ้นจากพื้น ก็เปลี่ยนกลายเป็นมีดสั้นที่เสียบแทงเข้าไปกลางท้องของชายตรงหน้าแทน
แจ็คที่ทำหน้าอึ้งอยู่ตรงหน้าดูเหมือนจริงจนแทบแยกไม่ออก หากไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดในดวงตาที่เพิ่มมากขึ้นเขาก็อาจจะไม่สังเกตเห็น
"คริก...คิก..."
อัลเลย์มองไปยังสัตว์ประหลาดตรงหน้าด้วยความแปลกใจ มันยืนสองขาสูงพอๆ กับตัวเขา ร่างกายเต็มไปเกราะคล้ายพวกแมลงดวงตากลมสีดำจ้องมองมาที่เขาพร้อมส่งเสียงของข้อต่อที่ปากเป็นจังหวะ มันยืนมองอัลเลย์ไม่นานก็ตัดสินใจกระโดดลงทะเลดำหนีไปปล่อยให้เลือดสีน้ำเงินหยดไปตามพื้นเรือ
หนี?
เจ้านี้อันตราย
นี้เป็นครั้งแรกที่อัลเลย์เจอสัตว์ประหลาดที่เลือกที่จะหนีแทนที่จะสู้จนตัวตาย มันดูมีความฉลาดแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตยามค่ำคืนตัวอื่นที่เคยเจอมาอย่างเห็นได้ชัด
นั้นคือพลังที่สามารถหลอกลวงการรับรู้ของมนุษย์ได้ซินะ ไม่ว่าจะทั้งพลังกลิ่นเสียงอุณหภูมิสัมผัสเขาเกือบจะคิดว่านี้คือแจ็คตัวจริงแล้ว ต้องขอบคุณสัญชาตญาณของเขาที่ช่วยยืดเวลาชีวิตตัวเองได้อีกครั้ง
เขาเป็นแค่คนธรรมดาที่พึ่งได้มีโอกาสจับดาบเมื่อเทียบกับคนอื่นบนเรือ จะเรียกว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์น้อยที่สุดก็ว่าได้ แต่ด้วยความสามารถนี้ก็ทำให้อัลเลย์สามารถอยู่รอดมาได้ถึงตอนนี้ท่ามกลางลูกเรือคนอื่นที่ลดลงไปทุกคืน
เสียงเพลงแว่วเสียงกระซิบเป็นทำนองเลื่อนลอยไร้ที่มาท่ามกลางกลิ่นเลือดและไม้อับชื้น พวกเขายังคงต่อสู้ต่อไปโดยคาดหวังแค่แสงอาทิตย์จากขอบฟ้าเท่านั้น
อัลเลย์มองสตูกะหล่ำปลีดองตรงหน้าด้วยความหม่นหมอง ได้แต่อธิษฐานขอให้ไปถึงแผ่นดินใหม่เร็วๆ ถึงเขาจะพอใจที่มีอาหารให้กินอิ่มจนไม่ต้องอดอยาก แต่ก็ยังอดคิดถึงรสชาติอาหารจากโลกเก่าไม่ได้
เอ็ดวินยังคงขอบคุณอาหารก่อนกิน มิลาด้าค่อยๆ ตักชิมซุปทีละคำ ส่วนฮาโมนี่ก็ยังคงนั่งกินอาหารอย่างเงียบสงบ
"ถ้าเป็นไปได้อยากกินเหล้ามากกว่า" แจ็คบ่นด้วยความเบื่อหน่าย เนื่องจากน้ำเปล่ามีอายุการเก็บรักษาสั้นและมีจำนวนมาก ทุกคนบนเรือจึงต้องหันมากินน้ำเปล่าแทนเหล้าตามปกติ
อัลเลย์นั่งฟังชายข้างๆ ตนพูดบ่นไปเรื่อยด้วยความสนใจ ตั้งแต่ครั้งนั้นแจ็คก็เริ่มขอบที่จะมานั่งข้างอัลเลย์เสมอ พูดถึงความทรงจำสมัยอยู่ธัมไฮล์ เรื่องครอบครัว เพื่อนร่วมงาน คนรู้จัก
อัลเลย์หรี่ตาเล็กน้อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนรอบตัวเขาต่างไม่พูดถึง
นั้นคือเรื่องของผู้วิเศษ มิลาด้ากับเอ็ดวินมักจะบอกปัดไปว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องรู้ในตอนนี้ ถึงหลอกถามคนอื่นก็เลือกที่จะไม่ตอบหรือเปลี่ยนเรื่องไป
ทำไมถึงบอกไม่ได้?
ชีวิตของคนอยากรู้อยากเห็นที่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลยมันช่างน่าเศร้าจริงๆ
อัลเลย์นั่งด้วยความเบื่อหน่าย ช่วงนี้เอ็ดวินและมิลาด้ายุ่งอยู่กับอะไรบางอย่างทำให้ไม่มีเวลามาสนใจตนนัก หนังสือที่มีอยู่บนเรือน้อยนิดก็อ่านจนหมดไม่เหลือให้อ่านอีก
เมื่อนั่งย่อยได้สักพักก็ต้องหาที่นอนเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับค่ำคืนนี้ อัลเลย์บอกลาแจ็คกับฮาโมนี่ก่อนจะรีบไปที่ห้องของเอ็ดวินเพื่อนอนหลับพักผ่อน
เสียงแว่วของผู้คนที่พูดคุยอยู่ข้างนอก เสียงของคลื่น และกลิ่นของไม้ ทำให้สติของเขาค่อยๆ จางหายหายไป
"อร่อยมากเลย ขอบคุณนะ" สัมผัสของมือบนหัวที่กำลังลูบไปตามเส้นผมของตนทำให้อัลเลย์รู้สึกมึนงง อุณหภูมิที่ส่งต่อมาจากมือหยาบกร้านจากการทำงานหนักแต่ก็อบอุ่นและสบายอย่างพิกล
ตรงหน้าเป็นพาสตาที่เขาลองทำครั้งแรกนอกจากจะเผลอใส่เกลือมากเกินไปก็ยังมีบางส่วนที่ไหม้ดำติดมาด้วย
อัลเลย์ อาโดนิสก้มหัวลงไปด้วยความเขินอายในผลงานของตัวเอง แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนก็อดใจไม่ไหวต้องเหลือบขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า
ผมสีน้ำตาลยาวที่คุ้นเคย ดวงตาสีน้ำตาลที่คุ้นเคยและรอยยิ้มที่คุ้นเคย เด็กชายอัลเลย์มองเธอด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อรู้ตัวอีกทีก็สัมผัสได้ถึงของเหลวรสเค็มที่ไหลออกมาจากดวงตา
แมรี่...
นี้เราร้องไห้?
[แมรี่?]
อัลเลย์สะดุ้งตื่นลุกจากเตียงด้วยความหวาดกลัว ขนตามแขนขาลุกขึ้นมาด้วยความสยองขวัญสุดขีด
เมื่อกี้มันเสียงของใคร
เสียงนั้นแหบแห้งเหมือนกับทรายในทะเลทราย ไร้อารมณ์เหมือนไม่ใช่เสียงของสิ่งมีชีวิต ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยไล่มาตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปตามกระดูกสันหลังจนไปถึงทุกเซลล์ประสาทในสมอง
สัญชาตญาณของเขากรีดร้องถึงบางอย่างที่กำลังคืบคลานมาหาเรือลำนี้ภายใต้ผืนทะเลอันมืดมิด
"เอ็ดวิน!! มิลาด้า!!" อัลเลย์รีบลุกออกจากเตียงรีบวิ่งออกไปนอกเรือพลางร้องเรียกหาอาจารย์ของตนด้วยเสียงสั่นแขนขาพันกันวุ่นวายไปหมด ก่อนจะพบว่าทุกคนบนเรือจ้องไปยังจุดหนึ่งด้วยใบหน้าหวาดกลัว
อัลเลย์จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความไม่เชื่อ ครีบหรือก้อนเนื้อบนหลังของสิ่งนั้นสามารถแยกทะเลออกจากกันได้ มันเคลื่อนไหวมาทางเรือลำนี้ช้าๆ นกสีสันสดใสบนฟ้าที่พึ่งบินขึ้นมาจากทะเลส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมาด้วยความหวาดกลัว
เสียงกระซิบพึมพำรอบเรือดังขึ้นเป็นจังหวะท่ามกลางหายนะที่กำลังคืบคลานมา