Chapter 9 - บทที่ 9 ฝน

จะบอกว่าเหตุการณ์คริมสันคราวน์ครั้งนั้นเป็นแค่จุดเริ่มต้นก็ว่าได้ เนื่องจากนกพวกนั้นกินทุกอย่างที่ขวางหน้าดังนั้นอาหารบนเรือจึงโดนแย่งชิงไปจำนวนมาก ถังไม้บางถังก็มีร่องรอยของการรั่วซึมออกมา

แอสตราลิสเข้าสู่ภาวะควบคุมจำนวนอาหารและน้ำ อัลเลย์จ้องมองจานตรงหน้าด้วยความโศกเศร้าความแค้นที่มีต่อนกพวกนั้นเพิ่มขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว

ไม่ว่าจะความร้อน กลิ่น อาหาร และสิ่งต่างๆ บนเรือก็ทำให้เขาเต็มไปด้วยความหดหู่ เลือดของนกพวกนั้นที่อยู่บนเสื้อก็จับกันจนแข็งตัว แม้แต่ตอนนี้ปลาซาร์ดีนสักตัวในทะเลก็ไม่มีโอกาสได้เห็น

"เอาของฉันไปสักหน่อยมั้ย..." ฮาโมนี่ส่งเสียงแผ่วเบา

"ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณท้องอยู่นี่" 

"แต่ว่าแผลนะ มันไม่เจ็บเหรอ" เธอมองด้วยความกังวล

"ฮะๆ สบายมาก" ขนาดตัวเขายังทึ่งเลยที่สามารถอดทนกับความเจ็บปวดได้มากขนาดนี้

ตั้งแต่ครั้งนั้นฮาโมนี่ก็เริ่มพูดคุยกับตนอีกครั้ง ทั้งคู่พูดคุยกันไปได้สักพัก อัลเลย์ถึงได้รู้ว่าปัจจุบันเธอได้อยู่อาศัยที่ห้องของลูกเรือข้างห้องซาแมนธา

เอ็ดวินก็ยังคงสวดขอบคุณอาหารอยู่เหมือนเดิม มิลาด้าก็ยังคงอยู่ตรงหน้าเรือเหมือนปกติ สภาพอารมณ์ของทุกคนบนเรือเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

สัตว์ประหลาดตอนกลางคืนก็เริ่มปรากฏพวกที่มีพลังวิเศษมากขึ้นเรื่อยๆ อนาคตดูเหมือนจะมืดมน แต่สุดท้ายเรือลำนี้ก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป

มือข้างขวาหมุนกุญแจสีทองในมือด้วยความเบื่อหน่าย อดทนต่อความรู้สึกแปลกๆ ตามผิวหนัง ตอนนี้ไม่มีน้ำเปล่าในเรือเหลืออยู่ดังนั้นทุกคนบนเรือจึงไม่ได้อาบน้ำมาสักพักแล้ว 

"นั้นความสามารถพิเศษนายเหรอนะ" อัลเลย์มองไปยังเจ้าของเสียง เป็นชายวัยกลางคนที่ค่อนข้างผอมจมูกใหญ่ใบหูกว้างและมีดวงตาสดใสเป็นมิตร เขาเดินอย่างสบายใจก่อนมานั่งข้างๆ

"?"

"นี้ความสามารถของฉัน โซ่ที่สามารถทะลุวัตถุได้" ชายคนนั้นโชว์โซ่ที่ดูหน้าตาธรรมดาด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะสาธิตวิธีการใช้ด้วยการปล่อยให้ไหลทะลุลงไปใต้ท้องเรือ

"???"

คนคนนี้ชื่อแจ็คคือยามเรือที่เคยเตือนตอนคริมสันคราวน์บุกครั้งก่อน อัลเลย์มองเขาด้วยความสนใจ 

อย่างที่รู้กันว่าตนเป็นคนเถื่อนที่ค่อนข้างถูกรังเกียจ ถึงจะไม่ชัดเจนเพราะเป็นลูกศิษย์ของเอ็ดวินกับมิลาด้า แต่เวลาปกติก็ไม่มีใครอยากมาพูดคุยด้วยอยู่ดี

"ให้เดาว่านายเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นใช่มั้ยละ" อัลเลย์ขมวดคิ้วแต่ชายตรงหน้ากับหัวเราะอย่างชอบใจ

"ฉันน่ะนะก็เคยมีเพื่อนคล้ายนายเหมือนกัน หมอนั้นนะชอบมองคนเหมือนอ่านหนังสือเลย"

"แล้วตอนนี้เขาเป็นยังไงเหรอครับ"

"อ๋อ ตายแล้วน่ะ"

"...ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรจะพูดกับผมรึเปล่าครับ" 

"อย่าทำตัวเหมือนคนไม่มีใครคบซี้" อัลเลย์ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ชายคนนี้ดูเหมือนคนที่พูดอะไรไปก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่สามารถรับสารอะไรได้สักนิด

แจ็คกอดคอของอัลเลย์อย่างถือวิสาสะ ก่อนพูดคุยเล่าเรื่องไปเรื่อยไม่ว่าจะเพื่อนข้างบ้าน เจ้านาย ลูกชายวัย3ขวบ และภรรยาสาวสุดสวย

อัลเลย์อดทนฟังทุกอย่างจนจบ ได้แต่ทึ่งกับความสามารถในการพูดไปเรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด ดูเหมือนชายคนนี้จะเก็บกดจากอะไรบางอย่างถึงได้มาลงกับตน

ในกระเป๋าของเขามีรูปเหมือนของครอบครัวอยู่ แจ็คหยิบมันออกมาโชว์ทีละรูปด้วยความภูมิใจ ภรรยาของเขาไม่ได้สวยจนยากจะละสายตาแต่มีความรักความอบอุ่นความอ่อนโยนอยู่ในใบหน้าของเธอ ลูกวัยสามขวบส่งรอยยิ้มซุกซนอยู่ภายในรูปภาพ โดยมีแจ็คที่โอบไหล่และกอดทั้งคู่

"แล้วนายละมีคนสำคัญคนไหนที่อยากไปเจอบ้างมั้ย"

"แม่ของผม..."

"หืม? เธอเป็นคนยังไงล่ะ" แจ็คพูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เธอเป็นคนยังไง? ภายในความทรงจำที่คงเหลืออยู่น้อยนิด เขาจำได้ถึงรอยยิ้มและความอบอุ่นที่ถ่ายทอดผ่านมือของเธอมาสู่ร่างกายของเขาเท่านั้น

'อัลเลย์ วันนี้ก็ยังเป็นเด็กดีเหมือนเดิมเลยนะ'

"ใจดีและอบอุ่น"

"ฮ่าๆ ถ้างั้นก็ดีแล้วนี่" แจ็คมองไปยังภาพพวกนั้นด้วยรอยยิ้ม

"เห็นทำหน้าเบื่อชีวิตแบบนั้นก็เลยอดใจไม่ไหว ยังหนุ่มแบบนี้ยังมีอนาคตอีกเยอะรออยู่"

"เพราะงั้นพยายามอย่าตายเหมือนตอนนั้นล่ะ" เขาตบไหล่อัลเลย์อย่างแรง ก่อนจะหัวเราะพร้อมโบกมือลาก่อน

อัลเลย์มองหลังอีกฝ่ายนิ่งอึ้ง ไม่นึกว่าจะได้เจอคนประหลาดที่มาไวไปไวแบบนี้

พยายามอย่าตายเหมือนตอนนั้น?

เขานึกถึงตอนเหตุการณ์คริมสันคราวน์ที่ช่วงหนึ่งตนเกือบจะปล่อยวางในชีวิตไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่สังเกตเห็นสิ่งนี้

 

คลื่นความร้อนและความหิวโหยทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย ผ่านมาเกือบ2เดือนแล้วหลังจากที่เรือแอสตราลิสได้ออกเดินทาง 

ไม่รู้เพราะความสามารถหรือเพราะโชคดีถึงทำให้เขารอดมาได้ถึงตอนนี้ เนื่องจากจำนวนแรงงานที่ลดลง เขาจึงได้งานใหม่ในการไปช่วยช่างใบเรือเพื่อดูแลรักษาใบเรือหลังการต่อสู้

ถึงความสามารถในการเย็บปักถักร้อยจะไม่ได้ชำนาญเท่าไหร่แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาในเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ 

อะไรน่ะ

อัลเลย์สัมผัสได้ทิศทางการเคลื่อนที่ของนิวม่าที่เปลี่ยนไปในอากาศ ความชื้น รวมถึงอาการเหนียวตัวทำให้เขารู้สึกถึงเหตุการณ์บางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น

"อาจารย์!! ฝน" เสียงรองอย่างตื่นเต้นดึงดูดความสนใจของทุกคนบนเรือ เอ็ดวินมองไปที่อัลเลย์นิ่งงัน ก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเพ่งสมาธิสำรวจความเป็นไปได้ต่างๆ แล้วจึงนิ่งไปอีก3วินาที

"ฝนกำลังจะมา" 

ฝนตก!!

เหมือนเสียงสวรรค์สำหรับลูกเรือทุกคน ในไม่นานทุกคนก็เห็นถึงแถบเมฆสีดำหนาข้างหน้า คลื่นน้ำสีดำเคลื่อนที่รุนแรงขึ้นทำให้เรือนี้โยกไปมาชวนน่ามึนหัว

เอ็ดวินสั่งให้เก็บใบเรือและตรวจสอบความแข็งแรงของแอสตราลิส ผู้วิเศษพวกนี้ไม่เกรงกลัวพายุฝนเลยจริงๆ ถึงจะพอมีโอกาสที่สัตว์ประหลาดบางตัวจะหลุดขึ้นมา แต่ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องรีบกอบโกยผลประโยชน์จากมันสิ

เมื่อถึงเขตพายุฝนคลื่นสูง2เมตรและเมฆนิมโบสเตรตัสสีเทาเข้มข้างบนปิดกั้นแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังข้างล่าง ลมที่ไม่แรงเกินไปเสริมความสดชื่นให้กับทุกคนบนเรือ

เหล่าลูกเรือรีบนำถังน้ำที่ได้รับการซ่อมแซมแล้วมารองน้ำฝนอย่างรวดเร็ว บางคนก็รีบไปเอาสบู่ก้อนมาเพื่อทำความสะอาดตัวเองและซักผ้าไปพร้อมกันด้วย

ฮาโมนี่มองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง นี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นฝนตกกลางทะเล ไม่ใช่จากที่เคยได้ยินคนอื่นเล่ามาตลอด ถึงท้องฟ้าจะมืดครึ้มแต่ก็เป็นเหมือนแสงความหวังให้กับผู้คน

อัลเลย์ไม่รอช้ารีบไปนำสบู่ก้อนของตัวเองออกมาเช่นกัน นี้เป็นสบู่ที่เอ็ดวินมอบให้ มีกลิ่นหอมของดอกไม้และน้ำผึ้ง ถอดเสื้อนอกของตนก่อนจะขัดไปตามเสื้อผ้า

อย่างน้อยตนก็ยังมียางอายพอที่จะไม่ถอดเสื้อผ้าออกหมดเหมือนบางคนบนเรือ...

อัลเลย์มองดูวิธีซักผ้าของคนอื่นก่อนจะลอกเลียนแบบอย่างุ่มง่ามขัดให้เลือดและสิ่งสกปรกที่อยู่ในเนื้อผ้าซึมไหลออกไปตามน้ำ ในชีวิตก่อนเขาไม่เคยได้มาออกทะเลแบบนี้มาก่อน ท้องฟ้าสีดำที่ดูกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแบบนี้ก็พึ่งเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก

การเผชิญหน้ากับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ทำให้จิตใจของตนกลับมาสดใสอีกครั้ง แม้แต่เอ็ดวินก็ยังเผลอยิ้มตรงมุมปาก

ฝนตกนี้อยู่ได้ถึง8ชั่วโมงเติมเต็มถังเก็บน้ำว่างเปล่าทั้งหมดบนเรือให้กลับมาเต็มอีกครั้ง 

ซาแมนธาแจกจ่ายซุปที่มีข้าวโอ๊ตและถั่ว ขนมปังแข็ง และกะหล่ำปลีดองเพื่อป้องกันโรคลักปิดลักเปิด ถึงกลุ่มผู้วิเศษจะดูอึดถึกทนกว่ามนุษย์ธรรมดาแต่สำหรับผู้วิเศษระดับต่ำก็ไม่ได้ดีไปกว่ามนุษย์ธรรมดามากนัก

กะหล่ำปลีดองรสเปรี้ยวกับขนมปังอุ่นๆ ที่จุ่มน้ำซุปจนเริ่มนุ่มทำให้อัลเลย์กลับมายิ้มอย่างมีความสุขอีกครั้ง ถึงถั่วและข้าวโอ๊ตในซุปจะมีน้อยไปหน่อยแต่ก็พอให้ตัวซุปมีรสชาติ

การทำอาหารถือเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน อัลเลย์มองไปยังมิลาด้าและเอ็ดวินที่กินอย่างสุภาพ แจ็คที่พูดคุยกับลูกเรือคนอื่นอย่างเสียงดัง จนมาหยุดที่ฮาโมนี่ที่นั่งกินอยู่ข้างๆ

เธอกินมันอย่างเงียบๆ ซาแมนธายังแอบเพิ่มขนมปังให้เธอนิดหน่อย ดวงตาสีเขียวของหล่อนมองไปยังอาหารตรงหน้า ภายในใจเต็มไปด้วยความคิดมากมาย

"ฮาโมนี่ เพลงกล่อมเด็กที่คุณชอบร้องมันชื่ออะไรเหรอ" อัลเลย์รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย จริงๆ ตนก็ไม่ใช่คนที่พูดเก่งอะไร โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ฮาโมนี่ดูเงียบผิดปกติ เธอวางช้อนลงก่อนจะหันมาจ้องดวงตาสีน้ำตาลเข้มของอัลเลย์

"มันไม่มีชื่อหรอกนะ บางทีอาจจะเคยมี...แต่ฉันไม่รู้"

"ตั้งแต่เกิดก็ได้ยินมันมาเสมอ" เธอพึมพำก่อนจะเคี้ยวกะหล่ำปลีดองในปาก

"สถานที่ที่ฉันเกิดคือพื้นที่สลัมของธัมไฮล์ มันอยู่ชั้นใต้สุดลึกจนไม่เห็นแสงตะวัน"

"เพลงนี้ดังมากในสลัม เด็กทุกคนต่างก็ร้องได้กันทั้งหมดแต่พวกเราก็ไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร เพราะงั้นก็เลยเรียกว่าเพลงกล่อมเด็กไร้ชื่อ"

อัลเลย์จับคางครุ่นคิดด้วยความสนใจ ตอนที่ยังฝันร้ายอยู่ตัวเขาได้ยินเพลงนี้แว่วมาเสมอ เมื่อมาลองมาคิดตอนนี้บางทีมันอาจจะมีความพิเศษบางอย่างก็ได้

"ฮาโมนี่ช่วยร้องไห้ฟังหน่อยได้มั้ย" ยามปกติเขาไม่ได้ใส่ใจเพลงนี้มากนักแต่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ครั้งนี้อัลเลย์จึงตั้งใจจะลองสังเกตเพลงนี้อย่างจริงจัง

ฮาโมนี่มองอัลเลย์ด้วยความแปลกใจส่งเสียงด้วยความเขินอายนิดหน่อยก่อนที่จะร้องมันออกมาออกมา

เจ้ากระต่ายน้อย หลงทางไปไกล

ข้ามสายลมพัดพา ข้ามหมู่ดาวพร่างไหว

เงาจันทร์กระซิบ ว่าคืนนี้ยังยาวไกล

นอนเถิด… เจ้าจงหลับใหล

เจ้าคือแสงแห่งความเป็นไปได้

ผู้มาเยือนจากแดนแสนไกล

ผู้มาเยือนจากต่างถิ่น

นำความฝันสู่ค่ำคืนนี้

โอบกอดวันพรุ่งนี้เอาไว้

เจ้ากระต่ายน้อย มองเห็นสิ่งใด?

ฝันถึงอรุณรุ่ง หรือโลกที่ยังมิได้เห็น?

ฟ้ากว้างกระซิบว่าเส้นทางยังยาวไกล

นอนเถิด… เจ้าจงหลับใหล

จันทร์ยังคอย… ลมยังพัดไกว…

นอนเถิดนะ… เจ้ากระต่ายในความฝัน…

 

ผู้มาเยือนจากแดนแสนไกล…ผู้มาเยือนจากต่างถิ่น ประโยคนี้ทำให้หัวใจของอัลเลย์เต้นไม่เป็นจังหวะ สัญชาตญาณของเขาบอกว่ามีปัญหาบางอย่างกับเพลงนี้

เจ้าคือแสงแห่งความเป็นไปได้...

อัลเลย์รู้ตัวเสมอว่าทุกเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญของเขานั้นมันแปลกประหลาดและดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับเทพในโลกนี้ ได้แต่เหนื่อยใจว่าอนาคตของตนจะไม่ง่ายดายอย่างแน่นอน

แต่ถึงอย่างนั้นตัวเราในตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายพร้อมเมินเฉยสายตาแปลกประหลาดของฮาโมนี่ แสงสว่างบนท้องฟ้าหายไปยังไม่ทันให้เสื้อที่ตากไว้หายเปียก อัลเลย์จึงตัดสินใจที่จะใส่มันไปทั้งอย่างนั้น

เสียงกระซิบที่คุ้นชินพร้อมความแสบร้อนในดวงตาเกิดขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยเห็นตัวจริงของเจ้าของเสียงที่คอยพึมพำไปรอบๆ บางครั้งมันก็กระแทกไม่ก็ใช้บางสิ่งขูดไปตามผิวไม้สร้างเสียงรบกวนน่ารำคาญ

ครั้งหนึ่งเอ็ดวินได้สั่งให้แจ็คปล่อยโซ่ของตนลงไปในน้ำทะเลสีดำ แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอะไรที่อยู่ข้างใต้เรือ หรือแม้แต่รอยขีดข่วนตามแผ่นไม้ที่น่าจะมีอยู่

"อาจเป็นสัตว์ประหลาดที่มีพลังเกี่ยวกับการหลอกลวงประสาทสัมผัสหรือจิตใจ" เอ็ดวินคิดถึงความเป็นไปได้ 

แต่อัลเลย์ก็ยังคงคิดว่านั้นเป็นสัญญาณเรียกหาของบางสิ่งบางอย่าง แต่เมื่อนึกถึงสีหน้าของเลียมในตอนนั้นและด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นแบบนี้การพูดไปก็มีแต่จะทำให้ผู้คนเสียขวัญเปล่าๆ

 

อัลเลย์ตวัดดาบไปติดส่วนเกราะของสัตว์ประหลาดตรงหน้าก่อนกระโดดถอยหลังหลบแขนขนาดใหญ่ของมันที่ตบลงมา เมื่อเห็นช่องว่างระหว่างเกราะที่อยู่บริเวณคอถูกเปิดออกก็ไม่พลาดโอกาสในการเสียบดาบเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว

ฉึก 

แคร้ง!!

เขามองไปยังดาบของตนที่หักครึ่งติดอยู่ภายใต้เกราะของสัตว์ประหลาดด้วยความตกตะลึง ดาบเล่มนี้ถูกใช้งานอย่างหนักโดยเจ้าของที่ใช้มันอย่างไม่ทะนุถนอมและไม่ถูกวิธีในการดูแลรักษาเวลา เมื่อมันผ่านการต่อสู้มาหลายครั้งจึงไม่สามารถทนไหวอีกต่อไป

ดวงตาสีแดงของสัตว์ประหลาดคล้ายปูที่มีเพรียงสีม่วงเรียงแสงเกาะตามตัวตรงหน้าเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท ใช้ก้ามปูขนาดใหญ่ของตัวเองตั้งใจจะฆ่าเด็กมนุษย์ตรงหน้าให้ได้

แต่ในจังหวะนั้นเองที่มีโซ่สีเงินผุดขึ้นมาจากพื้นไม้ชอนไชเข้าไปในกระดองของสัตว์ประหลาดตรงหน้ารัดแน่นจนไม่สามารถขยับตัวได้

"ไหวรึเปล่า" แจ็คพูดด้วยความห่วงใย ปล่อยโซ่ให้รัดสิ่งมีชีวิตที่จะโจมตีอัลเลย์ให้ตายคาเกราะของมัน

"ยังไหวอยู่ครับ" อัลเลย์ตอบรับด้วยความสุภาพเมื่อจะยื่นไปจับมือของแจ็คที่จะช่วยเขาลุกขึ้นจากพื้น ก็เปลี่ยนกลายเป็นมีดสั้นที่เสียบแทงเข้าไปกลางท้องของชายตรงหน้าแทน

แจ็คที่ทำหน้าอึ้งอยู่ตรงหน้าดูเหมือนจริงจนแทบแยกไม่ออก หากไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดในดวงตาที่เพิ่มมากขึ้นเขาก็อาจจะไม่สังเกตเห็น

"คริก...คิก..."

อัลเลย์มองไปยังสัตว์ประหลาดตรงหน้าด้วยความแปลกใจ มันยืนสองขาสูงพอๆ กับตัวเขา ร่างกายเต็มไปเกราะคล้ายพวกแมลงดวงตากลมสีดำจ้องมองมาที่เขาพร้อมส่งเสียงของข้อต่อที่ปากเป็นจังหวะ มันยืนมองอัลเลย์ไม่นานก็ตัดสินใจกระโดดลงทะเลดำหนีไปปล่อยให้เลือดสีน้ำเงินหยดไปตามพื้นเรือ

หนี?

เจ้านี้อันตราย

นี้เป็นครั้งแรกที่อัลเลย์เจอสัตว์ประหลาดที่เลือกที่จะหนีแทนที่จะสู้จนตัวตาย มันดูมีความฉลาดแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตยามค่ำคืนตัวอื่นที่เคยเจอมาอย่างเห็นได้ชัด

นั้นคือพลังที่สามารถหลอกลวงการรับรู้ของมนุษย์ได้ซินะ ไม่ว่าจะทั้งพลังกลิ่นเสียงอุณหภูมิสัมผัสเขาเกือบจะคิดว่านี้คือแจ็คตัวจริงแล้ว ต้องขอบคุณสัญชาตญาณของเขาที่ช่วยยืดเวลาชีวิตตัวเองได้อีกครั้ง

เขาเป็นแค่คนธรรมดาที่พึ่งได้มีโอกาสจับดาบเมื่อเทียบกับคนอื่นบนเรือ จะเรียกว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์น้อยที่สุดก็ว่าได้ แต่ด้วยความสามารถนี้ก็ทำให้อัลเลย์สามารถอยู่รอดมาได้ถึงตอนนี้ท่ามกลางลูกเรือคนอื่นที่ลดลงไปทุกคืน

เสียงเพลงแว่วเสียงกระซิบเป็นทำนองเลื่อนลอยไร้ที่มาท่ามกลางกลิ่นเลือดและไม้อับชื้น พวกเขายังคงต่อสู้ต่อไปโดยคาดหวังแค่แสงอาทิตย์จากขอบฟ้าเท่านั้น

 

อัลเลย์มองสตูกะหล่ำปลีดองตรงหน้าด้วยความหม่นหมอง ได้แต่อธิษฐานขอให้ไปถึงแผ่นดินใหม่เร็วๆ ถึงเขาจะพอใจที่มีอาหารให้กินอิ่มจนไม่ต้องอดอยาก แต่ก็ยังอดคิดถึงรสชาติอาหารจากโลกเก่าไม่ได้ 

เอ็ดวินยังคงขอบคุณอาหารก่อนกิน มิลาด้าค่อยๆ ตักชิมซุปทีละคำ ส่วนฮาโมนี่ก็ยังคงนั่งกินอาหารอย่างเงียบสงบ

"ถ้าเป็นไปได้อยากกินเหล้ามากกว่า" แจ็คบ่นด้วยความเบื่อหน่าย เนื่องจากน้ำเปล่ามีอายุการเก็บรักษาสั้นและมีจำนวนมาก ทุกคนบนเรือจึงต้องหันมากินน้ำเปล่าแทนเหล้าตามปกติ

อัลเลย์นั่งฟังชายข้างๆ ตนพูดบ่นไปเรื่อยด้วยความสนใจ ตั้งแต่ครั้งนั้นแจ็คก็เริ่มขอบที่จะมานั่งข้างอัลเลย์เสมอ พูดถึงความทรงจำสมัยอยู่ธัมไฮล์ เรื่องครอบครัว เพื่อนร่วมงาน คนรู้จัก 

อัลเลย์หรี่ตาเล็กน้อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนรอบตัวเขาต่างไม่พูดถึง

นั้นคือเรื่องของผู้วิเศษ มิลาด้ากับเอ็ดวินมักจะบอกปัดไปว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องรู้ในตอนนี้ ถึงหลอกถามคนอื่นก็เลือกที่จะไม่ตอบหรือเปลี่ยนเรื่องไป 

ทำไมถึงบอกไม่ได้?

ชีวิตของคนอยากรู้อยากเห็นที่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลยมันช่างน่าเศร้าจริงๆ

อัลเลย์นั่งด้วยความเบื่อหน่าย ช่วงนี้เอ็ดวินและมิลาด้ายุ่งอยู่กับอะไรบางอย่างทำให้ไม่มีเวลามาสนใจตนนัก หนังสือที่มีอยู่บนเรือน้อยนิดก็อ่านจนหมดไม่เหลือให้อ่านอีก

เมื่อนั่งย่อยได้สักพักก็ต้องหาที่นอนเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับค่ำคืนนี้ อัลเลย์บอกลาแจ็คกับฮาโมนี่ก่อนจะรีบไปที่ห้องของเอ็ดวินเพื่อนอนหลับพักผ่อน

เสียงแว่วของผู้คนที่พูดคุยอยู่ข้างนอก เสียงของคลื่น และกลิ่นของไม้ ทำให้สติของเขาค่อยๆ จางหายหายไป

 

"อร่อยมากเลย ขอบคุณนะ" สัมผัสของมือบนหัวที่กำลังลูบไปตามเส้นผมของตนทำให้อัลเลย์รู้สึกมึนงง อุณหภูมิที่ส่งต่อมาจากมือหยาบกร้านจากการทำงานหนักแต่ก็อบอุ่นและสบายอย่างพิกล

ตรงหน้าเป็นพาสตาที่เขาลองทำครั้งแรกนอกจากจะเผลอใส่เกลือมากเกินไปก็ยังมีบางส่วนที่ไหม้ดำติดมาด้วย

อัลเลย์ อาโดนิสก้มหัวลงไปด้วยความเขินอายในผลงานของตัวเอง แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนก็อดใจไม่ไหวต้องเหลือบขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า

ผมสีน้ำตาลยาวที่คุ้นเคย ดวงตาสีน้ำตาลที่คุ้นเคยและรอยยิ้มที่คุ้นเคย เด็กชายอัลเลย์มองเธอด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อรู้ตัวอีกทีก็สัมผัสได้ถึงของเหลวรสเค็มที่ไหลออกมาจากดวงตา

แมรี่...

นี้เราร้องไห้?

[แมรี่?]

อัลเลย์สะดุ้งตื่นลุกจากเตียงด้วยความหวาดกลัว ขนตามแขนขาลุกขึ้นมาด้วยความสยองขวัญสุดขีด 

เมื่อกี้มันเสียงของใคร

เสียงนั้นแหบแห้งเหมือนกับทรายในทะเลทราย ไร้อารมณ์เหมือนไม่ใช่เสียงของสิ่งมีชีวิต ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยไล่มาตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปตามกระดูกสันหลังจนไปถึงทุกเซลล์ประสาทในสมอง

สัญชาตญาณของเขากรีดร้องถึงบางอย่างที่กำลังคืบคลานมาหาเรือลำนี้ภายใต้ผืนทะเลอันมืดมิด

"เอ็ดวิน!! มิลาด้า!!" อัลเลย์รีบลุกออกจากเตียงรีบวิ่งออกไปนอกเรือพลางร้องเรียกหาอาจารย์ของตนด้วยเสียงสั่นแขนขาพันกันวุ่นวายไปหมด ก่อนจะพบว่าทุกคนบนเรือจ้องไปยังจุดหนึ่งด้วยใบหน้าหวาดกลัว

อัลเลย์จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความไม่เชื่อ ครีบหรือก้อนเนื้อบนหลังของสิ่งนั้นสามารถแยกทะเลออกจากกันได้ มันเคลื่อนไหวมาทางเรือลำนี้ช้าๆ นกสีสันสดใสบนฟ้าที่พึ่งบินขึ้นมาจากทะเลส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมาด้วยความหวาดกลัว

เสียงกระซิบพึมพำรอบเรือดังขึ้นเป็นจังหวะท่ามกลางหายนะที่กำลังคืบคลานมา