Chapter 13 - บทที่ 13 ความหวัง

"ฟ่ออ--วี้ดดดดด" เสียงคล้ายนกหวีดดังจนปวดหูดังขึ้นไปทั่วทุกบริเวณแข่งกับเสียงสายลมหวีดหวิว สัตว์ประหลาดคล้ายงูขนาดใหญ่ที่มีความยาวไม่ต่ำกว่า20เมตรลอยขึ้นในพายุงวงช้างโดยไร้การตอบโต้ วัตถุและสิ่งมีชีวิตจำนวนมากถูกดูดขึ้นไปบนนั้น

นอกจากความเร็วลมแล้วก็มีซากอาคารที่ทำจากหินและทรายจากพื้นทะเลที่ถูกดูดขึ้นมา ดูเหมือนบริเวณนี้จะเคยมีอารยธรรมบางอย่างอยู่ข้างใต้ ถ้าหากวัตถุที่ถูกเหวี่ยงด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า200กิโลเมตรต่อชั่วโมงชนเข้ากับมนุษย์อย่างจัง ก็คงไม่ต้องสืบว่าจะรอดหรือไม่รอด

'ภัยพิบัติที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสิ่งมีชีวิตทรงพลังพวกนั้น ส่งผลกระทบต่อผู้อ่อนแอจำนวนมาก'

"ฉันมีพระผู้เมตตาช่วยรักษาจิตใจ สอดรู้สอดเห็นใช้แลกเปลี่ยนความจริง บันทึกเวลาย้อนสภาพร่างกายตัวเองกลับไปใน3วินาทีก่อน หลงลืมมากเล่ห์เปลี่ยนลักษณะภายนอกบางส่วน น้ำตาโลหิตขโมยความแข็งแกร่งทางกายภาพของเป้าหมาย" แจ็คมองมิลาด้าด้วยความตกตะลึง จำนวนวัตถุวิเศษที่เธอครอบครองสมกับเป็นตระกูลสามเสาหลักจริงๆ

"ดาบเพอซิอุสแตกหักยาก เกราะเหยี่ยวดวงดาวเพิ่มความสงบลดความเสียหาย รองเท้าจอมกะล่อนเดินบนอากาศได้เป็นเวลาสั้นๆ" เมื่อเทียบกับมิลาด้า เอ็ดวินที่เป็นผู้วิเศษระดับปุโรหิตและกัปตันของเรือแอสตราลิส การมีวัตถุวิเศษแค่3ชิ้นนั้นก็นับว่ายากจนมาก

"หึ่ย ส่วนฉันน่ะมีแค่นี้" แจ็คโชว์ให้เห็นสร้อยคอโลหะสีเงิน

"พระพรแห่งเมลิซ่า สามารถชักจูงความคิดของผู้อื่นผ่านคำพูดได้"

"..." ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่บนเรือเดียวกันมานาน อัลเลย์คงคิดว่ามิลาด้ากับแจ็คเป็นสมาชิกองค์กรชั่วร้ายเป็นแน่

"ส่วนที่เหลือบนเรือก็มีเผาไหม้วัตถุที่สัมผัส แลกเปลี่ยนมูลค่าวัตถุ ควบคุมอุณหภูมิโดยรอบ สร้างรูเชื่อมขนาดเท่าฝ่ามือไปพื้นที่ไร้ก้น ชะลอความเร็วในการตกได้"

"ชะลอความเร็วในการตก!!" ดูเหมือนเทพธิดาแห่งโชคจะยังเข้าข้างพวกเขาอยู่

เอ็ดวินไม่พูดมาก หยิบกล่องหนังใบหนึ่งออกมา เมื่อเปิดออกก็เจอวัตถุศักดิ์สิทธิ์4-5ชิ้นวางเรียงอยู่ในนั้น

"นี้มัน..."

"มันคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของลูกเรือที่ตายไป" เอ็ดวินพูดด้วยความสงบ แต่เขาก็ยังแอบสัมผัสได้ถึงอารมณ์บางอย่างในน้ำเสียงนั้น

"ทุกคนที่ขึ้นเรือลำนี้ต่างก็ต้องลงนามสัญญาว่าเมื่อตายแล้วกลายเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ จะต้องทำการส่งต่อพลังให้คนที่เหลือเพื่อให้ภารกิจสำเร็จ บางคนก็เลือกที่จะเก็บไว้ถาวรบางคนก็ต้องทำลายทิ้งหลังจบภารกิจ"

หรือก็คือเตรียมใจตายกันมาหมดเลยซินะ

"คงจะรู้ตัวสินะ ถ้าหากครั้งนี้พลาดพวกเราจะติดเข้าไปในพายุแล้วต้องตายกันหมด"

อัลเลย์มองไปยังคนทั้งหมดบนเรือ เสียงลมเข้าใกล้มาเรื่อยๆ สูดหายใจลึกๆ เป็นครั้งสุดท้าย

"ไม่รับประกันว่าจะสำเร็จ"

"แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว" เอ็ดวินมองไปยังพายุงวงช้างอันนั้น ด้วยทัศนวิสัยที่ไม่ดีก่อนหน้านี้ทำให้ลำบากในการสังเกตรูปลักษณ์ของมัน แต่ตอนนี้เมื่อเข้ามาใกล้มากขึ้นก็ยิ่งทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอสูรตัวนี้

พายุงวงช้าง ความเร็วลมมากกว่า 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เส้นผ่านศูนย์กลางกว้างกว่า2กิโลเมตร เป็นสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่กลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า เรือบดลำเล็กเริ่มส่งเสียงของการแตกหัก ถึงเอ็ดวินจะพยายามยื้อไว้แค่ไหนก็ไม่อาจสู้กับพายุตรงหน้าได้

แจ็คเรียกโซ่ออกมาและเริ่มผูกทุกคนเข้าด้วยกัน ซาแมนธากำมือไว้แนบอก พยายามภาวนาถึงเทพแห่งนิรันดร์ที่ตนนับถือ

"ไป!!"

หลังจากที่เอ็ดวินยกเลิกพลัง เรือลำนี้ก็ถูกดึงเข้าหาพายุอย่างรวดเร็ว เสียงลมดังบาดหูจนยากจะได้ยินเสียงอื่น เรือพลิกคว่ำหมุนควงในอากาศหลายรอบจนซาแมนธาเกือบอ้วกออกมา

"ไปทางนั้น!!" ชายหนุ่มพยายามตะโกนสุดเสียงสู้กับแรงลงโดยรอบ เอ็ดวินถือดาบยาวสีเงินขึ้นมา ก่อนจะใช้พลังวิเศษของตนในการเปลี่ยนทิศทางการลอยของเรือ

เอ็ดวินฮึดฮัดขัดใจ ดูเหมือนการเข้าใกล้พายุนี้จะทำให้ใช้พลังวิเศษได้ยากยิ่งขึ้น ตอนนี้แม้แต่การควบคุมแบบง่ายๆ ก็ทำให้มีเหงื่อซึมออกมาบนหน้าผาก

"พอก่อน" มองไปยังเส้นทางสีทองตรงหน้ามันนั้นไล่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ไปตามขอบของพายุ อาจจะเพราะเทพแห่งโชคชะตาเห็นใจจริงๆ เรือลำนี้ถึงได้ลอยไปในทิศทางที่ถูกต้อง ตามไปทางถนนสีทองเหล่านี้

นี้ควรจะคล้ายกับบันไดแห่งวัลฮัลล่าใช่มั้ย

วัตถุขนาดใหญ่คล้ายเสาของวิหารลอยขึ้นมาพร้อมพายุ มันเร็วมากจนเกือบโยกเรือหลบไม่ทัน สัตว์ประหลาด สัตว์ร้าย หรือแม้แต่ปลาซาร์ดีนที่ไม่ได้เห็นมานานก็ต่างลอยขึ้นมาบนนี้

บ้างก็เห็นเป็นแค่เศษซากที่เหลืออยู่เท่านั้น อัลเลย์ได้เห็นฉากที่สัตว์ร้ายถูกรูปปั้นคล้ายนิ้วมือขนาดใหญ่ชนอัดจนกลายเป็นกองเศษเนื้อ ลอยขึ้นไปในพายุ

ทรายจากพื้นทะเลที่ถูกดึงขึ้นมา สร้างบาดแผลขนาดเล็กมากมายให้กับทุกคนบนเรือ แม้แต่เรือไม้ลำนี้ก็ยังมีรูมากมายที่เกิดจากทรายเหล่านั้น

ซาแมนธาหน้าซีดปากสั่นแต่ก็กลัวว่าหากเผลอสลบไปตนจะไม่ได้ตื่นอีก ส่วนมิลาด้ามองไปหางของสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ข้างหน้า พยายามควบคุมไฟสีทองที่ถูกพายุพัดพาจนมอดดับไปกลับมาก่อนจะตัดหางนั้นให้ขาดเป็นสองท่อน สาดเลือดสีแดงใส่ทุกคนบนเรือจนเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่ไม่นานก็ถูกชะล้างไปด้วยฝนในพายุ

ความเจ็บปวดในดวงตายิ่งทำให้ร่างกายนี้หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ แต่หากเขามาหลับไปตอนนี้ ทุกคนบนเรือก็ต้องตายไปจริงๆ

เรือลำนี้แล่นอยู่บนถนนสีทองลอยสูงขึ้นจนไปถึงท้องฟ้า กลุ่มของเมฆพัดผ่านสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้กับพวกเขา ด้วยจำนวนออกซิเจนที่มีอยู่น้อยนิดก็ทำให้ทุกคนบนเรือหน้าตาเหนื่อยหอบ ซาแมนธาที่ทนไม่ไหวก็สลบจนเกือบตกลงไปจากเรือ

"ป้าซาแมนธา!!" แจ็ครีบใช้โซ่ดึงหล่อนกลับมาพร้อมสร้างรอยช้ำขึ้นตามแขนขา ใบหน้าของเขาก็เริ่มแดงก่ำจากการขาดอากาศหายใจ

ไม่ดี

เราต้องรีบออกไปจากที่นี้

"ระวัง!!" มิลาด้ากระชากแขนอัลเลย์หลบวัตถุที่ลอยผ่านมาอย่างรวดเร็ว สิ่งนั้นไปชนกับหินที่ลอยตามข้างหลังพวกเขาจนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

อันตรายจริงๆ

เกือบแล้ว หากมิลาด้าช่วยไม่ทันคงได้ตายจริงๆ แน่

อัลเลย์จิกเล็บไปบนบาดแผลตามร่างกาย พยายามเรียกสติกลับมาให้มากที่สุด การมองเห็นละอองเหล่านั้นทำให้อาการปวดหัวยิ่งแย่มากขึ้น

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดในไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่ช่างยาวนานจนเหมือนเกือบทั้งชีวิตของเขา แสงอาทิตย์เล็ดลอดออกมาจากข้างบนนำพาความรู้สึกอบอุ่นที่คุ้นเคยกลับมา เขาเพ่งสมาธิมองเส้นทางตรงหน้า มองเห็นเส้นทางสุดท้ายของการเดินทางอันยาวนานนี้

"อาจารย์!! ทางขวา!!"

เอ็ดวินที่ถูกมัดด้วยโซ่ของแจ็คตรงเอวกระโดดออกจากตัวเรือ ใช้รองเท้าจอมกะล่อนกระโดดออกให้ไกลที่สุด

ละอองแสงจำนวนมากถูกดูดเข้ามาที่ปลายดาบของเขา กลายเป็นก้อนวงกลมสีดำแดงที่หมุนวนไปมาด้วยความเร็วสูง อากาศรอบๆ ถูกบิดเบือนจนบิดเบี้ยว

โซ่ที่มัดรอบเรือบดแน่นตึงส่งเสียงคล้ายเหล็กเสียดสี

ถ้าพลาดครั้งนี้ พวกเราก็จะตายกันหมด!!

ทุกคนบนเรือที่ยังมีสติใช้มือกับโซ่จนแน่น เลือดสีแดงไหลรินไปตามโซ่และมือของเขา ละอองแสงพวกนั้นเคลื่อนผ่านพวกเขาไป ไม้บนเรือบางส่วนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด บ้างก็ปริแตกและปลิวหายไปตามพายุ

เมื่อพายุเคลื่อนผ่านไปเรือลำนี้ก็ค่อยๆ หลุดออกจากพื้นที่ขอบพายุ ก่อนจะตกลงไปตามแรงโน้มถ่วง เอ็ดวินที่ใช้พลังจนหมดก็ถูกฉุดดึงรั้งด้วยโซ่จนหล่นลงมาพร้อมเรือลำนี้

"อ๊ากกกก" แจ็คกรีดร้องโหยหวน พึ่งได้รู้ก็ตอนนี้ว่าตัวเองจะเป็นโรคกลัวความสูงด้วย!!

อัลเลย์มองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ถึงโลกก่อนจะเคยได้ขึ้นเครื่องบินหลายครั้งแต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ลอยตกลงมาจากท้องฟ้าแบบนี้

แสงพระอาทิตย์สีเหลืองตรงขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่ จนอดทำให้นึกถึงช่วงเวลาที่โลกก่อนไม่ได้

เอ็ดวินนำร่มที่ตนพกมาตลอดออกมา ร่มคันนี้ทำจากผ้าสีสันสดใสสวยงาม มีลูกไม้สีขาวพร้อมโบสีแดงขนาดเล็กจำนวนหนึ่งประดับอยู่ ขัดกับภาพลักษณ์ของเอ็ดวินที่ดูเป็นคนเงียบขรึมเข้าถึงยาก

เมื่อกางออกก็ส่งเสียง ฟึบ สั้นๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะฉุดรั้งให้ทุกคนค่อยๆ ร่อนลงไปอย่างเชื่องช้า

"นี้...เรารอดจริงๆ?" แจ็คมองภาพพระอาทิตย์ขึ้นตรงหน้าอย่างมึนงง ไม่คิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องมามีประสบการณ์แบบนี้ เขาใช้มืออันสั่นเทาของตนเปิดเหล้าที่เหลือขึ้นมาดื่ม ถึงจะมีหกไปบ้างแต่ก็ได้ลิ้มรสชาติของการมีชีวิต เตือนสติว่าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่

ดวงอาทิตย์สีทอง... มิลาด้าจ้องไปยังภาพตรงหน้าอย่างนิ่งเงียบ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำเงินนั้น ตกลงไปสู่ทะเลสีดำเบื้องล่าง

"จบแล้ว..." ถึงเรือลำนี้จะรอดออกมาแบบไม่สมประกอบสักหน่อยแต่ก็ยังพอที่จะซ่อมได้อยู่ อัลเลย์ที่ตอนนี้เจ็บตาจนลืมไม่ขึ้น แสงอาทิตย์ที่ดูอบอุ่นก็กลายเป็นรังสีสุดชั่วร้ายที่ทำให้อาการแสบตาแย่ขึ้น

แต่ความอบอุ่นที่สัมผัสได้ก็ช่างรู้สึกดีเหลือเกิน

"นั้นอะไร?" แจ็คในฐานะอดีตยามเรือที่พึ่งตกงานมาไม่นาน สังเกตเห็นบางอย่างข้างล่าง ยิ่งเขาตกลงไปเท่าไหร่ก็ยิ่งสังเกตเห็นมันได้ชัดเจนมากขึ้น

"คริมสันคราวน์!!"

มฤตยูสีขาวเส้นทางแห่งความโลภ กลุ่มนกสีขาวจำนวนมากบินอยู่ข้างล่าง และอีกไปนานพวกเราทุกคนก็กำลังจะตกลงไปปะทะกับพวกมัน

ทุกคนบนเรือมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาว่างเปล่า ตอนนี้เรี่ยวแรงของทุกคนต่างก็หมดไปแล้ว หลังจากผ่านการต่อสู้อย่างยาวนานกับสัตว์ประหลาดระดับนักบุญจนไปถึงการเอาตัวรอดจากพายุงวงช้าง

"เตรียมต่อสู้" เอ็ดวินที่ใช้แขนที่เหลืออยู่ข้างเดียวถือร่มอยู่ด้านบนรีบตะโกนเตือนสติทุกคนในตอนนี้ มิลาด้ากัดฟันหยิบดาบของตนขึ้น อัลเลย์จับดาบยาวในมือแน่นพร้อมมองไปยังพายุสีขาวข้างล่าง

เสียงของพวกมันดังสับสนวุ่นวายไปทั่ว ขนนกและปีกสีขาวโบกตีไปทั่วสมาชิกแอสตราลิสที่เหลืออยู่ เขาเหวี่ยงดาบยาวในมือตอบโต้ แต่น่าแปลกที่พวกมันกลับเมินเฉยพวกเขาแล้วกลับรีบบินหนีออกไปด้วยความหวาดกลัวบางอย่าง

อัลเลย์เงยหน้ามองนกสีขาวพวกนั้นด้วยดวงตาตื่นตระหนก สัญชาตญาณของเขากู่ร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวในบางอย่าง

อะไร นั้นคืออะไร!!

ความรู้สึกคล้ายมีบางสิ่งจ้องมองจากข้างหลัง ทำให้หนังศีรษะของเขาชาจนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง

"ข้างหลัง!!"

มันไม่ทันแล้ว

เป็นแสงสีขาวส่องสว่างจากด้านหลังของทุกคน ดูคล้ายแสงศักดิ์สิทธิ์ตามพระคัมภีร์เมื่อเทพเจ้าปรากฏตัวบนโลกมนุษย์

ตูมมมมม!!!!!

นี้...มันยิ่งกว่าวันสิ้นโลกอีกนะเนี่ย

ก้อนเห็ดสีแดงขนาดยักษ์พวยพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า งดงามราวกับดอกกุหลาบกำลังเบ่งบานออกมาจากพื้นโลก

"จับให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้!!" เอ็ดวินหุบร่มของเขาทันที รีบดึงโซ่กลับไปรวมกลุ่มที่เรือไม้ลำเล็ก

คลื่นกระแทกไล่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ซัดกระแทกพวกเขาจนเกือบจะหลุดออกจากกัน

ภายในหูไม่ได้ยินอะไรอีก นอกจากความรู้สึกของลมและเลือดที่ไหลออกมา ความสับสน และความมึนงงต่อเส้นทางชีวิตของตน

ตูม!!

ถึงเอ็ดวินจะพยายามกางร่มเพื่อลดความเร็วในการตก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก พวกเขาตกไปในทะเลอย่างรุนแรง เรือไม้แตกกระจายไปทั่ว ความเจ็บปวดและอาการชาทั่วร่างกายทำให้เขาหายใจลำบาก

[อัลเลย์]

เสียงกระซิบแหบพร่านั้นพร่ำเพ้อเรียกชื่ออยู่ข้างหู ความทรงจำของตนพร่าเลือนเกินกว่าจะคิดอะไรออก ภาพตรงหน้าซ้อนทับกันจนมองไม่เป็นรูปร่าง คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นมนุษย์ที่กำลังเอื้อมมือมาคว้าตน

อะไร

นั้นคืออะไร

ผมคือใคร?

ภาพตรงหน้ามีแค่ความมืดมิด เหมือนกับว่าร่างกายกำลังล่องลอยอยู่ภายในสักอย่าง ฟองอากาศขนาดเล็กจำนวนมากผุดขึ้นมาจากน้ำสีดำเบื้องล่าง เสียงของน้ำและคำกระซิบมากมายดังไปทั่วบริเวณ

อะไร

[#@฿#&]

พวกเขากำลังเรียกอะไรอยู่

[กุ.....ลา....มรณะ]

[อัลเลย์!!]

เสียงเรียกพร้อมความเจ็บปวดบนใบหน้า ช่วยเรียกคืนสติอันน้อยนิดกลับมาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าช่างพร่าเลือนจนยากจะมองเห็น ดูเหมืองดวงตาของเขาจะมีปัญหาจนทำให้มองทุกอย่างรอบตัวเบลอไปหมด

[อั...]

ใช่ อัลเลย์...อัลเลย์ อาโดนิส...ตอนนี้เราอยู่ในทะเล...

ทะเล?

สัมผัสของหญ้าที่ไม่ได้จับมานานบนฝ่ามือนั้นช่างเหมือนจริงจนน่าตกใจ พื้นดินที่นิ่งสม่ำเสมอไม่โยกเยกเหมือนบนเรือมอบความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินเล็กน้อยให้กับเขา

พื้นดิน นี้คือพื้นดิน!!

"หญ้า..." แค่คำคำเดียวก็ทำให้คอของเขาเจ็บปวดเกินกว่าจะพูดต่อ

ยิ่งใช้มือคลำสำรวจพื้นที่ไปทั่ว ก็ยิ่งทำให้มั่นใจมากขึ้นว่าตอนนี้เขาอยู่บนพื้นดินจริงๆ

"พื้นดิน..."

ถึงอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีอะไรออกมา ถึงดวงตาจะแดงแค่ไหนก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงน้ำตาสักหยด เป็นความอึดอัดในใจที่ยากจะระบายออกไป

มองไปยังภาพแผ่นดินที่กว้างสุดลูกหูลูกตาด้วยความเหม่อลอย ถึงดวงตาจะเจ็บปวดหรือภาพจะพร่าเลือนแค่ไหน แต่เขาก็ยังสามารถรับรู้ถึงสิ่งตรงหน้าได้ชัดเจนอยู่ดี

บางทีอาจจะมาถึงแล้วจริงๆ ดินแดนแห่งความหวัง

มาถึงแล้ว...