"นายคือใคร" อัลเลย์มองไปยังชายผมดำตรงหน้า เขาไม่เพียงแค่จับมือของตนแน่นจนสะบัดไม่หลุดเท่านั้น แต่ยังใช้ดวงตาสีดำแปลกประหลาดจ้องมองมายังเด็กหนุ่มด้วยความสนใจ
เขาใช้มือกุมคางทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะแสดงท่าทางคล้ายคนที่คิดอะไรบางอย่างออก
"นั้นสินะ ดูเหมือนผมจะลืมแนะนำตัวเองไปเลย"
"ผมชื่อเบอร์โต้ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรงั้นเหรอ" เบอร์โต้ ชายคนนี้แสดงท่าทางคล้ายกับคนที่เป็นมิตร แต่กลับดูเกินจริงยิ่งกว่านักแสดงมือสมัครเล่นซะอีก
"อัลเลย์...คุณรู้รึเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายคนนั้น" ชายคนนั้นในที่นี้หมายถึงมนุษย์ที่ถูกแปดเปื้อนในบ้านหลังนั้น
ชายคนนี้มีเจตนาอะไรกันแน่ ผู้วิเศษระดับปราชญ์ที่กำลังแสร้งเป็นคนธรรมดา แถมยังพูดคุยอย่างสุภาพกับเด็กจรจัด แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามีความคิดแอบแฝงบางอย่างอยู่
"มันเป็นเพราะจดหมายครับ" น่าแปลกที่เขายอมตอบอย่างง่ายดาย เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
จดหมาย? จดหมายลับพวกนั้นสามารถทำให้คนถูกแปดเปื้อนได้อย่างงั้นเหรอ
"การปนเปื้อนความเสื่อมทราม มันเป็นเหมือนโรคติดต่อร้ายแรง ไม่ทราบสาเหตุการติดต่อ ไม่ทราบวิธีรักษา มีมานานตั้งแต่ยุคที่มนุษย์พึ่งถือกำเนิด"
"แต่นั้นเป็นความรู้เก่าครับ" ชายหนุ่มจูงมืออัลเลย์ให้เดินไปยังพื้นที่สลัมในขณะที่ยังพูดคุยด้วยรอยยิ้ม
"ในช่วงกลางยุคที่3 เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุมากมายต่างก็พยายามค้นคว้าหาที่มาของมัน ในตอนนั้นเอลีออน โคเปอร์นิคัสก็เป็นคนแรกที่ได้ทำการค้นพบถึงที่มาของสิ่งนั้น..."
"ที่มา...ของการปนเปื้อน?" อัลเลย์มองไปยังชายผมดำตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
"มันคือข้อมูล"
"ข้อมูล?"
"เมื่อประสาทสัมผัสทั้ง5ของสิ่งมีชีวิตพยายามที่จะตีความข้อมูลบางอย่างที่อยู่เหนือระดับสามัญสำนึกและความสามารถในการประมวลผลของตนเอง ร่างกายก็จะถูกบังคับให้ทำการวิวัฒนาการเพื่อให้สามารถรองรับข้อมูลพวกนั้นได้"
"เมื่อรับเข้าไปแล้วก็ไม่สามารถนำออกไปได้อีก และแน่นอนว่าการวิวัฒนาการที่รวดเร็วเกินไป จุดจบก็มีได้แค่ความบ้าคลั่งและความตายเท่านั้น"
มันทำให้นึกถึงคำพูดของไกด์ นิวม่าคือพลังที่มีความสามารถในการวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิต ดังนั้นหมายความว่าทุกการเลื่อนระดับก็จะเท่ากับการวิวัฒนาการอย่างงั้นเหรอ
แล้วจุดจบของวิวัฒนาการนี้อยู่ที่ไหน?
หรือว่าเทพ?
บางทีมนุษย์อาจจะสามารถวิวัฒนาการจนกลายเป็นเทพได้ เทพแห่งนิรันดร์ เทพแห่งพันธสัญญา ก็อาจจะเคยเป็นมนุษย์มาก่อน
อัลเลย์จมอยู่ในห้วงความคิด เมื่อรู้สึกตัวอีกทีตนก็มาอยู่ในพื้นที่โรงงานร้างแห่งหนึ่ง ที่นี่ถึงจะดูเงียบงันและวังเวง แต่ด้วยประสาทสัมผัสที่ดีขึ้นหลังการกลายเป็นผู้วิเศษ เขาจึงสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจเต้นและลมหายใจไม่สม่ำเสมอรอบๆ บริเวณ
เบอร์โต้ยังคงไม่หยุดเพียงแค่นั้น ชายคนนี้เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงส่วนลึกสุดของโรงงาน เด็กจำนวนมากโผล่ออกมาทีละคน เฝ้ามองยังพวกเขาทั้งคู่ด้วยความสนใจ
"คุณพาผมมาที่นี่ทำไม?" แล้วเรื่องจดหมายอีก เขาเลือกที่จะไม่ถามเรื่องจดหมายไปในตอนนี้ ด้วยความหวาดระแวงที่มีต่อสายตามากมายที่จับจ้องมาที่ตน แต่เหมือนเบอร์โต้จะไม่สนใจสิ่งพวกนั้น พูดออกไปตรงๆ โดยไม่มีการปิดบังแม้แต่นิดเดียว
"นายอยากรู้เรื่องจดหมายไม่ใช่เหรอ? ผมก็เลยพามาที่องค์กรเด็กจรจัด ที่นี่เป็นสถานที่ที่ใช้รับงานส่งจดหมายยังไงล่ะ"
แกนั่นแหละที่พูดขึ้นมาให้สงสัย!!
เด็กจรจัดที่ถูกพูดถึง หมายถึงเด็กที่ขาดผู้ปกครอง ไม่มีบ้านอยู่ หลับนอนอยู่ตามถนน เฝ้าหาของกินและเศษเหลือมากินประทังชีวิต พวกเขาไม่มีนามสกุล สิ่งระบุตัวตน เมื่อโตไปก็กลายเป็นคนจรจัด อันธพาล หรือพวกกลุ่มความเชื่อสุดโต่ง ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม กลายเป็นเหมือนหนูในท่อที่ไม่มีใครสนใจ
แต่หนูพวกนี้มีจำนวนเยอะมาก
เด็กที่อยู่ในโรงงานแห่งนี้มีไม่ต่ำกว่า100คน เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะสาเหตุอะไรถึงทำให้มีเด็กจรจัดจำนวนมากในเมืองท่าแห่งนี้
ก๊อกๆ
"โรแลนด์ผมกลับมาแล้ว" เบอร์โต้ใช้หลังมือเคาะลงไปบนประตูด้วยน้ำหนักที่พอดี ห้องตรงหน้าเงียบไปไม่นานก่อนจะมีเสียงคล้ายบางอย่างหล่นตกจากในห้อง
ชายหนุ่มยังคงยืนรออยู่หน้าประตูด้วยความอดทน ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลข้างหลังประตูไม้บานนั้น
เด็กหนุ่มมองเบอร์โต้ด้วยความดีใจ ก่อนจะมองเด็กผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างพี่ของตนด้วยความระแวดระวัง
"เบอร์โต้ นั้นใคร?"
"เขาชื่ออัลเลย์เป็นเด็กจรจัด วันนี้ตอนไปส่งจดหมายก็ถูกเขาช่วยชีวิตเอาไว้"
"ช่วยชีวิต!!? ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าไปทำ..." โรแลนด์หยุดชะงัก เหลือมองไปยังเด็กจรจัดคนอื่นที่ยังคงแอบมองมาจากมุมต่างๆ ของโรงงาน
"เข้ามาข้างในบ้านก่อน"
ดูเหมือนครอบครัวนี้จะมีอิทธิพลบางอย่างในพื้นแห่งนี้ บ้านที่เด็กคนนี้เรียกคือพื้นที่ห้องหนึ่งในโรงงานร้างที่ถูกดูแลอย่างดี มีเฟอร์นิเจอร์ที่ผ่านการซ่อมบำรุงจำนวนมากในห้องทำให้ที่นี่ไม่ดูโล่งจนเกินไป
บางมุมยังมองเห็นถึงสินค้าราคาแพงที่ไม่น่าถูกครอบครองได้โดยเด็กจรจัดธรรมดา ไม่ว่าจะขนมหวาน หนังสือ ของเล่นเครื่องกลที่ดูทันสมัย
"ก็บอกพี่ไปแล้วไงว่าถ้าอยากเป็นนักส่งจดหมายก็ให้เข้าร่วมสมาคมเสียงศักดิ์สิทธิ์ก่อน!! ไปแอบทำงานแบบนี้ได้ยังไงกัน"
"ผมไม่ชอบพวกสมาคมหรือลัทธิแปลกประหลาด โรแลนด์นายรีบออกมาจากที่นั่นเถอะ งานส่งจดหมายถึงไม่เข้าที่สมาคมแบบนั้นก็ยังสามารถทำกันเองได้"
"พี่จะบ้ารึไง!! มันเหมือนกันที่ไหน แล้วใครกันที่วันนี้บาดเจ็บกลับบ้านมาล่ะ!!" เด็กหนุ่มมองคราบเลือดที่ยังหลงเหลืออยู่บนเสื้อผ้าด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
ชายคนนี้กำลังโกหก
กิริยาและวิธีการพูดของทั้งคู่ต่างราวฟ้ากับเหว ดูขัดตาราวกับหน้ากระดาษที่ถูกลบเนื้อหาออกแล้วถูกเขียนเพิ่มเติมแต่งเข้าไปแบบหยาบๆ
นี้คือพลังวิเศษของชายคนนี้งั้นเหรอ
อัลเลย์ตระหนักได้ถึงความผิดพลาดบางอย่างทันที ชายคนนี้เป็นผู้วิเศษระดับปราชญ์ถ้าเป็นผู้วิเศษระดับต่ำกว่าทั่วไปก็คงจะไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเหล่านี้
เบอร์โต้คนนี้รู้อยู่แล้วว่าตัวเขาสามารถมองผ่านการปลอมแปลงนั้นได้ ความอบอุ่นในดวงตาทำให้เขามั่นใจมากขึ้น ดูเหมือนดวงตาคู่นี้จะสามารถทำให้เขามองเห็นรายละเอียดบางอย่างเพิ่มขึ้นได้
ตอนไหน...น่าจะตอนแรกที่เราพบกันในห้องใต้ดินเลยด้วยซ้ำ
"แล้วชายคนนี้พี่พากลับมาบ้านทำไม ดูยังไงก็ไม่เหมือนเด็กจรจัด" โรแลนด์มองไปยังอัลเลย์ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร หน้าตากับผิวพรรณแบบนี้กล้ามาบอกว่าตัวเองเป็นเด็กจรจัดได้ยังไง มีแค่พวกโง่เท่านั้นแหละที่จะเชื่ออะไรแบบนี้
เมื่อถูกเรียกว่า'เด็ก' อัลเลย์ก็พึ่งได้นึกว่าตอนนี้เขาอยู่ในร่างเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ใหญ่แบบในโลกเก่าอีกต่อไป
"แต่โรแลนด์ เด็กคนนี้เป็นเด็กจรจัดที่มาจากนอกพอร์ตเอลเวย์น แถมยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้ดีนัก พวกเราไม่ควรจะปล่อยเขาเอาไว้ข้างนอกตัวคนเดียวใช่ไหม? แล้วบางทีลอเรนด์ก็อยากมีเพื่อนคนอื่นเหมือนกัน นายไม่อยากให้น้องสาวมีเพื่อนเลยงั้นเหรอ?"
"หา!? นอกพอร์ตเอลเวย์น!?" เด็กหนุ่มมองอัลเลย์ด้วยสายตาพิกล ปากของเขาอ้าๆ หุบๆ อยู่อย่างนั้นจนเขาหาเสียงตัวเองเจอ
"ทำไมลอเรนด์ถึงต้องมีเพื่อนคนอื่นด้วย!!" โรแลนด์โกรธจนใบหน้าแดงก่ำ แต่สุดท้ายก็ยอมถอยหนึ่งก้าวเพื่อพี่ชายตัวเอง เฝ้ามองผู้ชายผิวขาวซีดตรงหน้าด้วยแววตาคมกริบ
ชายคนนี้ต้องมีเจตนาบางอย่างถึงได้เข้าหาพี่ชายเขาแน่ๆ
ชายคนนี้ต้องมีเจตนาบางอย่างถึงได้เข้าหาตัวเรา
อัลเลย์เหลือบมองไปยังเบอร์โต้ ชายผมดำคนนี้สามารถพูดจาหว่านล้อมควบคุมความนึกคิดของผู้คนได้อย่างง่ายดาย ดูไม่คล้ายผู้วิเศษธรรมดาทั่วไป แถมยังมีแผนเบื้องหลังบางอย่างถึงได้พาเขามายังบ้านหลังนี้
ครอบครัวนี้มีอยู่3คน เบอร์โต้พี่ชายคนโตชายปริศนาที่ดูอันตรายที่สุดในโรงงานร้างแห่งนี้ โรแลนด์น้องชายคนรองเป็นสมาชิกของสมาคมเสียงศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง แค่ได้ฟังชื่อก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี น้องสาวคนเล็กลอเรนด์เป็นสมาชิกในสมาคมเช่นกันแต่เธอมักจะต้องไปทำงานภายในสมาคมบ่อยๆ
ทั้ง3เป็นสมาชิกขององค์กรเด็กจรจัด ที่นี่นอกจากการส่งจดหมายเถื่อน ก็ยังมีทั้งคนเก็บขยะ โจร และเด็กที่อาศัยการคุ้ยขยะอย่างเดียวเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ
เบอร์โต้ ชายคนนี้อ้างว่าแอบออกไปส่งจดหมาย แต่กลับไปอยู่ในบ้านหลังนั้นหลังจากที่ชายคนนั้นได้รับการปนเปื้อนจากจดหมาย ถ้าจะบอกว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ดูจะดูถูกสติปัญญาของเขาไปสักหน่อย
บางทีเขาอาจจะพยายามสืบเรื่องจดหมายอยู่ก็ได้
"เดี๋ยวผมจะออกไปรับลอเรนด์ ไม่รู้หรอกว่าอยากเล่นอะไร แต่อย่าออกไปทำอะไรเสี่ยงๆ อีกแล้วกัน ผมกับน้องสาวขี้เกียจที่จะต้องมานั่งดูแลพี่อีก"
"รับทราบแล้ว"
"...งี่เง่า"
ปัง
อัลเลย์มองไปยังประตูบานนั้นอย่างเงียบงัน ภายในห้องนี้มีแค่เขากับเบอร์โต้เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นเลย แต่กลับดูอันตรายมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มผมดำยังคงรักษารอยยิ้มตามปกติ ก่อนจะเดินไปต้มน้ำเพื่อใช้ชงชา ชาที่ใช้ก็เป็นแค่ชาราคาถูกเท่านั้น แต่สิ่งนี้กลับเป็นของมีค่าหายากสำหรับเด็กในสลัม น้อยคนนักที่จะได้กินดีอยู่ดีแบบบ้านหลังนี้
"คุณคือใคร"
เบอร์โต้ยังคงขยับแขนของตนต่อไปโดยไม่หยุดนิ่ง ดวงตาสีดำนั้นสงบมากไม่มีคลื่นของการเปลี่ยนแปลงใดๆ
"ผมชื่อเบอร์โต้ เป็นพี่ชายคนโตของครอบครัวนี้" ดวงตาสีดำสนิทนั้นสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเด็กหนุ่ม ภายในนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า
"แต่ผมสนใจอย่าอื่นมากกว่า"
"อย่างเช่นที่มาของตัวคุณ"
ภายในดวงตามืดมิดนั้น ชายคนนี้เป็นเหมือนหุ่นกลวงที่ไร้วิญญาณ เขาขยับตัวไม่นานก็มีชุดถ้วยชาหน้าตาธรรมดาวางอยู่บนโต๊ะ
"น่าแปลกจริงๆ ที่ในสถานที่แบบนี้จะมีอัจฉริยะที่มีระดับแรงบันดาลใจสูงปรากฏตัวขึ้นมาได้" เบอร์โต้นั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนค่อยๆ เทชาลงในถ้วยอย่างสง่างาม
"ผมสงสัยมาก ว่าคุณคืออะไร" เขาใช้ปลายนิ้วดันถ้วยชาไปทางอัลเลย์ ควันสีขาวลอยขึ้นมาจากถ้วยชาอย่างเชื่องช้า
"เป็นตัวตนที่ดูมีความขัดแย้งมากมายรวมอยู่ด้วยกัน แปลกประหลาด เป็นส่วนหนึ่ง แต่ก็แตกแยก"
"คุณคือใครอัลเลย์?" ชายผมดำคนนั้นส่งรอยยิ้มมาให้ เป็นรอยยิ้มที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย
มันคือการพนัน
อัลเลย์มองไปยังชายตรงหน้า เป็นการพนันที่เดิมพันระหว่างความตายกับกำไรมหาศาล สัญชาตญาณของเขาบ่งบอกว่าสิ่งมีชีวิตตัวนี้อันตรายมากแค่ไหน
"งั้นเรามาคุยกันเถอะ"
"คุณหมออาร์ชีคนที่ทางPCDส่งมา พึ่งมาถึงเมื่อกี้เลยครับ" ชายวัยกลางคนกล่าวทักทายชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตรงหน้าด้วยความเคารพ อาร์ชีพยักหน้าตอบกลับพร้อมเดินไปยังที่มาของความร้อนรอบข้อมือ
หน่วยอาชญากรรมเหนือธรรมชาติหรือPCD (The Paranormal Crime Division) ทำหน้าที่ในการจัดการคดีเกี่ยวกับผู้วิเศษทั่วราชอาณาจักรไฮเซิน สมาชิกในหน่วยนี้ต่างก็เต็มไปด้วยผู้วิเศษอัจฉริยะมากมาย แถมทุกคนต่างก็จบมาจากมหาวิทยาลัยมิสคาโทนิคทั้งนั้น
แอ๊ด
ดวงตาสีฟ้าหลังกรอบแว่นมองไปยังบุคคล5คนภายในห้อง แต่สุดท้ายก็มาหยุดที่ชายคนหนึ่ง
ชายหนุ่มขยับหัวเล็กน้อย ผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งเหยิงอย่างไร้ระเบียบขยับไปตามการเคลื่อนไหว ดวงตาสีม่วงพลัมแปลกประหลาดจ้องมองไปยังอาร์ชี ไฝที่ใต้ตาซ้ายและคางซ้ายล่างขยับเล็กน้อยตามจังหวะการพูด
"ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้ง คุณอาร์ชี"
"คดีจดหมายเถื่อนนี้จะอยู่ภายใต้การดูแลของผมหลังจากนี้ หวังว่าพวกเราจะร่วมงานกันได้ดีเหมือนเดิม" ไม่ใช่ภายใต้PCDแต่เป็น'ผม' คำนี้แสดงให้เห็นถึงความหยิ่งยโสของชายตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
"ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้งเช่นกัน หวังว่าจะปิดคดีนี้ได้แบบปกตินะครับคุณซิลเวสเตอร์"
"นั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว" ดวงตาสีม่วงพลัมโค้งขึ้นตามรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ภายในของมันนั้นกลับดูเต็มไปด้วยความนัยที่ยากจะอ่านออก
ซิลเวสเตอร์ มาอาโธนี [ผู้ทำสัญญานอกขอบฟ้า] ลูกหลานแห่งสุญญะ อัจฉริยะแห่งมิสคาโทนิค คนที่ทำตัวดูเหลวไหลและไม่น่าเชื่อถือนี้กลับเป็นถึงผู้วิเศษระดับ4 ดูเหมือนว่าทางสภาจะต้องการปิดคดีนี้ให้ได้จริงๆ ถึงได้ส่งชายคนนี้มาที่นี่
อาร์ชีเมินเฉยต่อท่าทีของชายคนหน้าที่ราวกับมาแค่เที่ยวเล่นเท่านั้น เขายกกระเป๋าหนังขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนนำเอกสารขึ้นมาแจกจ่ายให้กับสมาชิกทุกคนในห้อง
ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงพลิกกระดาษที่ดังขึ้นมาเป็นครั้งคราว ซิลเวสเตอร์เอนตัวพิงเก้าอี้ ใช้มือกุมคางของตนพร้อมกวาดตามองข้อมูลในกระดาษอย่างรวดเร็ว
"เอาล่ะ อย่างแรกเรามาจัดการองค์กรเด็กจรจัดกันเถอะ!!" ชายหนุ่มส่งเสียงร่าเริงออกมาผิดกับบรรยากาศตึงเครียดภายในห้อง อาร์ชีแตกต่างกับคนอื่นที่ทำตามชายคนนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข เขายกมือขึ้นถามชายตรงหน้าด้วยเสียงนิ่งเรียบ
"ขอทราบเหตุผลที่ต้องเป็นองค์กรเด็กจรจัดได้ไหมครับ" การส่งจดหมายเถื่อนนอกจากพวกเด็กจรจัดก็ยังเป็นที่นิยมของผู้คนชนชั้นล่างคนอื่นอีกด้วย เขาจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมชายคนนี้ถึงได้มุ่งความสนใจไปที่องค์กรเด็กจรจัดกัน
"ฮึ่ม-- อาร์ชีเนี่ยทึ่มจริงๆ ก็ต้องหาคนที่เกี่ยวข้องกับผู้อยู่เบื้องหลังน่ะสิ" ซิลเวสเตอร์หัวเราะคิกคัก อาร์ชีคนนี้ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้จะจบจากมิสคาโทนิคมานานแล้วก็ตาม
"ผู้อยู่เบื้องหลัง?"
"ใช่แล้ว"
"นี้ไม่ใช่แค่คดีจดหมายเถื่อนธรรมดา แต่เป็นคดีการสร้างรูปแบบพิธีกรรมขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าอีกไม่นานพิธีนี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว นายAผู้อยู่เบื้องหลังถึงได้ก่อเหตุบ่อยในช่วงนี้" นอกจากองค์กร สมาคม และลัทธิพวกนั้นแล้ว ช่วงหลังก็ยังมีเหตุการณ์ส่งจดหมายที่แอบอ้างชื่อผู้อื่นไปยังบุคคลธรรมดา เมื่อรวมกับการสร้างพิธีกรรมขนาดใหญ่ ก็ทำให้คดีนี้ใหญ่เกินกว่าที่ทางสภาจะอยู่เฉย
"อาร์ชีคิดว่าอะไรคือความต่างของเด็กกับผู้ใหญ่ล่ะ" ซิลเวสเตอร์ส่งรอยยิ้มเล็กๆ มาให้
"เดี๋ยวก่อน...ใช่แล้ว!" อาร์ชีนึกได้ถึงบางอย่างที่ชายตรงหน้าต้องการสื่อ
"รูปแบบพิธีกรรมขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทั้งเมืองพอร์ตเอลเวย์น โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เฮเวนฟอร์ด หมายความว่านายAจะต้องส่งคนนำจดหมายจำนวนมากไปตามบ้านเรือนต่างๆ" ซิลเวสเตอร์ค่อยๆ พับกระดาษทีละทบ
"คุณควรจะรู้นะ ว่ามีเด็กจรจัดเยอะมากแค่ไหนในเมืองนี้"
สงครามแก๊ง สงครามองค์กร สงครามลัทธิ การค้ามนุษย์ การทิ้งลูก การค้าอวัยวะ เรือที่สามารถทำได้ทั้งส่งออกและนำเข้า ความขัดแย้งพวกนี้ไม่ได้มีแค่กลุ่มชนชั้นล่างเท่านั้น แต่มีจนถึงชนชั้นสูงของเมืองแห่งนี้อีกด้วย เป็นสาเหตุที่จำนวนเด็กกำพร้าในเมืองนี้เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
"ถ้าเทียบความถี่ เวลา และสถานที่ของการเกิดเหตุ กลุ่มเด็กจรจัดที่ดูอ่อนแอและข่มเหงได้ง่ายมักจะเป็นที่ระแวงน้อยกว่าผู้ใหญ่ พวกเขาสามารถไปส่งจดหมายได้ทุกที่ทุกเวลา"
"เด็กเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นกลุ่มใช้ระบบกึ่งพึ่งพาอาศัยกัน สร้างเป็นเครือข่ายข่าวกรองของตัวเองแตกต่างจากผู้ใหญ่ นั้นรวมถึงการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของพวกเด็กจรจัดในช่วงนี้ด้วย" ชายหนุ่มดีดนิ้วขึ้นมา ดึงสติทุกคนภายในห้องสี่เหลี่ยมให้กลับมาสนใจที่เขา
"สิ่งที่เราต้องหาตอนนี้คือ'นายหน้า'ตัวกลางที่เชื่อมโยงระหว่างนายAกับเครือข่ายลับนี้ เขาอาจเป็นเด็กจรจัดหรืออาจเป็นคนจากชนชั้นอื่น และบางทีก็อาจจะเป็นผู้วิเศษ..." ซิลเวสเตอร์นำกระดาษรายละเอียดคดีมาพับเล่นในขณะที่กำลังพูดอยู่ เมื่อพูดจบก็ได้นกกระดาษมาหนึ่งตัวพอดี
อาร์ชีมองนกกระดาษในมือของอีกฝ่าย แล้วจึงพูดขึ้นมาด้วยความกังขา
"แต่องค์กรเด็กจรจัดมักจะย้ายที่อยู่หนีก่อนการบุกค้นทุกครั้ง..."
"ไม่เป็นปัญหา ขอแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็พอแล้ว...โถ่" ซิลเวสเตอร์มองไปยังนกที่ตนปาออกไป มันลอยอยู่ในอากาศไม่กี่วินาทีก่อนจะตกลงไปสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่ต้นจนจบ รอยยิ้มก็ยังไม่เคยเลือนหายไปจากใบหน้าของชายคนนี้เลย