เสียงของการต่อสู้ดังไปทั่วบริเวณ ตามร่างกายของอัลเลย์ปรากฏร่องรอยของบาดแผลและคราบเลือดกระจายอยู่ทั่ว
เขาจ้องมองไปยังเด็กสาวตรงหน้าด้วยความเกลียดชัง ถึงสถานการณ์ตอนนี้จะดูเหมือนทั้งคู่สูสีกัน แต่ตัวเขารู้ดีว่าสภาพร่างกายตอนนี้ไม่สามารถทนไปได้นานมากนัก
ต้นกุหลาบขนาดใหญ่มีจิตสำนึกและความนึกคิดเป็นของตัวเอง ไม่ต้องรอให้เด็กสาวสั่งการมันก็ทำการกระจายรากออกไปทั่วบริเวณกวาดทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าราวกับรถไถดิน แม้แต่เจ้าหน้าที่ราชการบางคนก็ได้รับลูกหลงไปด้วย
ดูเหมือนว่ามันจะไม่ฉลาดมากนัก เพราะไม่ได้ถูกควบคุมโดยเด็กสาวผมขาวตรงหน้า พลังทำลายของมันถึงได้กระจายเป็นวงกว้างมั่วซั่วไปหมด
อึก...
"เป็นไง? เหนื่อยเลยล่ะสิวันนี้" มิลาด้าหัวเราะสนุกสนาน เอียงตัวเล็กน้อยให้หลังได้พิงกับเสากระโดงเรือ ก่อนจะผิวปากล้อเลียนเด็กชายที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้น
"เป็นเพราะอาจารย์เก่งเกินไปต่างหาก..." ใครจะไปชนะได้เล่า ตนพึ่งจะฝึกดาบได้แค่2วันเองนะ
แสงแดดส่องลงมาจากท้องฟ้าลอดผ่านผืนธงสีแดงของอาณาจักรธัมไฮล์จนมาตกกระทบบนใบหน้าเขา หยาดเหงื่อและความเหนื่อยล้าเห็นได้ชัดเจนบนใบหน้า ทำได้แค่พยายามเช็ดหยดน้ำเหล่านั้นก่อนที่มันจะไหลเข้าไปในตา
"ผมต้องทำยังไงถึงจะชนะอาจารย์ได้" เขาถามด้วยความสงสัย ผู้หญิงคนนี้ชอบพูดว่าตนจะถือว่าสำเร็จการศึกษาก็ต่อเมื่อสามารถเอาชนะหล่อนได้เท่านั้น แบบนั้นเขาจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปีถึงจะจบกันแน่
"งั้นฉันจะบอกเคล็ดลับให้แล้วกัน" หล่อนยิ้มร่าอย่างสนุกสนานเช่นเคย ดวงตาสีน้ำเงินหรี่ลงอย่างอารมณ์ดี เธอล้มตัวนั่งลงข้างอัลเลย์ก่อนจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"อัลเลย์ หากคุณจะต้องเผชิญกับผู้วิเศษในอนาคต สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือการเข้าใจนิสัยและพลังของฝ่ายตรงข้าม"
"พลังวิเศษคือภาพสะท้อนของตัวตน หากว่าเราสามารถเข้าใจฝั่งตรงข้ามได้..."
'เราก็จะเข้าใจพลังของอีกฝ่ายด้วย'
พลังวิเศษของฝั่งตรงข้ามมีข้อได้เปรียบชัดเจนในการต่อสู้ แถมสภาพร่างกายก็ยังดีกว่าตัวเขามากโข ดูเหมือนหล่อนจะฝึกวิชาดาบมาตั้งแต่เด็กทำให้ถึงไม่มีประสบการณ์แต่ก็ยังรู้จักใช้วิธีพลิกแพลงมากมาย
แต่เธอก็มีจุดอ่อนอยู่
เด็กชายแกว่งดาบในมือตน ประกายไฟจากการเสียดสีปรากฏขึ้นเหมือนดวงดาวขนาดเล็ก ก่อนขยับพลิกข้อมือเล็กน้อยจนทำให้อีกฝ่ายได้แผลที่ท้องน้อย
เป็นความเย่อหยิ่งที่ถือตนและซื่อตรงเกินไป เธอเป็นเด็กประสบการณ์น้อยที่ถูกฝึกฝนอย่างเป็นระบบ มีความเข้าใจเพียงเล็กน้อยในการหลอกลวง และเชื่อมั่นในวิธีแห่งความยุติธรรม
เป็นตัวอย่างของเด็กอ่อนต่อโลกที่ถูกปล่อยลงป่าให้เผชิญหน้ากับอันตรายเพื่อเติบโต
ชิ้ง!
ประกายไฟขนาดเล็กวูบวาบออกมาชวนให้นึกถึงตอนเล่นไฟเย็นในสมัยเด็ก กลุ่มรากไม้หนามขยับไปมาอย่างโง่เขลาและสะเปะสะปะ แทนที่ดอกกุหลาบยักษ์นั้นจะมาช่วยต่อสู้ กลับดูไร้ประโยชน์มากขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับอัลเลย์
เนื่องจากระดับไอคิวที่มีอยู่จำกัดพฤติกรรมการโจมตีของมันจึงดูพึ่งพาสัญชาตญาณมากกว่าการวางแผนเหมือนแต่ก่อน ถึงรัศมีการโจมตีจะกว้างขึ้นแต่ความสำเร็จในการโจมตีก็น้อยลง
อัลเลย์อาศัยความฉลาดที่มากกว่าเพื่อกลั่นแกล้งรากพวกนั้น เด็กสาวที่มีใบหน้าเขียวคล้ำมองไปยังรากไม้ของตนที่กำลังรัดราวทางเดินเหล็กพัวพันกันแน่นจนกลายเป็นก้อนกลม
ดอกกุหลาบกรอกดวงตาไปมาอย่างรวดเร็ว เมินเฉยอารมณ์ของเจ้านายตนไปอย่างสิ้นเชิง สนใจแค่การโจมตีทุกอย่างรอบตัวเท่านั้น หรือไม่บางทีมันก็อาจจะรู้ว่าตัวเองโดนสบประมาทอยู่
"ไอ้เวร!!" หล่อนสบถคำหยาบออกมาโดยไม่สนใจสีหน้าเจ้าหน้าที่คนอื่น อัลเลย์ปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนเด็กจรจัดรอบตัวเขาลดลงด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง หากยังปล่อยไว้แบบนี้ตนจะต้องโดนล้อมเป็นแน่
เอี๊ยดดดด
เสียงปริศนาดังขึ้นมาจากบนเพดาน ถึงพื้นส่วนใหญ่จะถล่มลงมาแต่โครงสร้างของหลังคาข้างบนบางส่วนก็ยังคงอยู่ เนื่องจากการทำลายขนาดใหญ่ของดอกกุหลาบก็ยิ่งเร่งให้ส่วนที่เหลือพังลงมาเร็วขึ้น
ความวุ่นวายกระจายอย่างรวดเร็วเหมือนโรคระบาดแพร่กระจายไปยังทุกคนในบริเวณนี้ อัลเลย์กัดฟันแน่น กระโดดไปตามซากต่างๆ บนพื้น พยายามตามหาทางที่จะหลบหนีไปจากที่นี่
โครมมม
ฝุ่นดินจำนวนมากตลบอบอวลฟุ้งไปทั่วทุกที่ เขาใช้มือปิดบังใบหน้าป้องกันตัวจากฝุ่นหนาทึบเหล่านั้น แรงสั่นสะเทือนจากการพังทลายทำให้เขายากลำบากมากขึ้นเมื่อต้องเคลื่อนไหว และเมื่อทุกอย่างกลับมาสงบอีกครั้งก็ต้องรีบโยกตัวหลบปลายดาบเรเปียร์ที่พุ่งผ่านเอวไปอย่างหวุดหวิด
แคร่ง--
ดาบในมือของอัลเลย์เริ่มส่งสัญญาณของการแตกหัก แรงสั่นสะเทือนส่งผ่านอาวุธในมือจนไปถึงบาดแผลที่ไหล่ ความเจ็บปวดคอยย้ำเตือนให้กลับมามีสติอีกครั้ง
"นายกำลังจะแพ้แล้ว" เด็กสาวใช้ดวงตาสีแดงจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความดูถูก
"ไม่มีทางที่จะชนะฉันได้ รีบยอมแพ้ซะ"
ฉับ!
เหมือนกับว่าเธอต้องการจะเอาคืนที่ตนเผลอตัดผมของหล่อนไปก่อนหน้านี้ ผมเปียของอัลเลย์ถูกตัดขาดจนทำให้เส้นผมสีน้ำตาลเหล่านั้นแผ่สยายออกไปทั่ว ดาบเก่าในมือก็แตกหักเป็นสองส่วนหล่นกระทบกับพื้นเสียงดังก่อนจะตกหายไปในซากปรักหักพังข้างล่าง
"แฮก..." ความแสบร้อนในอกที่คุ้นเคยกลับมา อัลเลย์พยายามหายใจให้เร็วขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในร่างกาย อาการมึนงงคล้ายจะหน้าวูบทำให้จังหวะการก้าวเดินผิดพลาดร่างของเด็กชายจึงสะดุดล้มลงกองกับพื้นด้วยความมึนงง
ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปด้วยเหงื่อและภาพที่ซ้อนทับกัน อัลเลย์พยายามจะลุกขึ้นอีกครั้งแต่สุดท้ายก็พลาดล้มลงไปอีกครั้ง
"ท่านฟิลิป" เจ้าหน้าที่สาวเดินเข้ามาทำท่าเคารพก่อนที่จะชะงักเมื่อเห็นดาบเรเปียร์สีเงินที่คุ้นเคยขวางกั้นตนกับเด็กจรจัดตรงข้าม
"ท่านฟิลิปนี้..."
"ให้เป็นหน้าที่ฉัน ออกไปห่างๆ อย่ามาขัด" ฟิลิปพูดเสียงแข็ง ดวงตาสีแดงจ้องมองอัลเลย์ด้วยความสงสัย
"...รับทราบค่ะ" เธอทำความเคารพแล้วจึงเดินถอยห่างออกไประยะหนึ่งเมื่อถึงจุดที่เหมาะสมก็หยุดยืนเฝ้าอารักขาเด็กสาวผมขาวด้วยความสงบนิ่ง
"เอาล่ะ ตอนนี้ตอบฉันมาซะ" ฟิลิปเดินไปข้างหน้า ใช้ปลายดาบเรเปียร์เชยคางของอัลเลย์ขึ้นมา ก่อนจะตกตะลึงกับภาพที่เห็น
ใบหน้าของชายคนนี้เต็มไปด้วยความสับสนมึนงง คิ้วของเขาตกลงมาเล็กน้อย ผมหยักศกสีน้ำตาลชุ่มเหงื่อจนลู่ลงอย่างน่าสงสาร ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
เกิดอะไรขึ้น?
เธอคงไม่ได้เผลอทำร้ายเขามากเกินไปใช่ไหม?
"นี่...ตอบมานะ ว่าไปเรียนวิถีดาบนั้นมาจากไหน"
"...ดาบ?" คิ้วสีขาวกดลง หล่อนใช้ปลายดาบเขี่ยคนตรงหน้าแต่กลับนั่งนิ่งเงียบพึมพำส่งเสียงแผ่วเบา
หรือว่านี้จะเป็นผลกระทบของพลังวิเศษ มีใครบางคนที่ต้องการจะปิดปากชายคนนี้อย่างงั้นเหรอ
"อาจารย์..." เสียงนั้นเบามากซะยิ่งกว่าเสียงยุงบิน เด็กสาวส่งเสียงขัดใจก่อนจะก้มตัวลงเล็กน้อย เธอมั่นใจว่าชายคนนี้ไม่มีพลังในการต่อสู้ อาวุธหนึ่งเดียวก็สูญหายไปแล้ว
เจ้าคนประหลาดบอกว่าดูเหมือนพลังวิเศษของเด็กตรงหน้าจะเป็นดวงตาที่สามารถมองเห็นได้มากกว่าปกติ ยิ่งเป็นแค่ผู้วิเศษระดับ1ที่ปวกเปียกและอ่อนแอแบบนี้ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำร้ายเธอได้
"บอกฉันมาสิ ว่านายเรียนสิ่งนี้มาจากไหน"
ดวงตาสีแดงเบิกกว้างคล้ายกับดวงจันทร์สีเลือด จุดสีดำตรงกลางทำให้มันดูมีเสน่ห์มากขึ้น เด็กสาวพูดเร่งเร้าเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าพยายามอ้าปากตอบ แต่ดูเหมือนการพูดแต่ละคำจะใช้พลังงานมากจนตอนนี้เขาถึงไม่สามารถพูดออกมาได้แม้แต่พยางค์เดียว
ดูเหมือนจะได้แค่นี้
แต่ไม่เป็นไรยังไงก็ค่อยถามทีหลังก็ได้
ฟิลิปถอนหายใจด้วยความเสียดาย หากชายคนนี้ถูกส่งเข้าห้องขัง ไอเจ้าคนประหลาดคนนั้นก็คงเข้ามายุ่มย่ามไม่เข้าเรื่องอีกแน่
"ท่านฟิลิป!!"
ฉึก!
"!?"
ความเจ็บปวดจากท้องน้อยแล่นไปตามเส้นประสาททั่วทุกตารางนิ้วในร่างกาย มือของหล่อนกระตุกด้วยความเจ็บปวดอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาแดงก่ำด้วยความเจ็บปวด
"แก!!"
อัลเลย์กดกุญแจทองเหลืองเข้าไปซ้ำแผลตรงท้องน้อยของหล่อน เป็นแผลเปิดที่มีขนาดใหญ่พอที่จะยัดปลายกุญแจเข้าไปข้างในได้ เขากดมือเข้าไปก่อนจะบิดกุญแจอย่างรวดเร็ว ฟิลิปส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดเลือดจำนวนมากไหลออกมาจากบาดแผลนั้น
อะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาจากความเจ็บปวดทำให้เธอพยายามที่จะใช้ดาบเรเปียร์ตอบโต้ แต่ก็โดนอัลเลย์จัดการอย่างรวดเร็ว
กล้ามเนื้อหน้าท้องของหล่อนหดตัวอย่างรุนแรงจนทำให้ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ความเจ็บปวดส่งผลให้สมองของฟิลิปว่างเปล่าและมึนงง การจิ้มเข้าไปยังกล้ามเนื้อในบริเวณนี้สามารถสร้างความเจ็บปวดรุนแรงมากพอที่จะทำให้คนช๊อกจนหมดสติได้
อัลเลย์ใช้มืออีกข้างกดเส้นเลือดใหญ่ที่คอของเธออย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่รอบๆ หันมองจุดนี้เป็นตาเดียว อัลเลย์สูดหายใจอย่างช้าๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างยากลำบากโดยที่ยังไม่ปล่อยมือไปจากคอของฟิลิป
กระแสนิวม่าในอากาศทำให้ร่างกายของเขาตื่นตัว ถึงจะไม่ชอบวิธีแต่นี้ก็จำเป็นต้องใช้เพื่อความอยู่รอด เมื่อรู้สึกว่ารากไม้พวกนั้นขยับเข้าใกล้ก็ยิ่งกดกุญแจให้ลึกขึ้น
ดอกกุหลาบใช้ดวงตาสีแดงจ้องมองมาที่อัลเลย์ด้วยความเกลียดชัง เจ้าหน้าที่หรือแม้แต่เด็กจรจัดบางคนก็มองมาที่จุดนี้ด้วยความตกตะลึง
"คงไม่อยากลองพนันว่าความสามารถพิเศษของผมคืออะไรใช่ไหมครับ?"
สาเหตุที่พวกเขาสามารถบุกเขามาที่นี่ได้อย่างเป็นระบบจะต้องเป็นฝีมือของเบอร์โต้ เขามั่นใจว่าในตอนที่ส่งข่าวล่าสุด เรื่องที่ความสามารถของตนคือกุญแจจะยังไม่กระจายไปให้กับคนพวกนี้แน่นอน
ความหยิ่งยโส ความประมาท ความเลินเล่อ กลายเป็นความมั่นใจในตนเองที่ก้าวเดินไปยังเส้นทางแห่งความผิดพลาด
ฟิลิปหายใจหอบอย่างยากลำบาก เมื่อไม่สามารถทนไหวก็สลบคอพับไปทั้งอย่างนั้น ผู้คนรอบตัวถอนหายใจด้วยความโล่งใจที่อย่างน้อยเด็กคนนี้ไม่ทำอะไรเพิ่มไปกว่านั้น
ถึงจะต่อสู้อยู่ตลอดเวลาแต่ตนก็คอยสังเกตสิ่งรอบตัวไปด้วย และยังสังเกตเห็นถึงเด็กที่หลบหนีไปยังทางเดินใต้ดินทางหนึ่งพร้อมเชือก หมุด และค้อน
โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหน้าผาที่ติดทะเล ดูเหมือนเส้นทางนี้จะมีทางเชื่อมไปถึงบริเวณหน้าผา ถ้าให้เดาทางออกอื่นๆ ก็คงจะโดนปิดควบคุมหมดแล้ว แล้วทำไมเราไม่ลองพนันกับทางออกนั้นดูล่ะ?
ตั้งแต่มาที่โลกนี้ สัญชาตญาณของเขาก็ไม่เคยทรยศตนเลยสักครั้ง มันนำพาปาฏิหาริย์และความเป็นไปได้ที่คาดไม่ถึงมาสู่ตัวเขาเสมอ
"เด็กน้อย คุณได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดไป" หญิงสาวพูดขึ้นอย่างสงบ ใช้ดวงตาสีฟ้าจ้องมองไปยังอัลเลย์อย่างเยือกเย็น
"หากแค่ส่งจดหมายเถื่อนถึงโทษจะหนักแต่ก็ยังมีโอกาสได้มีชีวิต แต่การทำร้ายเจ้าหน้าที่นั้นจะถูกวิสามัญทันที"
แล้วไงล่ะ
ถ้าถูกจับไปจะเป็นยังไง?
ตัวตนของเขานั้นแปลกเกินไป ไม่มีประวัติ และที่มา เหมือนกับที่เบอร์โต้บอก ตนไม่ต่างอะไรกับวิญญาณแปลกประหลาดที่หลงเข้าไปในโลกของมนุษย์
แล้วไหนจะคนวิปริตในร่างเบอร์โต้นั้นอีก
ผู้วิเศษพวกนี้ต่างก็ปล่อยตัวไปกับความปรารถนา เมื่อสติถูกครอบงำโดยพลังวิเศษ พวกเขาก็จะเปิดเผยให้เห็นถึงความกระหายในแก่นแท้ของตัวเอง ไม่คำนึงถึงกฎหมาย ศีลธรรม และหลักจรรยาบรรณ ถึงอัลเลย์จะชนะพนันชายคนนั้น แต่จะมีคนฉลาดที่ไหนที่เชื่อมั่นในคำสัญญาปากเปล่าไร้ความหมายแบบนั้นกัน
ยิ่งเขาไร้ตัวตนในโลกนี้มากเท่าไหร่ เมื่อสูญหายไปก็ไม่มีใครสนใจมากเท่านั้น
"ผมไม่ฆ่าคน แต่ถ้ายังเข้ามาก็ไม่แน่" ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมืดมนเต็มไปด้วยข้อความมากมายที่ต้องการจะสื่อ เด็กชายคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยคล้ายกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบราคาแพงของชนชั้นสูง
ผู้รอบตัวเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกกดดันแพร่กระจายเข้ามาภายในจิตใจของทุกคน
"หวังว่าจะเข้าใจถึงความหมายที่ผมต้องการจะสื่อนะครับ"
เหมือนกับที่พูดว่าคนฉลาดจะไม่เชื่อมั่นในคำสัญญาปากเปล่าพวกนั้น อัลเลย์ก้าวเดินไปยังทางออกอย่างเชื่องช้า ปล่อยจิตใจให้สงบ เฝ้าดูความผิดปกติของนิวม่ารอบตัว
เมื่อมีคนต้องการจะใช้ความสามารถ เด็กชายก็จะกดกุญแจให้ลึกขึ้น กดนิ้วเข้าหาลำคอเปราะบางในมืออย่างมั่นคงและรุนแรง บังคับให้พวกเขาทำได้เพียงแค่เฝ้าดูเท่านั้น
แต่ยังมีมุมที่ดวงตาของตนไม่สามารถมองเห็นได้และอาจจะมีใครบางคนที่ใช้ความสามารถจากระยะไกล
เมื่อเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น หัวใจในอกของอัลเลย์ก็เริ่มเต้นอย่างสงบ มันดูคล้ายประตูเหมืองที่ถูกขุดขึ้นมาอย่างลวกๆ ข้างบนมีแค่ไม้ที่นำมาเพื่อค้ำยันเป็นระยะ ในตอนนี้เขาไม่อยากรู้หรอกนะว่าทางเดินนี้สร้างมาเพื่ออะไรหรือตั้งแต่สมัยไหน
ในที่สุดเขาก็จะหลุดจากสถานการณ์น่าปวดหัวพวกนี้สักที
ถ้ารอดไปได้จะทำยังไงต่อไป บางทีเขาอาจจะลองหนีไปยังประเทศอื่นดู หรือไม่ก็แอบซ่อนตัวที่วิหารในท่อระบายน้ำ
"อะไรกัน สนุกกันอยู่นี่" เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น อัลเลย์หันไปมองด้วยความแข็งทื่อ
เบอร์โต้ใช้ดวงตาสีดำจ้องมองไปยังอัลเลย์ด้วยความภาคภูมิใจ รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างมากคล้ายกับคุณแม่ที่กำลังดีใจที่ลูกสอบได้คะแนนเต็ม ในขณะที่ชายผมสีน้ำตาลด้านข้างกลับมองมาที่ตนด้วยความประหลาดใจ ทั้งคู่ต่างก็อยู่ในสภาพเลอะเทอะคล้ายไปล้มลุกคลุกดินมา
"เก่งมากเลยอัลเลย์ คุณทำให้ผมประหลาดใจได้เสมอเลย" เบอร์โต้ยกนิ้วโป้งทั้ง2มือให้อัลเลย์เป็นการชมเชยถึงความสามารถมหัศจรรย์ของเด็กชายคนนี้
"..." แม่งเอ๊ย
คนพวกนี้ดูไม่กังวลเรื่องความเป็นความตายของตัวประกันเลยสักนิด