Chapter 14 - บทที่ 14 กองไฟ

"คนเจ็บก็อย่าพึ่งรีบลุกขึ้นสิ" แจ็คพูดบ่นอย่างไม่พอใจ เด็กคนนี้สภาพซอมซ่อเหมือนผ้าขี้ริ้วขนาดนี้ก็ยังจะฝืนลุกขึ้นมาอีก

"อัลเลย์" เอ็ดวินที่พึ่งกลับมาจากการขุดหลุมศพ มองไปยังชายหนุ่มบนพื้นตรงหน้า เด็กคนนี้ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลลงมา

"อย่าพึ่งรีบลุกสิ นอนลงไปก่อน" ซาแมนธาที่นั่งอยู่ข้างๆ ใช้มือกดไหล่ของเขาให้กลับไปนอนราบตามพื้นอีกครั้ง

อัลเลย์มองภาพตรงหน้าอย่างนิ่งงัน พยายามคิดว่าตอนนี้เขากำลังฝันอยู่หรือเพ้อจนเห็นภาพหลอนกันแน่

"ได้ยังไง..." ไม่ควรจะรอดมาอย่างงี้สิ ถึงเอ็ดวินกับคนอื่นจะรอดจากสถานการณ์แบบนั้น แต่ซาแมนธาที่เป็นคนธรรมดาถ้าต้องเจอกับแรงกระแทกจากการระเบิดขนาดใหญ่จนต้องตกลงมากระแทกผิวน้ำยังไงก็ดูยากจะเชื่อว่ารอดมาได้

เป็นไปได้ยังไง

"มันคือตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์" เอ็ดวินพูดขึ้น

"หนึ่งในพัสดุที่ต้องถูกขนส่งมาที่นี่ เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ต้องห้าม ที่มีพลังอำนาจในการสร้างกฎเกณฑ์ในพื้นที่ได้... ถ้าเป็นปกติก็คงจะไม่เลือกใช้มันที่นี่ แต่ตอนนี้เป็นข้อยกเว้น"

ตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นเหมือนเครื่องประดับของชนชั้นสูงสมัยก่อน ทำจากเงินและพลอยสีฟ้าหม่นแสงจำนวนหนึ่ง เขาสังเกตได้ถึงละอองแสงนิวม่าเล็กๆ จำนวนมากที่กำลังไหลเข้าไปในสิ่งนี้อย่างช้าๆ

"แล้ว...นี้...พื้นดิน?"

"ใช่ พื้นดิน" แจ็คถอนหายใจพร้อมมองไปยังดินแดนที่เต็มไปด้วยเศษซากของสิ่งต่างๆ การระเบิดทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ซัดเข้าไปบนฝั่ง ดังนั้นตอนนี้บริเวณโดยรอบจึงกลายเป็นพื้นที่ราบที่เต็มไปด้วยซากต้นไม้และสัตว์ร้าย

เวลาปัจจุบันเป็นช่วงเย็นแล้ว เหล่าสมาชิกเรือแอสตราลิสที่ไม่ได้กินอาหารมานานก็ต่างหิวโหยกันถ้วนหน้า ในเมื่อรอบๆ ต่างก็เต็มไปด้วยวัตถุดิบมากมายที่นอนตายตามชายฝั่งแบบนี้ ทุกคนจึงตัดสินใจที่จะก่อกองไฟเพื่อทำอาหารกินกัน

พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยความชื้นเป็นเรื่องยากที่จะหาฝืนแห้งเพื่อจุดไฟ พวกเขาจึงต้องก่อไฟด้วยพลังของมิลาด้า ค่อยๆ ปิ้งเนื้อสัตว์ร้ายพวกนั้นจนเกิดเสียงของน้ำมันจากเนื้อที่หยดลงไปในกองไฟ กลิ่นหอมของอาหารเข้าไปถึงระบบรับรู้กลิ่นในจมูกของเขา 

อัลเลย์กลืนน้ำลายของตัวเองพร้อมสำรวจรอบข้าง ถึงพื้นที่โดยรอบจะเต็มไปด้วยต้นไม้ที่หักโค่นและซากสิ่งมีชีวิตที่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ในสุดขอบเขตสายตาพื้นที่ที่ห่างไกลก็ยังพอเห็นภูเขาและป่าสนขนาดใหญ่

นี้...ดินแดนแห่งความหวัง

ดูหน้าตาธรรมดาจนน่าประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นเมื่อคิดว่าความทรมานอันยาวนานของเขาจะจบลงซะที

"ตื่นแล้วเหรอ อัลเลย์" มิลาด้าเดินมาเข้ามา ตามร่างกายของเธอปรากฏคราบดินจำนวนหนึ่ง ทุกคนกลับมานั่งล้อมรอบกองไฟกองนี้ด้วยกัน

เมื่อเขาเห็นว่าข้างๆ มีแค่ชายหนุ่มผมสีดำนอนอยู่คนเดียวก็รับรู้ได้ถึงบางอย่าง

ดูเหมือนว่าจากคน3คนที่นอนโคม่าอยู่จะมีเหลือรอดมาแค่คนเดียวเท่านั้น

ตนไม่แน่ใจว่าหลังจากใช้ตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่การที่พวกเขาสามารถรอดมาได้ถึงตอนนี้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว

เสียงของกองไฟดังขึ้นเป็นจังหวะ แสงอาทิตย์บนท้องฟ้าหายไปทีละน้อย ซาแมนธาแจกจ่ายเนื้อย่างให้ทุกคน เนื่องจากไม่มีทั้งเครื่องปรุงและเกลือ เนื้อนี้จึงดูไร้รสชาติและคาวเล็กน้อย แต่ทุกคนก็ยังคงกินมันราวกับเป็นอาหารหรูหรารสเลิศ

รสชาติของเนื้อกระจายไปทั่วต่อมรับรสในปาก ความอุ่นและความคิดถึงทำให้ทุกคนต่างก็ไม่พูดอะไร ทำแค่ก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าต่อไป

อร่อย อร่อยจังเลย

เหตุการณ์มากมายที่ผ่านมาทำให้จิตใจของเขาตึงเครียดในทุกวัน แต่การกินอาหารรอบกองไฟครั้งนี้กลับทำให้อัลเลย์ผ่อนคลายในแบบที่ไม่ได้เป็นมานาน

"ฉันจะเล่าให้ฟัง...รายละเอียดของภารกิจนี้" เอ็ดวินดึงผ้าเช็ดหน้าที่ยังไม่แห้งดีออกมาเช็ดปากก่อนจะพูดประโยคขึ้นมา เขาสงสัยว่าชายคนนี้เป็นคนที่เกลียดความเงียบหรือไม่ ถึงได้ชอบเริ่มต้นพูดอะไรบางอย่างทุกที

"รายละเอียด!" ที่มาเกี่ยวกับตัวตนนี้? 

"ภารกิจนี้ถูกมอบให้โดยท่านอุโรโบรอส"

"พระสันตะปาปา!!" แจ็ค ซาแมนธา และมิลาด้าพูดด้วยความตกใจ

จะเป็นไปได้ยังไงที่ท่านอุโรโบรอสจะมอบภารกิจให้กับเอ็ดวินโดยที่3เสาหลักไม่รู้ มิลาด้าจ้องมองเอ็ดวินด้วยความไม่เชื่อ

"มันคือเรื่องจริง...เป็นภารกิจที่ถูกมอบล่วงหน้า10ปีก่อนที่เรือแอสตราลิสจะสร้างเสร็จ และก่อนการหายตัวไปของท่านอุโรโบรอส"

"ล่วงหน้า10ปี...?" นี้เป็นแผนสมคบคิดขนาดใหญ่จริงๆ พระสันตะปาปาอุโรโบรอสตัวละครใหม่ที่ถูกพูดถึงนั้นดูเหมือนจะมีความสำคัญมากในธัมไฮล์ใน ถึงกับทำให้ทุกคนมีปฏิกิริยาแบบนั้น

พระสันตะปาปานี้ ดูเหมือนจะเป็นตำแหน่งสูงสุดรึเปล่านะ

"เนื้อหาในภารกิจมีแค่นำวัตถุศักดิ์สิทธิ์ต้องห้าม7ชิ้นจากพื้นที่กักกันหมายเลข0 และพัสดุจากเผ่ายัสกาไปยังดินแดนแห่งความหวังเท่านั้น"

"วัตถุศักดิ์สิทธิ์ต้องห้าม7ชิ้น!!? นายเอามันออกไปโดยที่พวกเราไม่รู้ได้ยังไง" มิลาด้าพูดขึ้นด้วยความตกใจ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ต้องห้ามคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตัวตนระดับสูง ถึงจะรู้ว่าเขานำตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ออกไป แต่มันเป็นแค่เศษจากวัตถุเดิมเท่านั้น แต่วัตถุอีก6ชิ้นที่เหลือถูกเอาออกมาได้ยังไงกัน!!?

"วัตถุวิเศษอีก6ชิ้นถูกมอบให้โดยท่านอุโรโบรอสเมื่อ10ปีก่อน..."

"10ปีก่อน...อย่าบอกนะว่า..."

"เสียงสะท้อนแห่งพันธสัญญา ดวงตาของออราเคิล เทียนแห่งคืนที่ไม่มีวันสิ้นสุด ห่วงโซ่แห่งการกำเนิด หอกแห่งเส้นขนาน และนาฬิกาทรายนิรันดร์"

"ตอนนี้พวกมันอยู่ที่ไหน!!" มิลาด้าพูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ที่มาของวัตถุวิเศษแต่ละชิ้นนั้นน่ากลัวเกินกว่าจะนึกถึง

"ถูกผนึกอยู่ที่นี้..." เอ็ดวินถอดเสื้อของตนออก ก่อนจะหันหลังให้ทุกคนมองเห็นแผ่นหลังของเขา นอกจากกล้ามเนื้อที่แข็งแรงสมเป็นนักดาบ ก็เป็นร่องรอยแผลเป็นตามแผ่นหลังที่เหมือนถูกกรีดด้วยของมีคมจนเป็นสัญลักษณ์แปลกประหลาดมากมาย ตรงส่วนกลางเป็นรูปดวงตาขนาดใหญ่พร้อมรูกุญแจกลางลูกตาดำ

กุญแจ

มือที่จับกุญแจอยู่ของอัลเลย์รู้สึกร้อนขึ้นมา แต่ในใจของเขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ตนยังไม่สามารถเปิดสิ่งนั้นออกมาได้

ถ้าระดับสูงกว่านี้ล่ะ?

"ฝีมือ...ฝีมือของท่านอุโรโบรอส?" มิลาด้าพูดด้วยเสียงสั่น 

นี้คือฝีมือของพระสันตะปาปาจริงๆ งั้นหรือ

"ผนึกนี้กับกล่องที่เก็บเหรียญแห่งคธูลูไม่มีกุญแจมาให้" อัลเลย์เข้าใจถึงความหมายเบื้องหลังของประโยคนี้ทันที

เป็นตัวเขาเอง ในฐานะกุญแจเพื่อใช้ในการเปิดสิ่งเหล่านั้น

"แล้วพัสดุจากเผ่ายัสกาล่ะ" แจ็คไม่เคยได้ยินชื่อวัตถุศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นมาก่อน แต่ถ้าพวกมันอยู่ในหมวดสิ่งต้องห้ามพลังของวัตถุเหล่านั้นก็คงจะทรงพลังเป็นอย่างมาก 

อย่างตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการสร้างพื้นที่แห่งกฎเกณฑ์ขึ้นมาก็ทรงพลังมากขนาดนั้น ถ้าเป็นอีก6ชิ้นที่เหลือจะแข็งแกร่งขนาดไหน

"สิ่งนั้นคือนาย อัลเลย์"

"ผม?"

"ใช่ เป็น'ร่าง'ของนาย ไม่หายใจ หัวใจไม่เต้น ไม่จำเป็นต้องกิน ไม่ย่อยสลายหรือเน่าเปื่อย"

"นายคือพัสดุที่ถูกมอบหมายให้มาส่งในครั้งนี้"

ถ้าไม่หายใจแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้ แล้วเขายังถือว่าเป็นมนุษย์อยู่มั้ย?

"ยัสกา...หมายถึงยัสกานั้นนะเหรอ!!" ซาแมนธาร้องขึ้นมาอย่างเสียงหลง

"ยัสกาที่นับถือเทพชั่วร้าย 'ผู้ทำนายดวงดาว' ต้นเหตุที่ทำให้เกิดสงครามพระพิโรธ..."

ผู้ทำนายดวงดาว ความรู้สึกบางอย่างปรากฏขึ้นมาในจิตใจของเขาเมื่อได้ยินประโยคนี้ 

หรือว่าจะเป็นชายคนที่ทำนายดวงให้เราและพาตัวเขามายังโลกใบนี้

"ใช่ คือพวกเขา"

"คือว่า...ที่ว่าเป็นต้นเหตุของสงครามพระพิโรธนี้..."

"เป็นเรื่องที่ได้ยินกันไปทั่ว" แจ็คมองอัลเลย์ด้วยความกังวล หากเด็กคนนี้ไปเกี่ยวข้องกับยัสกาและผู้ทำนายดวงดาว ในอนาคตชีวิตของเด็กคนนี้คงเต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างแน่นอน

"ผู้ทำนายดวงดาว ปีศาจแห่งชะตา ผู้บงการแห่งสายหมอก เขาได้ขโมยบางอย่างไปจากราชาหนามและราชินีโซ่ จนทำให้เกิดสงครามที่มนุษย์โดนลูกหลงไปด้วย หลายคนเกลียดชังเขาจนถือว่าเป็นเทพชั่วร้าย"

"บ้างก็เชื่อว่าสิ่งนั้นที่ถูกขโมยไปคือหัวใจร่วมของราชาหนามและราชินีโซ่ อย่างที่รู้กันว่าทั้งคู่เป็นฝาแฝด ดังนั้นบางคนก็เลยเชื่อว่าถ้าควบคุมหัวใจได้ก็จะสามารถควบคุมเทพได้"

เรื่องนี้นอกจากจะไม่ง่ายแล้วก็ยังยากจนเกินกว่าจะรับมืออีกด้วย อะไรกันที่ผู้ทำนายดวงดาวขโมยไปจากเทพอีก2องค์ ถ้าหากมันดันมาเกี่ยวข้องกับเขาขึ้นมาจะทำยังไง?

เพราะอะไรถึงต้องเป็นฉัน หรือเพราะกุญแจสีทองดอกนี้กัน

"ปีศาจแห่งชะตา เทพชั่วร้ายที่สังเวยชีวิตของมนุษย์จำนวนมากเพื่อความปรารถนาของตัวเอง" มิลาด้ากัดฟันแน่น เป็นที่รู้กันว่าเขาเป็นเป็นต้นเหตุของสงครามพระพิโรธ ต้นเหตุที่ทำให้พ่อกับแม่ของเธอต้องตาย

"แต่ว่าพวกเราพูดชื่อของเทพนี้จะไม่เป็นไรเหรอ" อัลเลย์ถามด้วยความกังวล คล้ายกับหนังพ่อมดชั่วร้ายที่พอเรียกชื่อก็รู้ตัวว่านามของตนถูกพูดถึงอยู่

"เพราะมันไม่ใช่นามที่แท้จริง" เอ็ดวินส่ายหัวช้าๆ

"เมื่อถึงจุดหนึ่งสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่มีพลังวิเศษก็จะได้นามแท้จริงเป็นของตัวเอง มีแค่ชื่อกับนามแท้จริงเท่านั้นที่สามารถเชื่อมโยงไปหาตัวผู้รับได้ ชื่ออื่นที่เหลือก็จะอยู่ในรูปแบบของฉายา"

"พวกผู้วิเศษสามารถรู้ชื่อพวกนั้นได้ยังไง" หรือว่ามันจะโผล่ขึ้นมาเองในหัว อัลเลย์นึกถึงเหตุการณ์ตอนดวงตาแห่งคธูลู 

"มันคือ'การอ่าน'ทักษะของผู้วิเศษที่ควรจะมี"

"แต่ตอนนี้นายยังทำไม่ได้หรอกนะ" มิลาด้ามองขึ้นไปบนดาวบนท้องฟ้า เป็นค่ำคืนเงียบสงบที่ไม่ได้เจอมานาน หลังจากสึนามิสัตว์ร้ายส่วนใหญ่ก็ตายไปหมด มีให้เห็นแค่พวกนกบางตัวที่บินวนอยู่รอบๆ ซากสัตว์ที่เหลือ

"เพราะนี้เป็นแค่ความฝันใช่มั้ยครับ" ทุกคนรอบกองไฟยกเว้นซาแมนธามองอัลเลย์ด้วยความแปลกใจ ซาแมนธามองทุกคนด้วยความงงงวย ความฝันอะไร? หล่อนไม่เคยได้รู้จักคำว่าความฝันมาก่อน

"คุณเคยถามผมว่ามองเห็นภาพตอนนอนหลับหรือเปล่า ตอนแรกผมคิดว่าพวกคุณยังระแวงในตัวผมอยู่จึงไม่ได้สอนความรู้เกี่ยวกับผู้วิเศษให้ แต่ดูจากประโยคที่ว่าทำไม่ได้ก็น่าจะหมายความว่าตอนนี้จริงๆ แล้วผมยังไม่กลายเป็นผู้วิเศษใช่มั้ยครับ" 

หาก'ความฝัน'คือคำที่รู้กันแค่ในผู้วิเศษ แล้วมันจะถูกใช้ในความหมายไหนได้อีก ถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาในการเลื่อนระดับพลังของผู้วิเศษ

ในโลกแห่งฝันร้ายที่ใช้ความฝันในการเลื่อนระดับก็ดูสมเหตุสมผลอยู่ และบางทีอาจจะเพราะสิ่งนี้ทั้งคู่ถึงรับตนเป็นลูกศิษย์

"...น่าทึ่งจริงๆ สมกับเป็นพวกมีพรสวรรค์ ที่มีแรงบันดาลใจสูงจนน่าอิจฉา" แจ็คพูดขึ้นอย่างยากลำบาก เด็กคนนี้สามารถรับรู้ได้ว่าตัวเองอยู่ในดินแดนแห่งการทดสอบตั้งแต่ฝันแรกจริงๆ

"เมื่อคนธรรมดากลายเป็นผู้วิเศษ เขาจะตกไปในความฝันหรือดินแดนแห่งการทดสอบ" มิลาด้าพูดขึ้นมา มองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าด้วยดวงตาที่ยากจะอธิบาย

"พวกเขาจะย้อนไปในอดีตของตนเองโดยไม่รู้ตัว ใช้ชีวิตอย่างปกติต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเขาสามารถผ่านมันไปได้ถึงจะกลายเป็นผู้วิเศษ"

"แปลว่าทุกคนในที่นี้ไม่มีอยู่จริงงั้นเหรอ" ซาแมนธาตกใจมากกับข้อมูลที่ถูกเปิดเผยตรงหน้า ทุกคนที่ตายไป เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่ของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น

"ไม่แน่หรอก" แจ็คถอนหายใจ นึกถึงตอนแรกที่เขาได้รู้เรื่องนี้ ตอนนั้นก็ทำเอากินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน

"ถ้าได้ลองเลื่อนระดับอีกครั้งในอนาคต นายจะพบโลกแห่งความฝันทุกโลกถูกเชื่อมกัน"

"ถูกเชื่อม?"

"ใช่ เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ หึ่ย ในอนาคตเดี๋ยวก็รู้อีก" 

"พวกเราจะยังคงอยู่ อัลเลย์ แต่อยู่เพียงในโลกแห่งความฝันของนายเท่านั้น" มิลาด้าจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม

"บางทีในโลกแห่งความจริงเราอาจจะได้เจอกันก็ได้"

"แล้วเงื่อนไขในการผ่านการทดสอบล่ะครับ"

"เรื่องนั้นมันไม่แน่นอน แต่ปกติก็จะเป็นแก้ไขความผิดพลาดในอดีต มีชีวิตรอดจนถึงฉากจบ"

"นอกจากวิธีการเลื่อนระดับแบบนี้ก็ยังมีวิธีอื่นอีก แต่บอกไปก็ไม่สนุกน่ะสิ หัดหาข่าวเองในโลกแห่งความเป็นจริงบ้างไอ้หนู" แจ็คหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน เมินเฉยสายตาร้อนแรงของอัลเลย์

"แล้วแรงบันดาลใจที่พูดกันมาตลอด..."

"มันคือความสามารถในการเข้าใจและสังเกตข้อมูล อย่างคนธรรมดามองแก้วนี้เป็นแค่แก้วที่ใส่บรั่นดีทั่วไป แต่ผู้วิเศษจะเห็นว่ามันใส่เลือดของสัตว์ร้ายอยู่" 

"ยิ่งแรงบันดาลใจสูงก็ยิ่งมีโอกาสกลายเป็นผู้วิเศษมากขึ้น เป็นพรสวรรค์รายบุคคลที่น่าอิจฉา อื่ม...แต่ยิ่งเลื่อนระดับผู้วิเศษ แรงบันดาลใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเช่นกัน" 

"และอย่างสุดท้ายอัลเลย์" มิลาด้าพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล

"อย่าเลื่อนระดับตัวเองจนกว่าจะพร้อม ถึงเราจะไม่รู้ว่าสามารถติดเชื้อความปนเปื้อนได้ยังไง แต่เรารู้แน่ๆ ว่าการฝืนเลื่อนระดับจะทำให้ผู้วิเศษปนเปื้อนความเสื่อมทรามอย่างแน่นอน" ดวงตาสีน้ำเงินนั้นเย็นขึ้นหลายระดับ

"เข้าใจแล้วครับ...แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าพร้อมตอนไหน"

"เรื่องนั้นคงต้องหาด้วยตัวเองในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว" เธอส่ายหัว มือข้างขวาลูบไปบนท้องอย่างช้าๆ การเดินทางบนแอสตราลิสนำพาความเป็นไปได้มากมายเข้ามาภายในชีวิตของหล่อน เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ยากจะลืมเลือน

อัลเลย์มองกองไฟตรงหน้า นอกจากเสียงพูดไปเรื่อยของแจ็คก็มีซาแมนธาที่ยังคงบ่นเกี่ยวกับเลียมไม่หยุด

ความอบอุ่นจากดวงตาแห่งคธูลูในมือทำให้เขานึกถึงความทรงจำที่ผ่านมา เป็นเวลาเกือบ3เดือนที่เต็มไปด้วยเรื่องเจ็บปวดมากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเลย 

'ทุ่งหญ้ากว้างกวาง....ที่ฉันกับลูกอยู่ด้วยกัน ดินแดนแห่งความหวัง'

อัลเลย์รับรู้โดยสัญชาตญาณว่าการหลับใหลในครั้งนี้จะทำให้เขาหลุดพ้นออกจากความฝันนี้ ถึงจะหวงแหนมิตรภาพที่เหลืออยู่ที่นี้ แต่ก็อดตื่นเต้นกับโลกแห่งความจริงที่ไม่รู้จักไม่ได้

เป็นโลกเก่าของเขา หรือเป็นโลกแฟนตาซีอย่างตอนนี้กันแน่ ตัวเราจะยังได้เจอเอ็ดวิน มิลาด้า แจ็ค ซาแมนธา ชายหนุ่มที่นอนสลบอยู่ และไกด์ ในโลกแห่งความเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่อาจทราบ

การนอนหลับไปไม่ได้ยากอย่างที่คิด เมื่อถึงเวลาความง่วงก็เริ่มเข้าจู่โจมสมองของอัลเลย์ ภาพของกองไฟและทุกคนต่างพร่าเลือนราวกับไม่มีอยู่จริง เสียงของกองไฟค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ 

ตื่นจากความฝันแรกในดินแดนแห่งนี้