"คนเจ็บก็อย่าพึ่งรีบลุกขึ้นสิ" แจ็คพูดบ่นอย่างไม่พอใจ เด็กคนนี้สภาพซอมซ่อเหมือนผ้าขี้ริ้วขนาดนี้ก็ยังจะฝืนลุกขึ้นมาอีก
"อัลเลย์" เอ็ดวินที่พึ่งกลับมาจากการขุดหลุมศพ มองไปยังชายหนุ่มบนพื้นตรงหน้า เด็กคนนี้ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลลงมา
"อย่าพึ่งรีบลุกสิ นอนลงไปก่อน" ซาแมนธาที่นั่งอยู่ข้างๆ ใช้มือกดไหล่ของเขาให้กลับไปนอนราบตามพื้นอีกครั้ง
อัลเลย์มองภาพตรงหน้าอย่างนิ่งงัน พยายามคิดว่าตอนนี้เขากำลังฝันอยู่หรือเพ้อจนเห็นภาพหลอนกันแน่
"ได้ยังไง..." ไม่ควรจะรอดมาอย่างงี้สิ ถึงเอ็ดวินกับคนอื่นจะรอดจากสถานการณ์แบบนั้น แต่ซาแมนธาที่เป็นคนธรรมดาถ้าต้องเจอกับแรงกระแทกจากการระเบิดขนาดใหญ่จนต้องตกลงมากระแทกผิวน้ำยังไงก็ดูยากจะเชื่อว่ารอดมาได้
เป็นไปได้ยังไง
"มันคือตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์" เอ็ดวินพูดขึ้น
"หนึ่งในพัสดุที่ต้องถูกขนส่งมาที่นี่ เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ต้องห้าม ที่มีพลังอำนาจในการสร้างกฎเกณฑ์ในพื้นที่ได้... ถ้าเป็นปกติก็คงจะไม่เลือกใช้มันที่นี่ แต่ตอนนี้เป็นข้อยกเว้น"
ตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นเหมือนเครื่องประดับของชนชั้นสูงสมัยก่อน ทำจากเงินและพลอยสีฟ้าหม่นแสงจำนวนหนึ่ง เขาสังเกตได้ถึงละอองแสงนิวม่าเล็กๆ จำนวนมากที่กำลังไหลเข้าไปในสิ่งนี้อย่างช้าๆ
"แล้ว...นี้...พื้นดิน?"
"ใช่ พื้นดิน" แจ็คถอนหายใจพร้อมมองไปยังดินแดนที่เต็มไปด้วยเศษซากของสิ่งต่างๆ การระเบิดทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ซัดเข้าไปบนฝั่ง ดังนั้นตอนนี้บริเวณโดยรอบจึงกลายเป็นพื้นที่ราบที่เต็มไปด้วยซากต้นไม้และสัตว์ร้าย
เวลาปัจจุบันเป็นช่วงเย็นแล้ว เหล่าสมาชิกเรือแอสตราลิสที่ไม่ได้กินอาหารมานานก็ต่างหิวโหยกันถ้วนหน้า ในเมื่อรอบๆ ต่างก็เต็มไปด้วยวัตถุดิบมากมายที่นอนตายตามชายฝั่งแบบนี้ ทุกคนจึงตัดสินใจที่จะก่อกองไฟเพื่อทำอาหารกินกัน
พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยความชื้นเป็นเรื่องยากที่จะหาฝืนแห้งเพื่อจุดไฟ พวกเขาจึงต้องก่อไฟด้วยพลังของมิลาด้า ค่อยๆ ปิ้งเนื้อสัตว์ร้ายพวกนั้นจนเกิดเสียงของน้ำมันจากเนื้อที่หยดลงไปในกองไฟ กลิ่นหอมของอาหารเข้าไปถึงระบบรับรู้กลิ่นในจมูกของเขา
อัลเลย์กลืนน้ำลายของตัวเองพร้อมสำรวจรอบข้าง ถึงพื้นที่โดยรอบจะเต็มไปด้วยต้นไม้ที่หักโค่นและซากสิ่งมีชีวิตที่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ในสุดขอบเขตสายตาพื้นที่ที่ห่างไกลก็ยังพอเห็นภูเขาและป่าสนขนาดใหญ่
นี้...ดินแดนแห่งความหวัง
ดูหน้าตาธรรมดาจนน่าประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นเมื่อคิดว่าความทรมานอันยาวนานของเขาจะจบลงซะที
"ตื่นแล้วเหรอ อัลเลย์" มิลาด้าเดินมาเข้ามา ตามร่างกายของเธอปรากฏคราบดินจำนวนหนึ่ง ทุกคนกลับมานั่งล้อมรอบกองไฟกองนี้ด้วยกัน
เมื่อเขาเห็นว่าข้างๆ มีแค่ชายหนุ่มผมสีดำนอนอยู่คนเดียวก็รับรู้ได้ถึงบางอย่าง
ดูเหมือนว่าจากคน3คนที่นอนโคม่าอยู่จะมีเหลือรอดมาแค่คนเดียวเท่านั้น
ตนไม่แน่ใจว่าหลังจากใช้ตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่การที่พวกเขาสามารถรอดมาได้ถึงตอนนี้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว
เสียงของกองไฟดังขึ้นเป็นจังหวะ แสงอาทิตย์บนท้องฟ้าหายไปทีละน้อย ซาแมนธาแจกจ่ายเนื้อย่างให้ทุกคน เนื่องจากไม่มีทั้งเครื่องปรุงและเกลือ เนื้อนี้จึงดูไร้รสชาติและคาวเล็กน้อย แต่ทุกคนก็ยังคงกินมันราวกับเป็นอาหารหรูหรารสเลิศ
รสชาติของเนื้อกระจายไปทั่วต่อมรับรสในปาก ความอุ่นและความคิดถึงทำให้ทุกคนต่างก็ไม่พูดอะไร ทำแค่ก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าต่อไป
อร่อย อร่อยจังเลย
เหตุการณ์มากมายที่ผ่านมาทำให้จิตใจของเขาตึงเครียดในทุกวัน แต่การกินอาหารรอบกองไฟครั้งนี้กลับทำให้อัลเลย์ผ่อนคลายในแบบที่ไม่ได้เป็นมานาน
"ฉันจะเล่าให้ฟัง...รายละเอียดของภารกิจนี้" เอ็ดวินดึงผ้าเช็ดหน้าที่ยังไม่แห้งดีออกมาเช็ดปากก่อนจะพูดประโยคขึ้นมา เขาสงสัยว่าชายคนนี้เป็นคนที่เกลียดความเงียบหรือไม่ ถึงได้ชอบเริ่มต้นพูดอะไรบางอย่างทุกที
"รายละเอียด!" ที่มาเกี่ยวกับตัวตนนี้?
"ภารกิจนี้ถูกมอบให้โดยท่านอุโรโบรอส"
"พระสันตะปาปา!!" แจ็ค ซาแมนธา และมิลาด้าพูดด้วยความตกใจ
จะเป็นไปได้ยังไงที่ท่านอุโรโบรอสจะมอบภารกิจให้กับเอ็ดวินโดยที่3เสาหลักไม่รู้ มิลาด้าจ้องมองเอ็ดวินด้วยความไม่เชื่อ
"มันคือเรื่องจริง...เป็นภารกิจที่ถูกมอบล่วงหน้า10ปีก่อนที่เรือแอสตราลิสจะสร้างเสร็จ และก่อนการหายตัวไปของท่านอุโรโบรอส"
"ล่วงหน้า10ปี...?" นี้เป็นแผนสมคบคิดขนาดใหญ่จริงๆ พระสันตะปาปาอุโรโบรอสตัวละครใหม่ที่ถูกพูดถึงนั้นดูเหมือนจะมีความสำคัญมากในธัมไฮล์ใน ถึงกับทำให้ทุกคนมีปฏิกิริยาแบบนั้น
พระสันตะปาปานี้ ดูเหมือนจะเป็นตำแหน่งสูงสุดรึเปล่านะ
"เนื้อหาในภารกิจมีแค่นำวัตถุศักดิ์สิทธิ์ต้องห้าม7ชิ้นจากพื้นที่กักกันหมายเลข0 และพัสดุจากเผ่ายัสกาไปยังดินแดนแห่งความหวังเท่านั้น"
"วัตถุศักดิ์สิทธิ์ต้องห้าม7ชิ้น!!? นายเอามันออกไปโดยที่พวกเราไม่รู้ได้ยังไง" มิลาด้าพูดขึ้นด้วยความตกใจ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ต้องห้ามคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตัวตนระดับสูง ถึงจะรู้ว่าเขานำตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ออกไป แต่มันเป็นแค่เศษจากวัตถุเดิมเท่านั้น แต่วัตถุอีก6ชิ้นที่เหลือถูกเอาออกมาได้ยังไงกัน!!?
"วัตถุวิเศษอีก6ชิ้นถูกมอบให้โดยท่านอุโรโบรอสเมื่อ10ปีก่อน..."
"10ปีก่อน...อย่าบอกนะว่า..."
"เสียงสะท้อนแห่งพันธสัญญา ดวงตาของออราเคิล เทียนแห่งคืนที่ไม่มีวันสิ้นสุด ห่วงโซ่แห่งการกำเนิด หอกแห่งเส้นขนาน และนาฬิกาทรายนิรันดร์"
"ตอนนี้พวกมันอยู่ที่ไหน!!" มิลาด้าพูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ที่มาของวัตถุวิเศษแต่ละชิ้นนั้นน่ากลัวเกินกว่าจะนึกถึง
"ถูกผนึกอยู่ที่นี้..." เอ็ดวินถอดเสื้อของตนออก ก่อนจะหันหลังให้ทุกคนมองเห็นแผ่นหลังของเขา นอกจากกล้ามเนื้อที่แข็งแรงสมเป็นนักดาบ ก็เป็นร่องรอยแผลเป็นตามแผ่นหลังที่เหมือนถูกกรีดด้วยของมีคมจนเป็นสัญลักษณ์แปลกประหลาดมากมาย ตรงส่วนกลางเป็นรูปดวงตาขนาดใหญ่พร้อมรูกุญแจกลางลูกตาดำ
กุญแจ
มือที่จับกุญแจอยู่ของอัลเลย์รู้สึกร้อนขึ้นมา แต่ในใจของเขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ตนยังไม่สามารถเปิดสิ่งนั้นออกมาได้
ถ้าระดับสูงกว่านี้ล่ะ?
"ฝีมือ...ฝีมือของท่านอุโรโบรอส?" มิลาด้าพูดด้วยเสียงสั่น
นี้คือฝีมือของพระสันตะปาปาจริงๆ งั้นหรือ
"ผนึกนี้กับกล่องที่เก็บเหรียญแห่งคธูลูไม่มีกุญแจมาให้" อัลเลย์เข้าใจถึงความหมายเบื้องหลังของประโยคนี้ทันที
เป็นตัวเขาเอง ในฐานะกุญแจเพื่อใช้ในการเปิดสิ่งเหล่านั้น
"แล้วพัสดุจากเผ่ายัสกาล่ะ" แจ็คไม่เคยได้ยินชื่อวัตถุศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นมาก่อน แต่ถ้าพวกมันอยู่ในหมวดสิ่งต้องห้ามพลังของวัตถุเหล่านั้นก็คงจะทรงพลังเป็นอย่างมาก
อย่างตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการสร้างพื้นที่แห่งกฎเกณฑ์ขึ้นมาก็ทรงพลังมากขนาดนั้น ถ้าเป็นอีก6ชิ้นที่เหลือจะแข็งแกร่งขนาดไหน
"สิ่งนั้นคือนาย อัลเลย์"
"ผม?"
"ใช่ เป็น'ร่าง'ของนาย ไม่หายใจ หัวใจไม่เต้น ไม่จำเป็นต้องกิน ไม่ย่อยสลายหรือเน่าเปื่อย"
"นายคือพัสดุที่ถูกมอบหมายให้มาส่งในครั้งนี้"
ถ้าไม่หายใจแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้ แล้วเขายังถือว่าเป็นมนุษย์อยู่มั้ย?
"ยัสกา...หมายถึงยัสกานั้นนะเหรอ!!" ซาแมนธาร้องขึ้นมาอย่างเสียงหลง
"ยัสกาที่นับถือเทพชั่วร้าย 'ผู้ทำนายดวงดาว' ต้นเหตุที่ทำให้เกิดสงครามพระพิโรธ..."
ผู้ทำนายดวงดาว ความรู้สึกบางอย่างปรากฏขึ้นมาในจิตใจของเขาเมื่อได้ยินประโยคนี้
หรือว่าจะเป็นชายคนที่ทำนายดวงให้เราและพาตัวเขามายังโลกใบนี้
"ใช่ คือพวกเขา"
"คือว่า...ที่ว่าเป็นต้นเหตุของสงครามพระพิโรธนี้..."
"เป็นเรื่องที่ได้ยินกันไปทั่ว" แจ็คมองอัลเลย์ด้วยความกังวล หากเด็กคนนี้ไปเกี่ยวข้องกับยัสกาและผู้ทำนายดวงดาว ในอนาคตชีวิตของเด็กคนนี้คงเต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างแน่นอน
"ผู้ทำนายดวงดาว ปีศาจแห่งชะตา ผู้บงการแห่งสายหมอก เขาได้ขโมยบางอย่างไปจากราชาหนามและราชินีโซ่ จนทำให้เกิดสงครามที่มนุษย์โดนลูกหลงไปด้วย หลายคนเกลียดชังเขาจนถือว่าเป็นเทพชั่วร้าย"
"บ้างก็เชื่อว่าสิ่งนั้นที่ถูกขโมยไปคือหัวใจร่วมของราชาหนามและราชินีโซ่ อย่างที่รู้กันว่าทั้งคู่เป็นฝาแฝด ดังนั้นบางคนก็เลยเชื่อว่าถ้าควบคุมหัวใจได้ก็จะสามารถควบคุมเทพได้"
เรื่องนี้นอกจากจะไม่ง่ายแล้วก็ยังยากจนเกินกว่าจะรับมืออีกด้วย อะไรกันที่ผู้ทำนายดวงดาวขโมยไปจากเทพอีก2องค์ ถ้าหากมันดันมาเกี่ยวข้องกับเขาขึ้นมาจะทำยังไง?
เพราะอะไรถึงต้องเป็นฉัน หรือเพราะกุญแจสีทองดอกนี้กัน
"ปีศาจแห่งชะตา เทพชั่วร้ายที่สังเวยชีวิตของมนุษย์จำนวนมากเพื่อความปรารถนาของตัวเอง" มิลาด้ากัดฟันแน่น เป็นที่รู้กันว่าเขาเป็นเป็นต้นเหตุของสงครามพระพิโรธ ต้นเหตุที่ทำให้พ่อกับแม่ของเธอต้องตาย
"แต่ว่าพวกเราพูดชื่อของเทพนี้จะไม่เป็นไรเหรอ" อัลเลย์ถามด้วยความกังวล คล้ายกับหนังพ่อมดชั่วร้ายที่พอเรียกชื่อก็รู้ตัวว่านามของตนถูกพูดถึงอยู่
"เพราะมันไม่ใช่นามที่แท้จริง" เอ็ดวินส่ายหัวช้าๆ
"เมื่อถึงจุดหนึ่งสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่มีพลังวิเศษก็จะได้นามแท้จริงเป็นของตัวเอง มีแค่ชื่อกับนามแท้จริงเท่านั้นที่สามารถเชื่อมโยงไปหาตัวผู้รับได้ ชื่ออื่นที่เหลือก็จะอยู่ในรูปแบบของฉายา"
"พวกผู้วิเศษสามารถรู้ชื่อพวกนั้นได้ยังไง" หรือว่ามันจะโผล่ขึ้นมาเองในหัว อัลเลย์นึกถึงเหตุการณ์ตอนดวงตาแห่งคธูลู
"มันคือ'การอ่าน'ทักษะของผู้วิเศษที่ควรจะมี"
"แต่ตอนนี้นายยังทำไม่ได้หรอกนะ" มิลาด้ามองขึ้นไปบนดาวบนท้องฟ้า เป็นค่ำคืนเงียบสงบที่ไม่ได้เจอมานาน หลังจากสึนามิสัตว์ร้ายส่วนใหญ่ก็ตายไปหมด มีให้เห็นแค่พวกนกบางตัวที่บินวนอยู่รอบๆ ซากสัตว์ที่เหลือ
"เพราะนี้เป็นแค่ความฝันใช่มั้ยครับ" ทุกคนรอบกองไฟยกเว้นซาแมนธามองอัลเลย์ด้วยความแปลกใจ ซาแมนธามองทุกคนด้วยความงงงวย ความฝันอะไร? หล่อนไม่เคยได้รู้จักคำว่าความฝันมาก่อน
"คุณเคยถามผมว่ามองเห็นภาพตอนนอนหลับหรือเปล่า ตอนแรกผมคิดว่าพวกคุณยังระแวงในตัวผมอยู่จึงไม่ได้สอนความรู้เกี่ยวกับผู้วิเศษให้ แต่ดูจากประโยคที่ว่าทำไม่ได้ก็น่าจะหมายความว่าตอนนี้จริงๆ แล้วผมยังไม่กลายเป็นผู้วิเศษใช่มั้ยครับ"
หาก'ความฝัน'คือคำที่รู้กันแค่ในผู้วิเศษ แล้วมันจะถูกใช้ในความหมายไหนได้อีก ถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาในการเลื่อนระดับพลังของผู้วิเศษ
ในโลกแห่งฝันร้ายที่ใช้ความฝันในการเลื่อนระดับก็ดูสมเหตุสมผลอยู่ และบางทีอาจจะเพราะสิ่งนี้ทั้งคู่ถึงรับตนเป็นลูกศิษย์
"...น่าทึ่งจริงๆ สมกับเป็นพวกมีพรสวรรค์ ที่มีแรงบันดาลใจสูงจนน่าอิจฉา" แจ็คพูดขึ้นอย่างยากลำบาก เด็กคนนี้สามารถรับรู้ได้ว่าตัวเองอยู่ในดินแดนแห่งการทดสอบตั้งแต่ฝันแรกจริงๆ
"เมื่อคนธรรมดากลายเป็นผู้วิเศษ เขาจะตกไปในความฝันหรือดินแดนแห่งการทดสอบ" มิลาด้าพูดขึ้นมา มองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าด้วยดวงตาที่ยากจะอธิบาย
"พวกเขาจะย้อนไปในอดีตของตนเองโดยไม่รู้ตัว ใช้ชีวิตอย่างปกติต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเขาสามารถผ่านมันไปได้ถึงจะกลายเป็นผู้วิเศษ"
"แปลว่าทุกคนในที่นี้ไม่มีอยู่จริงงั้นเหรอ" ซาแมนธาตกใจมากกับข้อมูลที่ถูกเปิดเผยตรงหน้า ทุกคนที่ตายไป เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่ของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น
"ไม่แน่หรอก" แจ็คถอนหายใจ นึกถึงตอนแรกที่เขาได้รู้เรื่องนี้ ตอนนั้นก็ทำเอากินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน
"ถ้าได้ลองเลื่อนระดับอีกครั้งในอนาคต นายจะพบโลกแห่งความฝันทุกโลกถูกเชื่อมกัน"
"ถูกเชื่อม?"
"ใช่ เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ หึ่ย ในอนาคตเดี๋ยวก็รู้อีก"
"พวกเราจะยังคงอยู่ อัลเลย์ แต่อยู่เพียงในโลกแห่งความฝันของนายเท่านั้น" มิลาด้าจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
"บางทีในโลกแห่งความจริงเราอาจจะได้เจอกันก็ได้"
"แล้วเงื่อนไขในการผ่านการทดสอบล่ะครับ"
"เรื่องนั้นมันไม่แน่นอน แต่ปกติก็จะเป็นแก้ไขความผิดพลาดในอดีต มีชีวิตรอดจนถึงฉากจบ"
"นอกจากวิธีการเลื่อนระดับแบบนี้ก็ยังมีวิธีอื่นอีก แต่บอกไปก็ไม่สนุกน่ะสิ หัดหาข่าวเองในโลกแห่งความเป็นจริงบ้างไอ้หนู" แจ็คหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน เมินเฉยสายตาร้อนแรงของอัลเลย์
"แล้วแรงบันดาลใจที่พูดกันมาตลอด..."
"มันคือความสามารถในการเข้าใจและสังเกตข้อมูล อย่างคนธรรมดามองแก้วนี้เป็นแค่แก้วที่ใส่บรั่นดีทั่วไป แต่ผู้วิเศษจะเห็นว่ามันใส่เลือดของสัตว์ร้ายอยู่"
"ยิ่งแรงบันดาลใจสูงก็ยิ่งมีโอกาสกลายเป็นผู้วิเศษมากขึ้น เป็นพรสวรรค์รายบุคคลที่น่าอิจฉา อื่ม...แต่ยิ่งเลื่อนระดับผู้วิเศษ แรงบันดาลใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเช่นกัน"
"และอย่างสุดท้ายอัลเลย์" มิลาด้าพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล
"อย่าเลื่อนระดับตัวเองจนกว่าจะพร้อม ถึงเราจะไม่รู้ว่าสามารถติดเชื้อความปนเปื้อนได้ยังไง แต่เรารู้แน่ๆ ว่าการฝืนเลื่อนระดับจะทำให้ผู้วิเศษปนเปื้อนความเสื่อมทรามอย่างแน่นอน" ดวงตาสีน้ำเงินนั้นเย็นขึ้นหลายระดับ
"เข้าใจแล้วครับ...แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าพร้อมตอนไหน"
"เรื่องนั้นคงต้องหาด้วยตัวเองในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว" เธอส่ายหัว มือข้างขวาลูบไปบนท้องอย่างช้าๆ การเดินทางบนแอสตราลิสนำพาความเป็นไปได้มากมายเข้ามาภายในชีวิตของหล่อน เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ยากจะลืมเลือน
อัลเลย์มองกองไฟตรงหน้า นอกจากเสียงพูดไปเรื่อยของแจ็คก็มีซาแมนธาที่ยังคงบ่นเกี่ยวกับเลียมไม่หยุด
ความอบอุ่นจากดวงตาแห่งคธูลูในมือทำให้เขานึกถึงความทรงจำที่ผ่านมา เป็นเวลาเกือบ3เดือนที่เต็มไปด้วยเรื่องเจ็บปวดมากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเลย
'ทุ่งหญ้ากว้างกวาง....ที่ฉันกับลูกอยู่ด้วยกัน ดินแดนแห่งความหวัง'
อัลเลย์รับรู้โดยสัญชาตญาณว่าการหลับใหลในครั้งนี้จะทำให้เขาหลุดพ้นออกจากความฝันนี้ ถึงจะหวงแหนมิตรภาพที่เหลืออยู่ที่นี้ แต่ก็อดตื่นเต้นกับโลกแห่งความจริงที่ไม่รู้จักไม่ได้
เป็นโลกเก่าของเขา หรือเป็นโลกแฟนตาซีอย่างตอนนี้กันแน่ ตัวเราจะยังได้เจอเอ็ดวิน มิลาด้า แจ็ค ซาแมนธา ชายหนุ่มที่นอนสลบอยู่ และไกด์ ในโลกแห่งความเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่อาจทราบ
การนอนหลับไปไม่ได้ยากอย่างที่คิด เมื่อถึงเวลาความง่วงก็เริ่มเข้าจู่โจมสมองของอัลเลย์ ภาพของกองไฟและทุกคนต่างพร่าเลือนราวกับไม่มีอยู่จริง เสียงของกองไฟค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ
ตื่นจากความฝันแรกในดินแดนแห่งนี้