Chapter 11 - บทที่ 11 เรือแอสตราลิส

"เหนื่อยมาก...ไม่ไหวแล้ว...อัลเลย์ ฉันขอฝากได้มั้ย"

"ลูกของฉัน ขอฝากที่เธอ...ช่วยดูแล" ก้อนเนื้อตรงหน้ากระตุกอย่างผิดปกติรุนแรงจนผิวหนังบางส่วนปริแตกปล่อยให้น้ำสีดำส่งกลิ่นเหม็นเหมือนไข่เน่าไหลออกมา

"ได้อยู่แล้ว ฉันสัญญาว่าจะดูแลอย่างดี" จุดสีทองในดวงตาขยายกว้างรวมถึงเสียงของหัวใจที่เต้นในอก อัลเลย์พึมพำเสียงเบาหวิว ด้วยความรู้สึกผิดที่มีอยู่ในใจทำให้เขายอมแบกรับสิ่งที่เหลืออยู่จากหญิงสาวตรงหน้า

เขาไม่รู้ว่าฮาโมนี่รู้สึกยังไงในวินาทีสุดท้ายของชีวิต ก้อนเนื้อเติบโตกลืนกินร่างกายของหล่อนจนเขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่สวยงามและคุ้นเคยนั้นได้อีกครั้ง

ก้อนเนื้อตรงหน้าค่อยๆ ปริแตกออกมาปล่อยของเหลวสีดำพร้อมเครื่องในมากมายให้ไหลไปตามพื้น เผาไหม้ตัวเองจนไม่เหลือแม้แต่ซากธุลี เอ็ดวินพยุงตัวเองลุกขึ้นมา มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างว่างเปล่า สิ่งที่อัลเลย์เห็นมีแค่เพียงกลุ่มแสงเล็กๆ ที่ลอยหายไปในอากาศเท่านั้น

สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย

ชีวิตของมนุษย์นั้นแสนสั้น บอบบาง และตายได้ง่ายดาย เมื่ออยู่ร่วมกันก็ได้ร่วมมีความสุข เมื่อจะตายไปก็รวดเร็วจนไม่ทันได้ทำใจ

อัลเลย์หันไปมองหน้าเอ็ดวินทั้งสองจ้องอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรแล้วจึงเดินกลับไปที่ดาดฟ้าเรือ

ภารกิจของตนยังไม่จบ ยังมีอีกหลายชีวิตที่ไม่อยากให้ตายอยู่บนเรือ เอ็ดวินจับดาบด้วยมือข้างเดียวแล้วเดินตามขึ้นไปติดๆ บนดาดฟ้านั้นแย่ยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า เสากระโดงเรือทั้งหมดแตกหักและหายไป พื้นที่หน้าเรือเป็นรูขนาดยักษ์ คนที่เหลือรอดก็มีอยู่น้อยตามไปด้วย

แจ็คพยายามกระชากโซ่ช่วยคนที่ตกเรือแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถสู้แรงสิ่งมีชีวิตข้างใต้ที่ลากดึงร่างนั้นลงไปข้างล่าง

มิลาด้ามีสภาพที่โทรมแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ใบหน้าด้านซ้ายถูกลวกด้วยอะไรบางอย่างจนเสียโฉม เธอพยายามอย่างหนักที่จะมีชีวิต มีบาดแผลมากมายตามร่างกายยกเว้นท้องของเธอที่ถูกรักษาไว้อย่างดี

"อัลเลย์" ไม่มีความโกรธในน้ำเสียงของหล่อนเลยเมื่อเรียกชื่อตน มีแค่ความห่วงใยและความโล่งใจ

ไม่ ไม่ดี

สิ่งมีชีวิตตัวนั้นจู่ๆ ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามบางอย่าง ดวงตาที่กลอกไปมาทั้งหมดบนเรือถึงได้จ้องมองมาที่ตนที่เดียว ภาพตรงหน้าทำให้ขนตามร่างกายลุกชันด้วยความสยองขวัญ

[แมรี่? แมรี่? แมรี่?]

[ดวงตา ท่านลอร์ด...]

[อะ อา ใคร? ใคร? ใคร? ดวงตา]

มันเริ่มส่งเสียงกรีดร้องบ้าคลั่งไปทั่ว เนื่องจากร่างกายที่แทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับเรือจึงทำให้แอสตราลิสโบกไปมาอย่างรุนแรง

"มิลาด้า!!"

"รับไป"

เหรียญแห่งคธูลูถูกโยนไปในอากาศสะท้อนแสงสวยงามแปลกประหลาดออกมา วินาทีแห่งชะตากรรม อัลเลย์เอื้อมมือออกไปรับมันได้ทันก่อนจะตกลงกระแทกพื้นแล้วกลิ้งไปชนกับตอเสากระโดงเรือที่เหลืออยู่

"ประกอบมันซะอัลเลย์" เอ็ดวินพูดด้วยเสียงออกคำสั่ง ยกดาบของตนขึ้นมาก่อนใช้รองเท้าจอมกะล่อนในการเดินบนอากาศในช่วงสั้นๆ หลบหนีหนวดที่คืบคลานมา

"มันไม่มีใบขั้นตอนประกอบสินค้า!!" เขาเผลอพูดด้วยความอัดอั้น เรื่องสำคัญแบบนี้โยนมาให้ตนได้ยังไงกัน ก่อนจะใช้ทักษะที่ได้จากการเล่นเกมพัซเซิลในชาติก่อนในการประกอบสิ่งนี้ขึ้นมา

เรือที่หมุนไปมาอย่างน่าหวาดเสียวยิ่งกว่าเครื่องเล่นในสวนสนุกทำให้มือของเขาปัดไปมา ได้แต่แค้นทุกความสามารถของสมองและดวงตาอย่างเต็มที่เพื่อสังเกตวงแหวนและเหรียญตรงหน้า

ขั้นตอนการติดตั้งไม่ได้ยากเกินไปแค่ปลดล๊อกตรงวงแหวนใส่เหรียญลงไปปิดล๊อก แล้วจึงหมุนไปด้านซ้าย45องศาให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายเช่นนี้กว่าจะทำได้ก็ใช้เวลาไปนานกว่าปกติ

[ดวงตาแห่งคธูลู]

ชื่อแปลกๆ ปรากฏเข้ามาในหัวของเขา อัลเลย์เลือกที่จะเพิกเฉยมันไปในเวลาแบบนี้

"เสร็จแล้ว เหวอ เสร็จแล้ว!!" อัลเลย์หมอบตัวหลบซากเสากระโดงเรือขนาดใหญ่ผ่านหัวไป

"เปิดใช้งานมันซะ!!"

แล้วมันทำยังไง!! คนพวกนี้สักแต่จะใช้งานแต่ก็ไม่สอนอะไรสักอย่าง

ถ้าพูดมันก็ง่ายแต่ให้ทำจริงมันทำยังไงเล่า อัลเลย์นึกถึงตอนที่ตนเรียกใช้กุญแจออกมาเมื่อลองใช้ความรู้สึกนั้นปฏิกิริยาบางอย่างก็เกิดขึ้น

นี้...คือเปิดได้แล้วใช่มั้ย? ไม่นึกว่าวัตถุพวกนี้จะใช้งานได้ง่ายอย่างนี้

เหมือนกับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่บางอย่างในชั้นบรรยากาศถูกดึงดูดเข้ามา แต่ครั้งนี้ตนกลับสามารถมองเห็นมันได้เลือนราง ส่งนั้นเป็นกลุ่มละอองแสงคล้ายฝุ่นจำนวนมากในอากาศ พวกมันกระโดดไปมาด้วยความตื่นเต้นรีบพุ่งเข้าหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในมือของเขา

"หลับตา!! หลับตาเดี๋ยวนี้" เอ็ดวินตะโกนออกไป

อัลเลย์หมอบตัวลงกับพื้นพร้อมยื่นด้านที่มีรูปพีระมิดคล้ายอิลลูมินาติไปข้างหน้าหลับตาของตัวเองเองแน่น

เสียงการเผาไหม้พร้อมแสงสว่างที่แทรกเข้ามาให้รับรู้จางๆ เขาพยายามห้ามใจตัวเองจากความอยากรู้อยากเห็นพร้อมกดหน้าลงไปแนบชิดพื้นกว่าเดิม ความร้อนและแผลลวกที่มือสร้างความเจ็บปวดอย่างมากแต่ก็ยังกลั้นใจบังคับมือให้ชูสิ่งนี้ต่อไป

เวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่อาจนับได้ ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงบ เรือโยกคลอนตามจังหวะคลื่นช้าๆ อัลเลย์ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาสังเกตรอบข้าง

มันเงียบมาก และไม่มีอะไรเลย เป็นแค่กลางคืนที่เงียบสนิทจนน่าขนลุก

"เป็นยังไงบ้าง" เอ็ดวินและมิลาด้าที่พึ่งลืมตาต่างก็ขยับเข้าหาอัลเลย์ก่อนที่จะถามด้วยความห่วงใย

"นอกจากแผลลวกนิดหน่อยก็ไม่เป็นอะไรครับ" เขาส่งเสียงแหบแห้งตอบกลับ มือที่จับแอบสั่นเล็กน้อย

"เมื่อกี้มันคืออะไร"

"สัตว์ประหลาดที่พึ่งกลายเป็นระดับนักบุญ" มิลาด้าพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว

พึ่งกลายเป็นนักบุญ...มิน่าล่ะถึงได้น่ากลัวขนาดนั้น

"ส่วนสิ่งนี้ก็คือดวงตาแห่งคธูลู" เอ็ดวินมองไปยังวัตถุในมืออัลเลย์

"เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทียมจากยุคก่อนที่ถูกสร้างโดย'งู'ผู้ที่เป็นบิดาแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ มันเก็บรัศมีของเทพแห่งนิรันดร์เอาไว้"

รัศมีของเทพ แค่เพียงรัศมีก็เผาสัตว์ประหลาดจนหายไปเลยอย่างงี้นะเหรอ

อัลเลย์นิ่งงัน ถ้าเทพทรงพลังขนาดนี้แล้วชายปริศนาที่ทำนายดวงให้ตนจะทรงพลังขนาดไหนกัน แล้วถ้าเขาเป็นเทพจริงๆ เขาจะสามารถหลบหนีจากสิ่งนั้นได้ยังไง

"กัปตัน..." ซาแมนธาแบกแขนแจ็คขึ้นพาดไหล่ของตน ก่อนจะเดินกะเผลกมาหา ชุดของทั้งคู่เต็มไปด้วยสีแดงเลือด

เรือแอสตราลิสเดินทางออกจากธัมไฮล์โดยมีลูกเรือทั้งหมด110คน คนธรรมดา69คน ผู้วิเศษระดับผู้ตื่นรู้13คน ผู้เชี่ยวชาญ24คน ปราชญ์3คน ปุโรหิต1คน

อัลเลย์ มิลาด้า เอ็ดวิน ซาแมนธา แจ็ค และลูกเรืออีก3คนที่อยู่ในอาการโคม่า บุคคล8คนที่เหลืออยู่บนเรือที่ว่างเปล่าลำนี้ เป็นช่วงเวลาที่เงียบเหงาและวังเวงแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน

เมื่อสัตว์ประหลาดตัวนั้นมาถึงคนธรรมดาทั้งหมดที่เหลืออยู่บนเรือก็ติดเชื้อปนเปื้อนทันที เลียมในฐานะช่างซ่อมเรือได้ซ่อมแอสตราลิสพร้อมปกป้องภรรยาของตนไปจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ซาแมนธามองร่างสามีของตนด้วยดวงตาแดงก่ำ

ศพจำนวนมากทยอยนำออกมาจากส่วนต่างๆ ของเรือวางเรียงเพื่อรอเผาอยู่บนดาดฟ้า เมื่อตอนเช้ายังมีมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่75คน แต่ตอนนี้กลับมีแค่ศพ36ร่าง กับวัตถุศักดิ์สิทธิ์4ชิ้นเท่านั้น มีหลายคนที่ทั้งทนพิษบาดแผลไม่ไหวและโดนปนเปื้อน ส่วนที่เหลือก็ไม่มีแม้แต่ศพเหลืออยู่

ผู้วิเศษที่ถูกปนเปื้อนเมื่อตายไปจะไม่กลายเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ มิลาด้ากอดวัตถุทั้ง4ชิ้นโดยไม่พูดอะไรสักคำแต่อัลเลย์ก็เหมือนได้ยินเสียงความเจ็บปวดที่ดังมาจากภายในใจของเธอ ความอบอุ่นจากดวงตาแห่งคธูลูในมือย้ำเตือนถึงเลือดเนื้อที่ต้องแลกมาเพื่อพวกมัน

เพราะอ่อนแอจึงปกป้องอะไรไว้ไม่ได้ เพราะไร้พลังถึงทำได้แค่เฝ้าดูคนรอบตัวจากไป

ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงสัตว์ประหลาดที่พึ่งกลายเป็นนักบุญตัวนั้นก็ฆ่าคนไป67คน มากกว่าคนที่ตายตลอดการเดินทาง2เดือนเกือบ2เท่า

"เป็นยังไงบ้าง"

"เป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อมแล้ว" แจ็คส่ายหัว เสากระโดงเรือทั้งสามเสาหายไป ทั้งพื้นที่รอยรั่วและแตกหักจำนวนมากยากเกินกว่าจะซ่อมไหวอีกไม่นานเรือแอสตราลิสลำนี้ก็จะจมลงอีกในกี่ชั่วโมง ถึงจะพอรักษาไว้ได้แต่ก็ยากสำหรับคน8คนที่จะควบคุมเรือลำใหญ่ขนาดนี้

เอ็ดวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตัดสินใจอย่างเฉียบขาด "แยกย้ายไปขนเสบียง น้ำ และของสำคัญภายใน40นาทีเราจะสละเรือ"

ทุกแยกย้ายไปตามทิศทางตัวเองยกเว้นคนที่ยังนอนโคม่าอยู่ อัลเลย์นั้นเนื้อตัวว่างเปล่านอกจากชุดบนตัวก็มีดาบ2เล่มและดวงตาแห่งคธูลูเท่านั้น เวลาผ่านไปแค่34นาทีทุกคนก็กลับมารวมตัวอีกครั้ง ด้วยขนาดของเรืออพยพที่ไม่ใหญ่นักของที่พวกเราขนไปได้จึงมีจำกัด

นอกจากยา อาหาร เหล้า และวัตถุศักดิ์สิทธิ์4ชิ้น มิลาด้าก็นำไปแค่ดาบสองเล่มของหล่อนพร้อมธงของธัมไฮล์ ซาแมนธาเป็นอัลบัมรูปและสมุดบันทึก แจ็คเป็นรูปภาพครอบครัวกับมีดสั้นของเพื่อนสนิท ส่วนเอ็ดวินก็นำกล่องขนาดกลางอีกสองกล่องพร้อมแผ่นที่ เข็มทิศ และของอื่นๆ

เอ็ดวินจุดไฟเผาแอสตราลิสด้วยมือตนเองก่อนกุมมือทั้งสองข้างก้มหัวลงแล้วแนบไว้กลางหน้าผาก มิลาด้าทาบมือด้านขวาไว้ที่หัวใจตนเอง แจ็คสลบโคม่าไปก่อน ส่วนซาแมนธาก็ทำเพียงจ้องมองเรือที่ค่อยๆ ลุกเป็นไฟอย่างด้วยความเงียบ

อัลเลย์จ้องมองเปลวไฟสีแดงขนาดยักษ์ตรงหน้าเรือลำนี้ที่ตนอยู่มาตลอดห่างไกลและเล็กลงเรื่อยๆ เล็กจนเห็นเป็นเพียงจุดแสงเล็กๆ ทำให้นึกถึงการตายของฮาโมนี่ที่กลายเป็นละอองแสงลอยหายไปในอากาศ

'ไม่ได้ไปที่ไหนทั้งนั้น แค่กลับสู่อ้อมกอดของความฝัน'

มองไปยังเอ็ดวินที่ยังคงสวดภาวนาเหมือนทุกที ก่อนจะตั้งคำถามในใจว่าการภาวนาแบบนั้นจะช่วยลดความโกรธแค้นของผู้ที่จากไปได้จริงๆ งั้นหรือ

ในเมื่อความจริงพวกเขาก็ไม่ได้อยากตายเหมือนกัน

'วันที่14 เดือนที่2 นับตั้งแต่ออกจากฝั่งมีผู้รอดชีวิตทั้งหมด8คน เรือแอสตราลิสจมลงใต้ทะเลดำ'

ไกด์ยืนอยู่บนแอสตราลิสท่ามกลางกองเพลิงที่กำลังลุกไหม้ เฝ้ามองเรืออพยพลำเล็กค่อยๆ ลอยห่างไปจนลับสายตา

เป็นเวลานานแค่ไหนก็ไม่อาจทราบ เปียผมด้านหลังโบกสะบัดไปมาตามแรงลม สัตว์ประหลาดมากมายต่างก็ถูกดึงดูดมาที่นี่ด้วยกลิ่นหอมแปลกประหลาด สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ใช้ดวงตาทั้งหมดจ้องมองไปยังสิ่งนั้น พยายามคืบคลานเข้าใกล้เด็กชายคนนั้นให้ได้ 

"อัลเลย์ อาโดนิส..." 

เด็กชายยื่นมือออกไปทำท่าจะคว้าสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ชักมือกลับมาวางไว้บนอกเท่านั้น

"...อา..."

"แด่กุญแจแห่งลางมรณะผู้นำพามาซึ่งทุกความเป็นไปได้"

สัญลักษณ์ดวงตาสีทองแปร่งประกายออกมาจากตรงหน้าผาก แสงสว่างที่สาดส่องออกมาแผดเผาสัตว์ประหลาดรอบตัวมอดไหม้จนกลายเป็นธุลี

เด็กชายมองไปยังทิศทางหนึ่งของทะเลดำ สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนที่มาที่นี่อย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดคลื่นซัดจมซากเรือแอสตราลิสให้จมลงไปในทะเลเร็วขึ้น

ไกด์ลอยอยู่ในอากาศมองไปยังสิ่งมีชีวิตคล้ายหนอนขนาดใหญ่ แค่ปากของมันก็กว้างถึง1,400กิโลเมตร สูบกลืนน้ำ สัตว์ประหลาด และซากเรือเข้าไปในปากของมัน 

การมาถึงของมันทำให้เกิดหายนะไปทั่วบริเวณ ดวงตารอบๆ ปากหลายร้อยคู่จ้องมองไปยังผู้ที่รุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตด้วยความโกรธ

บิดาแห่งความตะกละ หายนะใต้เกลียวคลื่น เทพแห่งความหิวโหย

"อะบิซอธผู้กลืนกินโลก" กลืนกินทุกอย่างที่ยกตัวว่าฉลาดกว่าตน กลืนกินพวกอ่อนแอที่กล้ายกตัวเหนือกว่า สิ่งมีชีวิตจากเหวที่ทรงพลังตั้งแต่เกิดแต่กลับมีสติปัญญาต่ำเหมือนสัตว์ทั่วไป

เมื่อนามแท้จริงถูกเอ่ยขึ้น เทพแห่งความหิวโหยก็ส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นตอบกลับด้วยความโกรธแค้น ความหอมหวนและความหิวโหยยิ่งทำให้บ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น น้ำทะเลสีดำปั่นป่วนแผ่นดินข้างใต้เริ่มแตกแยกกลายเป็นรอยแยกกลางทะเล

ไกด์มองไปยังเทพข้างล่างด้วยดวงตาว่างเปล่า สัญลักษณ์ดวงตาบนหน้าผากแปร่งประกายมากยิ่งขึ้นเป็นเหมือนดวงดาวดวงเล็กท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด