หลังจากผ่านคืนปาร์ตี้ที่น่าจดจำ ในรุ่งเช้าทุกคนบนเรือที่ยังรอดชีวิตอยู่ก็ต่างต้องตื่นขึ้นมาดำเนินชีวิตของตนเองต่อไป ถ้าหากนับว่ามิลาด้าเป็นผู้ที่มีความรู้ในด้านการเดินเรือ เอ็ดวินในฐานะเจ้าของแอสตราลิสก็ต้องถูกยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
"ถ้าทำอย่างนั้นจริงๆ แกจะพาคนตายยกลำ" หน้าของเอ็ดวินหมองคล้ำด้วยความโกรธ ส่วนอัลเลย์ที่คุ้นชินกับเหตุการณ์นี้แล้วก็ทำได้แค่หันสายตาหนี ไม่อาจทราบได้ว่าคำตอบของเขาทำคนตายไปกี่คนแล้ว
เมื่อฟังจากมิลาด้าทุกอย่างก็ดูจะไม่ยากเท่าไหร่ บางทีชายตรงหน้าก็อาจจะอ่านใจตนได้แลบมิลาด้า ถึงได้พาอัลเลย์ได้เจอความโหดร้ายที่แท้จริงของการเดินเรือ
อัลเลย์ที่โดนกดขี่อย่างหนักโดยเอ็ดวินทำได้เพียงแค่ยอมจำนนต่อชะตากรรมเท่านั้น ทั้งที่เขาดูยุ่งทุกวันแบบนั้นก็ยังจะหาเวลามาสอนได้อีก
เอ็ดวินก็ถือเป็นครูที่ดีคนหนึ่งจริงๆ เสียแต่ดูจะเคร่งเครียดกับทุกเวลาในชีวิตเหมือนคนที่น้ำตาลตกตลอดเวลา
ในส่วนของมิลาด้าที่เห็นว่า เธอตัดสินใจจะสอนอัลเลย์ในเรื่องของดาบแทน
"เจ้านี้ชื่อว่า [ผู้นำทางดวงดาว] เป็นวัตถุเล่นแร่แปรธาตุ ไม่มีข้อจำกัด ไม่มีคำสาป มีดีที่ขึ้นสนิมยากและคมเป็นพิเศษ เป็นดาบที่ใช้ทั่วไปของอาร์คานัม" เธอชูดาบที่คุ้นเคยขึ้นมา
"วัตถุวิเศษแบ่งได้3ประเภทหลักๆ วัตถุเล่นแร่แปรธาตุคือสิ่งของที่ถูกสร้างโดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ตามปกติ วัตถุศักดิ์สิทธิ์คือเจตจำนงของพลังที่เหลืออยู่ เมื่อเจ้าของตายพลังก็จะควบแน่นกลายเป็นวัตถุที่จับต้องได้"
"สุดท้ายวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทียมคือการเล่นแร่แปรธาตุโดยมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์เป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบพลัง หรือเพิ่มประสิทธิภาพก็แล้วแต่"
"วัตถุศักดิ์สิทธิ์นี้จะเจอทุกครั้งที่ผู้วิเศษตายงั้นเหรอครับ" อัลเลย์ถามด้วยความสงสัย
"ไม่ ยิ่งระดับต่ำก็มีโอกาสที่จะมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์เกิดน้อยมากหรือไม่ก็เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์"
"ยิ่งผู้วิเศษระดับสูง โอกาสเกิดก็จะสูงตามระดับของผู้วิเศษ ให้คิดว่ายิ่งระดับสูงความคงที่ของพลังก็ยิ่งดีพอให้ควบแน่นเป็นวัตถุได้"
"เราสามารถใช้งานพลังของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่มีข้อเสีย ข้อจำกัด หรือคำสาปอยู่เหมือนเกิน" มิลาด้าจ้องอัลเลย์อย่างจริงจัง
"ห้ามใช้วัตถุที่เกินระดับตัวเองเด็ดขาด ไม่งั้นจะถูกครอบงำด้วยพลังวิเศษของวัตถุนั้น"
ยิ่งผู้วิเศษลำดับสูงก็ยิ่งมีโอกาสดรอปไอเทม? อัลเลย์รับรู้ได้ถึงปัญหาเบื้องหลังที่มิลาด้าไม่ได้พูดถึง แม้ว่าตัววัตถุศักดิ์สิทธิ์จะอาจมีข้อเสียบ้าง แต่ด้วยพลังของมันที่เหมือนกับได้พลังพิเศษอย่างที่สองเพิ่มขึ้น จะไม่ทำให้คนอื่นต้องการได้อย่างไร?
บางครั้งภัยที่แท้จริงอาจจะไม่ได้มาจากสัตว์ประหลาดแต่มาจากผู้วิเศษด้วยกันเอง
อัลเลย์รู้ดีว่าไม่มีสัตว์ใดที่โลภไปมากกว่ามนุษย์อีกแล้ว
"ฉันคอยสังเกตนายมาตลอดอัลเลย์" หล่อนมองที่อัลเลย์ด้วยรอยยิ้ม
"ฉันจะสอนวิถีดาบของกูล ไม่มีอะไรที่เหมาะกับนายไปมากกว่านี้อีกแล้ว"
เธอขอดาบอีกเล่มคืนจากอัลเลย์ ใช้มือทั้งสองข้างจับดาบให้มั่น ก่อนโน้มตัวไปข้างหน้าเอียงตัวเล็กน้อย และเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วไปรอบๆ ทุกครั้งที่หล่อนตวัดดาบ เสียงของดาบที่เสียดสีกับอากาศก็ดังให้ได้ยินเป็นครั้งคราว
มองครั้งแรกอัลเลย์ตกตะลึงด้วยความสวยงามของมัน มองครั้งที่สองเขาก็เริ่มจริงจังแล้วสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของมิลาด้าอย่างจริงจัง
เมื่อดูผ่านๆ มันก็ดูเหมือนการเคลื่อนไหวทั่วไปที่สามารถทำตามได้ง่ายดาย แต่ด้วยพลังของการสังเกตของเขา จึงสามารถมองเห็นได้ถึงรายละเอียดที่เยอะกว่า
นี้...ดูเหมือนจะยากไปหน่อย
มันไม่ได้ซับซ้อนจนยากจะจำได้ ไม่ได้ใช้กำลังจนดูเหนื่อยหอบ แต่เป็นความยืดหยุ่นที่ทำให้ตนเหงื่อตก
มันดูเหมือนการเคลื่อนไหวของนักฆ่ามากกว่า เพราะทุกก้าวที่เธอเดินไม่ได้ทำให้พื้นไม้ส่งเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างดูไหลลื่นเหมือนกับตัวลอยอยู่บนอากาศ ดูสุภาพ สวยงาม และทรงพลัง ราวกับนักยิมนาสติกลีลาในงานแข่งกีฬาโอลิมปิก
เมื่อมองไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกเหมือนเงาดาบจำนวนมากเคลื่อนไหวเรียงซ้อนกันเต็มไปหมด พัวพันกันจนทำให้ผู้มองสับสน
มันดูใช้แรงน้อยแต่ก็รุนแรงอย่างน่าตกใจ ถ้าฟังจากเสียงการฟันดาบ อัลเลย์คิดว่าตนสามารถตัวขนาดสองท่อนได้ถ้าโดนมันเข้า
"มันคือวิธีของคนเฝ้าสุสาน" มิลาด้าหยุดการเคลื่อนไหว ก่อนหันมาตอบเขาด้วยรอยยิ้ม
"กูลคือตระกูลผู้เฝ้าสุสาน ที่ทำหน้าที่ในความมืดมานานหลายพันปี ดังนั้นการเคลื่อนไหวของเราจึงต้องเงียบที่สุด รุนแรงที่สุด เพื่อให้ศัตรูตายเร็วที่สุด"
สุสานของใคร...แต่ถึงถามไปหล่อนก็คงไม่ตอบ
เธอให้อัลเลย์ฝึกการก้าวเท้าเป็นอย่างแรก สภาพของเขาที่กลายเป็นเหมือนคนกำลังรำไทเก็ก ทำให้มีผู้คนบนเรือเหลือบมองอย่างสนใจ แม้แต่ฮาโมนี่ก็ยังแอบมองด้วยสายตาแปลกๆ
การเคลื่อนไหวของเท้าไม่ได้ยากจนเกินไป แต่ยากที่การต้องทำให้มีเสียงไม้เกิดขึ้นเบาที่สุด
ต้องรู้ก่อนว่าการฟันดาบนั้นจะต้องส่งแรงตั้งแต่จากขาถึงเอวไปจนถึงแขน แต่หากเราต้องลดช่วงจังหวะที่ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นให้น้อยลงโดยให้มีแรงในการฟันดาบเท่าเดิม คุณจะต้องฟันดาบให้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น
"ไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปหน่อยรึไง" เอ็ดวินมองไปยังอัลเลย์ที่กำลังฝึกการเดินบนดาดฟ้าเรือ ท่าทางตลกๆ นั้นทำให้รู้สึกอดสังเวชในตัวลูกศิษย์คนนี้ไม่ได้
"เราไม่มีเวลาเหลือมากนักใช่มั้ย" มิลาด้าจ้องมองไปยังอัลเลย์ด้วยความประหลาดใจ เธอยกมือขวาที่กำลังลูกท้องของตนขึ้นมาจับคางด้วยความคิดมากมาย
สามารถจับจุดการเคลื่อนไหววิถีดาบได้ในเวลาเพียงเท่านี้ สมกับเป็นผู้ที่เทพโปรดปราน มีค่าแรงบันดาลใจสูงจริงๆ ถ้าหากในอนาคตยังมีโบสถ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนอยู่ เขาก็อาจจะสามารถกลายเป็นสมาชิกนักบวชระดับสูงได้แน่
ถ้าหากยังมีอยู่...
"แล้วเรื่องผู้หญิงคนนั้นล่ะ การปล่อยให้เธอได้ติดต่อกับเขาต่อไปคงจะไม่ดีมั้ง" มิลาด้าหันไปมองด้วยรอยยิ้มเหมือนปกติ เอ็ดวินขมวดคิ้วก่อนละสายตาจากอัลเลย์ก่อนเดินหนีไปทำธุระของตนต่อ
"เป็นเรื่องปกติที่ผู้วิเศษจะต้องก้าวข้ามความเจ็บปวดและการสูญเสีย"
"เย็นชาจังเลยนะ" หล่อนเฝ้ามองชายคนนั้นเดินจากไป ก่อนเผลอใช้มือกำเข็มทิศในมือแน่นเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดในจิตใจ
"...แด่ความเป็นมนุษย์ผู้บริสุทธิ์"
ถึงจังหวะการเดินจะพอจับทางได้ แต่เมื่อได้ลองดาบทั้งสองเล่มก็เหมือนกับว่าแขนขาของตนเป็นชิ้นส่วนที่ไม่สามารถเข้ากันได้
ทุกครั้งในเสี้ยววินาทีที่เท้าแตะพื้น อัลเลย์จะต้องตวัดดาบในจังหวะนั้น เมื่อคิดอาจจะดูง่ายแต่เมื่อทำจริงแขนขาของเขาก็กลายเป็นเหมือนสายหูฟังที่พันกันทันที
เหงื่อที่ไหลออกมาทำให้อัลเลย์รู้สึกไม่สบายตัวตามผิวหนัง ตั้งแต่มาโลกนี้การอาบน้ำที่ทำได้ก็มีแค่การใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเท่านั้น เพราะคงไม่มีใครอยากลงไปอาบกับน้ำสีดำข้างล่างแน่นอน
แต่ด้วยจำนวนน้ำที่มีอย่างจำกัดพวกเขาจะอาบน้ำแค่4วันต่อครั้งเท่านั้น การซักผ้าก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ทำให้อัลเลย์ได้แค่ภาวนาว่าจะมีฝนตกสักวัน
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ไม่อาจทนไหวต่อไป อัลเลย์จึงเลือกที่จะถอดเสื้อข้างนอกออกให้เหลือแค่กางเกงช่วงล่างเท่านั้น บางครั้งเขาก็เห็นผู้ชายบนเรือถอดในบางโอกาสเช่นกัน
ร่างกายของอัลเลย์นั้นเป็นหุ่นเพรียวของเด็กๆ ไม่มีกล้ามเนื้อและไม่มีไขมันส่วนเกินออกจะดูขาดสารอาหารด้วยซ้ำ หากจะให้ดูพิเศษหน่อยก็คงเป็นแผลไหม้กลางหลังที่ยาวตั้งแต่ต้นคอถึงเอว เป็นรอยแผลเป็นที่เหลือจากเหตุการณ์ในอดีต
"รอยไหม้?" มิลาด้าจ้องมองมันด้วยความสนใจ แต่ก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรถึงมันอีก
"จริงๆ หนึ่งในปัญหาคือความสามารถทางกายที่ต่ำเกินไป ถึงช่วงแรกจะทำได้ดีมาก แต่ความอึดมีน้อยเกินไปทำให้ช่วงหลังหายใจไม่ทัน แถมดูเหมือนจะมีความยืดหยุ่นไม่เพียงพอ"
อัลเลย์ที่เหนื่อยหอบทำได้เพียงส่งเสียงโหยหวนเล็กๆ ออกไปเท่านั้น
"การเป็นผู้วิเศษจะเพิ่มความสามารถทางกายก็จริง แต่ระดับของนายตอนนี้ก็ต้องพึ่งการออกกำลังกายเพิ่มเหมือนกัน" มิลาด้าถอนหายใจด้วยความเศร้า
"น่าเสียดายที่บนเรือนี้ไม่มีอาหารดีๆ ให้กินเท่าไหร่ ถ้าเราไปถึงฝั่งได้..." หล่อนพูดคุยเสียงดังอย่างมีความสุข ส่วนอัลเลย์ก็นั่งหอบอยู่บนพื้นไม้อย่างเศร้าสร้อย และอวยพรว่าขอให้สักวันที่มีฝนตกลงมาทีเถิด
อาจจะเพราะอัลเลย์เป็นคนอับโชค จนตอนนี้ก็ยังคงไม่มีฝนสักเม็ดตกลงมา ผู้คนเรือใช้ชีวิตด้วยกลิ่นเหงื่อและความเหน็ดเหนื่อย
อัลเลย์ยังคงขยับร่างกายต่อไป ถึงทุกอย่างมันจะพอดูเข้าที่เข้าทางขึ้น แต่ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวก็ยังคงนำมาซึ่งความเจ็บปวดตามกล้ามเนื้ออยู่ดี
เหมือนมีบางอย่างที่ขาดไป...
มิลาด้าชื่นชมอัลเลย์ว่าเป็นคนที่เรียนรู้ไวอย่างน่าประทับใจ แต่อัลเลย์ก็ยังคงจำการเคลื่อนไหวของหล่อนเมื่อวันนั้นได้ไม่มีวันลืม เมื่อนำมาเทียบกับสภาพตอนนี้ มันก็ทำให้รู้ว่ามีบางอย่างที่เขาพลาดไป
"เด็กคนนั้นบ้ามากเลยใช่มั้ย" กะลาสีหนุ่มพูดกับเลียมด้วยความสนใจใคร่รู้ปนรังเกียจ
"จู่ๆ เด็กนั้นกับทาสเลือดสกปรกก็โผล่มาอยู่บนเรือแอสตราลิสซะได้ เลียมนายคิดว่าก่อนหน้านี้กัปตันไปเก็บพวกมันไว้ที่ไหน?"
ถึงจะเคยได้ยินว่ามีคนเถื่อนนอกธัมไฮล์ที่เก่งกาจมากมาย แต่ก็พึ่งจะเคยเจอคนที่มีพรสวรรค์ในการฝึกดาบแบบนี้ แม้แต่ในธัมไฮล์เองก็ยังหาได้ยาก
นี้ก็ไม่กี่วันที่เด็กนั้นเริ่มเรียนดาบ ทั้งที่พึ่งเริ่มได้ไม่นานแต่ก็มีพัฒนาการก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด
"ต้องมีค่าแรงบันดาลใจสูงขนาดไหนถึงได้เรียนรู้ได้เร็วขนาดนั้น ฉันละอิจฉาอัจฉริยะพวกนี้จริงๆ" เขาถอนหายใจด้วยความเศร้าสร้อย ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถกลายเป็นผู้วิเศษได้ เมื่อได้เห็นเด็กที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์และพรแสวงแบบนี้ก็ทำให้อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
"ว่าแต่เลียม นายรู้รึเปล่าว่าลูกในท้องของทาสเลือดสกปรกนั่นคือใคร ใช่กัปตันรึเปล่า"
"หุบปากซะ" เลียมพูดขัด ก่อนจะไล่กะลาสีที่พูดไม่เข้าหูให้ออกไปพ้นสายตาตัวเอง
มีคนแบบนี้อยู่ทั่วไปในธัมไฮล์ เลือดสกปรก ความไม่บริสุทธิ์ เศษพันธุ์ ต่างเป็นคำดูถูกที่ใช้เรียกพวกลูกผสมโดยเฉพาะยักษ์ มนุษย์ทำสงครามกับยักษ์มาอย่างยาวนานทำให้มีคนตายเยอะเกินจนไม่อาจนับไหว
ความเกลียดชัง ความเศร้า ความสูญเสีย กลายเป็นลาวาเดือดภายในจิตใจผู้คนที่ไม่อาจดับได้ ทำให้มีกลุ่มคนจำนวนมากที่ส่งต่อความเจ็บปวดนั้นไปสู่ผู้อื่นในรูปแบบของความแค้น
คนเถื่อนที่ละทิ้งเพื่อนมนุษย์ไปศรัทธาในเทพองค์อื่น กับเลือดผสมที่แปดเปื้อนความผิดบาปจากสายโลหิต...
แต่ก็ต้องยอมรับว่า'พัสดุ'ที่รับมาจากพวกคนเถื่อนนี้ก็มีพรสวรรค์ดีจริงๆ เลียมไม่เข้าใจหรอกว่าท่านมิลาด้ากับกัปตันกำลังคิดอะไรอยู่ ได้แต่คาดเดาไปเรื่อยเท่านั้น
แต่ที่น่าแปลกกว่าอีกคือวันหนึ่งเจ้าพัสดุนั้นก็ดันตื่นขึ้นมา ร่างที่ดูเหมือนเป็นแค่เปลือกตุ๊กตานี้กลับมามีชีวิตโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ทำให้หลายๆ คนบนเรือที่เคยไปรับร่างนั้นแตกตื่นด้วยความกลัวกันไปหลายวัน
เมื่อรู้ว่าตนเริ่มคิดเรื่อยเปื่อยก็รีบดึงสติกลับมา พร้อมกล่าวโทษกะลาสีในใจที่ทำให้เขาเผลอคิดเรื่องนั้นอีกครั้ง
แก๊งๆๆๆ!!!!
"คริมสันคราวน์!! ฝูงคริมสันคราวน์มาจากด้านขวา!!"
เสียงสั่นระฆังส่งเสียงจากยอดเสากระโดงเรือ ยามเรือที่อยู่ข้างบนพยายามแหกปากให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อแจ้งเตือนทุกคนให้รู้ถึงความอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา
ทุกคนบนเรือรวมถึงมิลาด้าต่างหน้าซีดพร้อมกันในทันตา
คริมสันคราวน์?! อะไรมันจะโชคร้ายได้ขนาดนี้!!
อัลเลย์มนุษย์ยุคใหม่ผู้ไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียวได้แต่ตกตะลึงกับปฏิกิริยาของผู้คนรอบๆ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างบนฟ้าที่กำลังมุ่งหน้ามาทางเรือลำนี้
เมื่อได้เผชิญกับสัตว์ประหลาดตอนกลางคืนบ่อยครั้ง ก็ทำให้หลงลืมไปว่าตอนนี้เขาอยู่ในโลกแฟนตาซีที่สัตว์ในตอนกลางวันก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน
"อัลเลย์!! มานี่!" เอ็ดวินร้องเรียกอัลเลย์ให้เข้าไปอยู่ในรัศมีการปกป้องของเขา แน่นอนว่าผมก็ยินยอมเข้าไปแต่โดยดี
พลปืนทุกคนลงไปในเรือประจำการที่ปืนใหญ่อย่างพร้อมเพรียง บ่งบอกถึงระดับความอันตรายของสิ่งมีชีวิตบนท้องฟ้า
"ฝูงนกอพยพ!!"
ตอนแรกมันมีหน้าตาเหมือนก้อนสีขาวเล็กๆ กลมกลืนไปกับก้อนเมฆ แต่เมื่อเข้าใกล้เรื่อยๆ จึงทำให้อัลเลย์ได้เห็นรายละเอียดของมันชัดเจนมากขึ้น
มันคือนกสีขาวจำนวนมากที่บินอยู่บนท้องฟ้า รอยสีแดงเลือดบนหน้าผากและสีสันสดใสตรงปลายปีกและหางสามารถทำให้คนรักนกชื่นชมมันได้ทั้งวัน
แต่เมื่อดูจำนวนทั้งหมดที่ปรากฏมาก็ทำให้อัลเลย์เหงื่อตก
นกพวกนี้บินรวมกลุ่มกันบนท้องฟ้าจนดูราวกับมังกรขาวตัวใหญ่ เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะต้องมีพวกมันไม่ต่ำกว่า10,000ตัวแน่นอน
นี้ยังไม่นับเสียงน่ารำคาญที่ทำให้คนขี้หงุดหงิดกระอักเลือกตายได้
"ยิง!!" เอ็ดวินตะโกนออกคำสั่ง
เสียงปืนใหญ่ดังขึ้นรอบเรือ ปลดปล่อยประกายไฟและกระสุนสีดำให้ลอยไปสู่เป้าหมาย เสียงแห่งตายและความหิวโหยดังไปทั่วสนามรบ
ด้วยความแออัดของนกเหล่านั้น จะเรียกว่าถึงยิงมั่วๆ ก็ยังโดนจะว่าได้ แต่ด้วยจำนวนมหาศาลพวกมัน ก็สามารถอุดรูโหว่พวกนั้นได้ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที
คริมสันคราวน์...
นกพวกนี้กระหายเลือดสมชื่อจริงๆ พวกมันบินพุ่งเข้าหาเหยื่อแบบไร้สมอง หากจิกชิมเลือดมนุษย์ไม่ได้ก็เลือกจะกินซากของเผ่าพันธุ์เดียวกันที่พึ่งตายไปแทน บางตัวก็พยายามมุดเข้าไปตามรอยแตกของเรือ บ้างก็เลือกกินเศษอาหารหรือปลาซาร์ดีน
มิลาด้ามอบดาบยาวยุคกลางธรรมดาหนึ่งเล่มให้เขา ก่อนจับดาบสองมือเคลื่อนที่ไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ทุกการเคลื่อนไหวของเธอมักจะตามมาด้วยซากนกบนดาดฟ้าเรือที่ตายเป็นแถวยาว
"มัวเหม่ออะไร!!" เอ็ดวินพูดด้วยความโกรธเมื่อเห็นอัลเลย์จ้องมองไปที่มิลาด้าไม่ขยับจนเจ้าตัวต้องเข้ามาช่วย ชายตรงหน้าทิ้งดาบใหญ่ที่คุ้นเคยแล้วเปลี่ยนมาใช้ดาบยาวที่เร็วกว่าแทน
อัลเลย์ละสายตาจากเคลื่อนไหวของมิลาด้าพร้อมพยายามนึกถึงการเคลื่อนไหวของหล่อนเมื่อกี้
ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นบางอย่าง...
อาการร้อนวูบวาบเกิดขึ้นในดวงตาของเขา แต่อัลเลย์ก็ไม่ใส่ใจ จุดสีทองเล็กๆ ในดวงตานั้นเบาบางจนคนหลายคนไม่ได้สังเกตเห็น
พวกมันอ่อนแอมาก ตายง่ายนิดเดียว อัลเลย์เหลือบมองซากนกบางส่วนที่ยังติดอยู่บนดาบของตน ได้แต่ชื่นชมคนอื่นที่สามารถผ่าพวกนั้นขาดได้ในรวดเดียว
นกพวกนี้ไม่ได้แข็งแกร่งนักแต่กลับ ดุร้าย หิวโหย และมีจำนวนมาก ตามตัวอัลเลย์ก็มีร่องรอยแผลเล็กๆ มากมายที่เกิดจากกรงเล็บและปากของพวกมัน
ในขณะที่กำลังกวัดแกว่งดาบก็นึกถึงการเคลื่อนไหวที่เห็นเมื่อกี้ ดูเหมือนการเคลื่อนไหวในการตวัดดาบทุกครั้งจะไม่ใช่แค่ต้องกะจังหวะก้าวเดินเท่านั้น แต่เหมือนกับว่าเธอกำลังเดินไปตามกระแสบางอย่าง
ตวัดเฉียงขึ้น จับให้แน่นก่อนฟาดไปในแนวนอน ในช่วงเสี้ยวนาทีที่เท้าโดนพื้นก็เอียงตัวเล็กน้อย กระโดดเบาๆ ก้าวเท้าซ้ายถอยหลัง เอียงตัวพร้อมฟาดดาบไปด้วย
เลือดสีแดงกระเซ็นมาเปรอะเปื้อนใบหน้าของอัลเลย์ แต่เขาตอนนี้ที่กำลังจมไปในห้วงความคิดกลับเลือดเพิกเฉยมันไป
เหมือนในชั้นบรรยากาศมีการแบ่งชั้นผิวที่เขามองไม่เห็นอยู่ พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเอื่อยเฉยในทิศทางที่ดูแปลกประหลาด
อัลเลย์เลือกที่จะเลิกทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร แล้วปล่อยร่างกายให้เคลื่อนไหวไปตามกระแสพวกนั้น
ใช่ ดูเหมือนจะเห็นมันแล้ว...
'สัมผัสไม่ได้ มองไม่เห็น แต่รู้ว่ามันมีตัวตนอยู่'
นิวม่า
ฉึก
เป็นเสียงเล็กๆ ไม่หวือหวาอะไร มีแค่ซากนกที่ถูกตัดสองท่อนร่วงลงไปตามแรงโน้มถ่วง
เอ็ดวินมองอัลเลย์ด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ต้องกลับไปสนใจการต่อสู้ตรงหน้าต่อ ทุกครั้งการขยับดาบของเขา จะสร้างพื้นที่สีดำคล้ายรอยกรีดบนอากาศ ส่งบรรยากาศชั่วร้ายสีแดงบิดเบี้ยวออกมา
ทุกครั้งที่ปรากฏก็ดูดนกรอบๆ เข้าไปจนถูกบดขยี้ไม่เหลือแม้แต่เลือดสักหยดที่หลุดรอดไปได้
เมื่อเห็นว่าอัลเลย์สามารถดูแลตัวเองได้ เอ็ดวินก็เลือกละทิ้งการป้องกันแล้วมุ่งสู่การต่อสู้อย่างเต็มที่
พื้นที่ของเอ็ดวินต่างก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะเต็มไปด้วยพื้นที่มิติสีดำบิดเบี้ยวบนอากาศรอบตัวเต็มไปหมด มิลาด้าที่เต็มไปด้วยเลือดและขนนกทำหน้ามืดครึ้มกับจำนวนของนกที่โผล่มาไม่มีทีท่าสิ้นสุด
ไม่อาจทราบเวลาที่แน่นอน แต่ว่ามันนั้นก็ช่างยาวนานเหลือเกิน อัลเลย์เจ็บร่างกายไปหมดโดยเฉพาะแขนกับเอวที่ระบมไปทั่ว จนเขาเผลอก้าวพลาดไปหลายครั้งให้ได้แผลตามร่างกายเพิ่มขึ้นประปราย
ดวงตาที่มีจุดสีทองแปลกประหลาดกลอกตาไปทั่วเพื่อสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของศัตรูรอบข้าง เมื่อเห็นนกที่พุ่งตรงมาในระดับสายตาจากด้านข้าง ก็เคลื่อนไหวแขนอย่างแม่นยำ เสียบเข้าไปในปากทะลุจนถึงอีกฝั่งของลำตัว
แต่ก็ทำให้มีนกบางตัวที่อาศัยจังหวะนั้นจิกกินเส้นผมสีน้ำตาลยาวไปหลายเส้น
ถ้าจบเรื่องนี้เมื่อไหร่ก็คงจะต้องตัดผมสั้น...