อัลเลย์สะบัดซากนกออกจากดาบก่อนพุ่งไปฆ่านกพวกนั้นต่อ ยิ่งแกว่งดาบมากขึ้นก็ยิ่งเหมือนเข้าใกล้ความจริงบางอย่าง อาการแสบร้อนในดวงตาแผดเผาไปถึงสมอง ทำให้เขาจมลึกไปในห้วงสมาธิมากขึ้น
กลิ่นสนิม และกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่ว พร้อมเสียงของความโกลาหล ยาวนานเหมือนไม่มีวันจบสิ้น
มืออีกข้างแกว่งดาบ ในขณะที่มืออีกกระชากปีกของพวกมันออกมา แต่นกพวกนี้ก็ยังคงไม่สนใจความเจ็บปวดใดๆ ขอแค่ได้กลิ่นเลือดในอากาศสักนิดก็ทำให้บ้าคลั่งจนคุมไม่ไหว
[หิว...ต้องการมากกว่านี้]
[...ขอ...ได้ไหม?]
เสียงกระซิบชวนฝันดังขึ้น เป็นเสียงหญิงสาวที่อ่อนหวานและนุ่มนวล เหมือนเสียงของแม่ที่กำลังกล่อมลูกๆ จอมซนอยู่
ความรู้สึกเจ็บชาในศีรษะช่วยดึงสติที่เผลอหลุดไปกลับมา อัลเลย์กัดฟันพร้อมจับนกที่กำลังจิกกินเลือดที่บาดแผลออกไป
เสียงนั้นมันคืออะไร?
มาจากไหน!!
[ฉันขอได้ไหม...อัลเลย์...ขอได้มั้ย?]
เป็นเสียงที่คุ้นเคย เสียงที่ถูกฝังไปในทุกส่วนของจิตวิญญาณ มันคือเสียงของแม่ของตน
แมรี่...?
[อัลเลย์เป็นเด็กดีเสมอ]
[ครั้งนี้ก็จะเป็นเด็กดีใช่มั้ย?]
"วี๊ดดดดด!!!" เสียงเล็กแหลมเหมือนนกหวีดดังขึ้นจนทำให้หลายๆ คนต้องปิดหูตัวเองอย่างหน้าซีด ความเจ็บปวดในหูช่วยทำให้สติกลับมากระจ่างอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่อยู่บนท้องฟ้า
สิ่งมีชีวิตตัวนั้นใช้ปีก3คู่ของมันในการพยุงตัวบนอากาศท่ามกลางฝูงคริมสันคราวน์จำนวนมาก มันเป็นสีดำโดดเด่นมีท่อนบนคล้ายมนุษย์เพศหญิง มีขนสีแดงกลางอก มันใช้แขน3ข้างที่เหลือในการจับคริมสันคราวน์รอบๆ มากินเป็นอาหารทดแทนแขนที่สูญเสีย ก่อนจะใช้ใบหน้าคล้ายมนุษย์ที่ปกคลุมด้วยขนนก และดวงตาสามดวงจ้องมองมายังมนุษย์เบื้องล่าง
"สัตว์ร้ายระดับปราชญ์!!" มิลาด้าตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
ระดับปราชญ์!
ราชินีคริมสันคราวน์ขยับปีกของมันก่อนจะพุ่งเข้าหามาที่เรือด้วยความโกรธ แค่แรงลมที่เกิดขึ้นก็ทำให้เกิดคลื่นสูงขึ้นมา
"อ๊ากก..!!!" เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดึงดูดความสนใจของอัลเลย์
กะลาสีหนุ่มพยายามที่จะห้ามเลือดจากแผลที่คอของตนก่อนจะโดนกลุ่มฝูงนกตัวอื่นรุมเข้ามาเพื่อจิกกินเลือดของเขา ยิ่งแกะกลุ่มกันมากขึ้นก็สามารถยกตัวกะลาสีคนนั้นลอยจากพื้นเรือได้
ตึง!!
"หาอะไรอุดหูเดียวนี้!!" มิลาด้าตะโกนสุดเสียง
เสากระโดงเรืออันแรกถูกจับไว้เป็นที่พยุงตัวเองก่อนที่มันจะส่งเสียงแหลมบาดหูออกมา มนุษย์ที่อยู่ใกล้ตายทันที ก่อนจะถูกพวกคริมสันคราวน์ตัวเล็กรุมทึ้ง ในขณะที่อัลเลย์รู้สึกได้ถึงของเหลวที่ไหลออกจากหูของตน
นี้...สิ่งมีชีวิตระดับปราชญ์
อัลเลย์ที่ไม่สามารถได้ยินอะไรได้อีกนอกจากเสียงวิ้งเล็กๆ ในหู พร้อมอาการบ้านหมุนที่เข้าโจมตี ทำให้ต้องใช้ดาบมาพยุงตัวเอง
คริมสันคราวน์พวกนั้นส่งเสียงร้องอย่างรื่นเริงใจกับมื้ออาหารครั้งนี้ ราชินีจ้องไปยังเอ็ดวินที่ตัดแขนตนด้วยความโกรธแค้น แรงบีบรัดจากกรงเล็บให้เสากระโดงเรือแตกหัก
ในสถานการณ์แบบนี้เขาจะทำอะไรได้ อัลเลย์คิดด้วยความเจ็บปวดนอกจากทักษะดาบเร่มต้นแล้วตนก็มีแค่กุญแจดอกเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรที่จะเอาไปสู้สิ่งมีชีวิตตรงหน้าได้
อัลเลย์ล้มลงไปกองกับพื้น พยายามโบกดาบอย่างอ่อนแรงเพื่อป้องกันนกพวกนั้น บ้างก็ใช้มือจับพวกมัน ไม่ก็ใช้ปากกัดพวกมันให้ตาย
ความแสบร้อนรอบเบ้าตาทำให้ความเจ็บปวดชัดเจนความเดิน จุดสีทองขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะครอบคลุมทุกส่วนของลูกตาดำโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
เจ็บจัง...
เสียงครึกโครมจากการต่อสู้ดังขึ้นตลอดเวลา หากแต่ตอนนี้เขาได้ยินแค่เสียงแว่วเล็กๆ เท่านั้น ภาพเสากระโดงเรือที่อยู่คู่แอสตราลิสมาตลอดหักโค่นลง ด้วยน้ำหนักและเชือกที่ดึงรั้นเกือบจะทำให้ทั้งเรือต้องพลิกจมไปด้วย
ภาพของมิลาด้าที่อาบด้วยเลือด ภาพของเอ็ดวินที่กำลังต่อสู้กับราชินีนก ภาพของเลียมที่พยายามปกป้องผู้หญิงคนหนึ่ง...
เมื่อมานึกตอนนี้ก็รู้สึกว่าตนใช้ชีวิตได้คุ้มค่าจริงๆ เป็นปาฏิหาริย์ที่พนักงานออฟฟิศธรรมดาแบบเขาสามารถรอดในโลกแบบนี้มาได้นานขนาดนี้
จุดสีทองในดวงตาจางหายไปโดยไม่รู้ตัว อัลเลย์ใช้แรงที่มีทั้งหมดจับนกบนท้องตัวเองกระแทกลงไปบนพื้นข้างๆ ขนนกสีขาวที่แปดเปื้อนไปด้วยสีแดงปลิวไปในอากาศ ก่อนจะไม่มีแรงยกแขนอีกต่อไป ได้แต่จ้องมองยมทูตสีขาวพวกนั้นบินมารุมล้อมรอบๆ ด้วยความหิวกระหาย
"มิลาด้า!!"
"เข้าใจแล้ว" มิลาด้าตอบรับคำของเอ็ดวิน ก่อนจะวิ่งไปหน้าเรือ หยิบขวดขนาดเล็กที่อยู่ในกระเป๋าคาดเอวออกมา ก่อนจะเทสาดเลือดสีแดงไปรอบๆ
กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นหอมหวานแปลกประหลาดกระจายไปทั่ว ดึงดูดความสนใจของนกรอบข้างให้ละทิ้งเหยื่อแล้วบินไปหาเป้าหมายใหม่
ราชินีคริมสันคราวน์หันไปมองที่มิลาด้าด้วยดวงตาเบิกกว้างจนเป็นขีดเส้นตรงของสัตว์ร้าย กลิ่นหอมดึงดูดเกินบรรยายทำให้ไม่อาจควบคุมความหิวกระหายที่มีอยู่ในทุกส่วนของเซลล์ในร่างกายได้
มันก้มตัวใช้มือและขาอันทรงพลัง คืบคลานไปหาเหยื่อตรงหน้า เสียงของไม้ที่แตกหัก และเรือที่โยกคลอนอย่างน่าหวาดเสียวดังไปทั่ว
"มิลาด้า..." อัลเลย์ที่เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่พูดอย่างกังวลด้วยความอ่อนแรง ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลจะเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจจากภาพตรงหน้า
มันคือไฟ
เป็นเปลวไฟสีทองที่อบอุ่นและสวยงาม
อัลเลย์มองไปยังเปลวเพลิงสีทองตรงหน้าด้วยความตกตะลึง มันแปร่งรัศมีความอบอุ่นออกมารอบๆ เป็นเปลวเพลิงสีทองอ่อนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
มันคือพลังวิเศษของมิลาด้า ไม่ได้ดูหวือหวาน่ากลัวเท่าของเอ็ดวิน แต่ขนาดของมันกลับโจมตีเป็นวงกว้างจนน่าตกใจ เพลิงพวกนี้ทำตัวเหมือนโรคติดต่อที่ติดไปสู่นกอีกตัวได้อย่างรวดเร็ว
"กี๊ดดดดด"
ราชินีนกกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ขนของมันเต็มไปเปลวเพลิงที่ลุกลามเรื่อยๆไม่มีวันดับ ดวงตาของมันแดงก่ำด้วยความแค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด
มิลาด้าปล่อยมือจากดาบที่ปักคาอกของราชินี ปล่อยให้ร่างกายหล่นกระแทกพื้นเรือ หล่อนหอบหายใจด้วยความเหนื่อยหอบ ใช้ใบหน้าซีดเซียวเงยขึ้นจ้องมองไปยังสัตว์ร้ายตัวนั้น ให้เลือดของมันชโลมใบหน้าของเธอ
ด้วยประชากรคริมสันคราวน์ที่แออัดก็ยิ่งทำให้เปลวไฟติดกันได้ง่ายขึ้น นกจำนวนมากบนท้องฟ้ากลายเป็นกลุ่มแสงสีทองกลุ่มหนึ่งที่โบยบินอย่างสวยงามไปรอบๆ ก่อนจะร่วงตกลงมาสู่ทะเลสีดำข้างล่าง
เอ็ดวินกระโดดขึ้นไปบนตัวราชินีโดยไม่สนใจไฟเหล่านั้น ราชินีคริมสันคราวน์กรีดร้องอย่างทรมาน พยายามที่จะกางปีกบินขึ้นไปบนฟ้าด้วยความเจ็บปวด
[มนุษย์!! มนุษย์! อัลเลย์...]
เสียงแปลกประหลาดเหมือนวิทยุที่มีสัญญาณติดขัดกับเสียงอันนุ่มนวลสลับไปมาชวนให้ปวดหู อัลเลย์ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะจับดาบผ่าคริมสันคราวน์ข้างๆ ตนก่อนจะใช้มันค่อยๆ พยุงตัวเองพิงกับกำแพง
"อา-อ๊าา..."
เอ็ดวินใช้ดาบขนาดใหญ่ของตนอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มันกลับเต็มไปด้วยประกายชั่วรายที่ไม่อาจอธิบายได้ ก่อนจะปักลงไปกลางหลังของราชินี
เธอกรีดร้องสาปแช่งมนุษย์รอบตัวด้วยความเจ็บปวด ถึงดาบจะเสียบเข้าไปได้แต่ก็ยังไม่สามารถปลิดชีพเธอได้ หล่อนกางปีกอีกครั้ง พยายามที่จะบินขึ้นไปบนฟ้าแล้วค่อยสลัดมนุษย์ข้างหลังให้หยุด
"ทุกอย่างจบแล้ว" มิลาด้าและเอ็ดวินพูดพร้อมกันด้วยเสียงแผ่วเบา
อัลเลย์สัมผัสได้นิวม่าในอากาศอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้ลอยเฉื่อยๆ อีกต่อไป แต่กลับพลุ่งพล่านขยับไปมาด้วยความตื่นเต้นมุ่งเข้าหาเอ็ดวินอย่างหิวกระหาย
เขากำลังจะใช้ท่าใหญ่
ผู้คนที่ยังมีสติรวมถึงอัลเลย์หาที่จับยึดบนเรือด้วยความหวาดหวั่น ทุกอย่างถูกดึงดูดเข้าหาเอ็ดวิน แรงดึงดูดมหึมาที่เกิดขึ้นภายในร่างกายราชินีทำให้เธอส่งเสียงร้องแหลมสูงอย่างเจ็บปวด อวัยวะภายใน กระดูก ผิวหนัง ทุกๆ ส่วนถูกดูดบีบอัดเข้าไปที่หลุมดำเล็กๆ นั้น
ไม่เหลืออะไรเลย...
ไม่มีอะไรที่เหลืออยู่ มีแค่เครื่องในบางส่วนที่หลุดรอดจากแรงโน้มถ่วงมหาศาลเท่านั้น คริมสันคราวน์ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกเมื่อสัมผัสไม่ได้ถึงเสียงของราชินีของตนอีกต่อไป ก่อนจะบินแตกกระจายไปรอบๆ ด้วยความสับสน
"อึก..." จบ...จบสักที
อัลเลย์ที่จับเสากระโดงเรือพร้อมลูกเรืออีก2คนจนนิ้วมือแดงก่ำถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ด้วยแรงดูดของสิ่งนั้นทำให้เมื่อกี้เรือลำนี้ถูกยกลอยขึ้นมานิดหน่อย ได้แต่แอบขอบคุณคนที่สร้างเรือลำนี้อีกครั้งที่สร้างมันมาได้แข็งแรงเพียงพอ
ผู้คนบนเรือต่างรู้สึกโล่งใจที่สิ่งต่างๆ ผ่านไปสักที คนบาดเจ็บถูกส่งตัวถึงมือของหมอประจำเรือรวมถึงอัลเลย์ที่กลายเป็นผัก ส่วนมิลาด้าก็นั่งพิงระเบียงด้วยใบหน้าซีดเซียว
"อาจารย์..." อัลเลย์แอบเห็นว่ามือของเอ็ดวินนั้นสั่นเล็กน้อย ถึงเขาจะพยายามควบคุมมันแค่ไหนก็ไม่สามารถปิดบังจากสายตาเฉียบแหลมของอัลเลย์ได้ ตนไม่อยากนึกว่าถ้าหากเอ็ดวินไม่สามารถหยุดการใช้งานท่านั้นได้จะมีโศกนาฏกรรมแบบใดเกิดขึ้นบ้าง
เขาหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด ปล่อยให้ความเจ็บปวดเป็นยากล่อมนอนให้ตนนอนหลับ
"วันนี้อดทนได้ดีเลยนะ"
อัลเลย์ถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้งเพราะความเจ็บแสบบนร่างกาย
หญิงวัยกลางคนตรงหน้าส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ เธอคือเสมียนเรือมี่เคยพูดคุยกับฮาโมนี่ก่อนหน้านี้ เพราะการขาดคนจำนวนมากหล่อนจึงอาสามาช่วยงานรักษา
เธอใช้ดวงตาสีน้ำตาลของเธอดูเด็กชายตรงหน้าด้วยความเห็นใจ ก่อนใช้ผ้าชุบเหล้าเช็ดรอบบาดแผล
"ในยุคแบบนี้ แม้แต่เด็กก็ยังต้องจับอาวุธขึ้นมาต่อสู้ โชคดีที่คุณยังรอดมาได้"
"คุณ..." อัลเลย์ใช้ส่งเสียงแหบแห้งโต้ตอบ
"ฉันชื่อซาแมนธาเป็นภรรยาของเลียม" เธอหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะนำเส้นไหมมาเพื่อใช้เย็บแผล นี้เป็นครั้งแรกที่เอาถูกเย็นแผลโดยไม่ใช้ยาชา อัลเลย์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะนอนกัดฟันด้วยความเขินอาย
"ลูกสาวของฉันตอนอายุเท่าคุณก็ตายไปในสงครามเหมือนกัน"
"คุณ...เสียใจ" อัลเลย์อดจะตำหนิตัวเองไม่ได้ที่เผลอถามอะไรโง่ๆ ไป
ซาแมนธาหัวเราะด้วยความขบขัน แต่ก็ยังคงเย็นแผลด้วยความเบามือ
"ถึงจะเจ็บปวดแค่ไหน แต่มนุษย์ก็ต้องมีชีวิตต่อไปใช่มั้ย"
"อีกอย่างฉันทิ้งเลียมให้อยู่คนเดียวไม่ได้หรอก" เธอถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ตัดไหม ก่อนจะเตรียมเย็บแผลจุดถัดไป
"ผู้หญิงคนนั้นฮาโมนี่ ถ้าลูกสาวฉันยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะมีอายุพอๆ กับหล่อน" อัลเลย์มองไปที่ซาแมนธาด้วยความแปลกใจ
"บางทีคุณควรจะลองพูดคุยกับเธอดู" ซาแมนธาค่อยพันแผลของอัลเลย์
"ถึงจะไม่ชัดเจนนักแต่บนเรือก็มีหลายคนที่เกลียดชังเผ่าพันธุ์อื่น ยิ่งท้องแก่แบบนั้นยิ่งใช้ชีวิตลำบากไม่น้อย และบางทีเธอก็อยากจะพูดคุยกับคุณแต่ก็ขี้กลัวเกินไป"
"แล้วคุณล่ะครับ" ความเกลียดชังมีหลายเหตุผลและความสูญเสียก็เป็นหนึ่งในนั้น แม่ที่สูญเสียลูกไปในสงครามอย่างเธอทำไมถึงได้ใจดีกับฮาโมนี่ขนาดนี้
ซาแมนธายิ้มเล็กน้อย ดวงตาของเธอสะท้อนถึงความรู้สึกมากมายภายในจิตใจ
"เพราะฉันกล้าหาญพอ"
"กล้าหาญมากพอจะยอมรับถึงความจริง"
"แต่บางคนทำไม่ได้รวมถึงเธอด้วย" เธอ...
ซาแมนธาหัวเราะก่อนจะจากไปรักษาคนอื่นต่อ อัลเลย์จ้องมองหญิงสาวที่เดินจากไป ก่อนจะคิดถึงประโยคสุดท้ายที่หล่อนตั้งใจพูดถึงบุคคลที่สาม
เธอในที่นี้คือใคร? ตอนนี้มีปริศนามากมายที่นอกจากจะไม่สามารถแก้ได้ก็ยังมีโผล่มาเพิ่มอีกเรื่อยๆ
นอกจากนี้กลางคืนที่แสนยาวนานก็จะกลับมาอีกครั้ง ถึงสภาพทุกคนบนเรือจะเลวร้ายแค่ไหนก็ต้องจับดาบลุกขึ้นมาสู้เท่านั้น
มีให้เลือกแค่ตายตอนนี้กับตายในวันหน้า
เมื่อนานพักไปได้ราว5ชั่วโมง ทุกคนก็ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้ง อัลเลย์ที่กินยาลดปวดไปก็เช่นกัน อาจเป็นเพราะเหตุฉุกเฉินหรือเพราะมั่นใจในฝีมือของตน มิลาด้าและเอ็ดวินจึงได้ปล่อยให้เขาเข้าร่วมค่ำคืนนี้ด้วย
วันนี้เป็นวันที่มีเมฆมากทำให้ความสว่างรอบๆ น้อยลง สัตว์ประหลาดพวกนั้นปีนป่ายขึ้นมาตามเรือลำนี้ บางอย่างก็แหวกว่ายอยู่ข้างล่างกระแทกเรือเล่นๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หากสัตว์ร้ายคือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้แสงตะวันแล้วใช้ความดุร้ายของมันในการล่าเหยื่อ สัตว์ประหลาดก็เป็นเหมือนสัตว์ติดเชื้อกลายพันธุ์ที่มีแค่ความต้องการฆ่าอย่างไร้เหตุผล
นกสีสันสดใสบนฟ้าส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวสดใส อัลเลย์สาบานว่าต่อไปนี้ตนจะเกลียดสิ่งมีชีวิตมีปีกพวกนี้ตลอดไปเจี๊ยวจ๊าว
หากนกโลกเก่าเป็นพวกที่ชอบอึใส่ทุกสิ่งที่อยู่ข้างใต้มัน นกในโลกนี้ก็เหมือนสิ่งมีชีวิตน่ารำคาญที่อันตรายถึงชีวิต
ไม่มีอาวุธระยะไกลบนเรือลำนี้ ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ต่อสู้ไประแวงหัวไป ฮาโมนี่แบกร่างกายซีดเซียวของเธอเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยดวงตาแดงก่ำ ดูเหมือนการใช้ไฟนั้นจะส่งผลกระทบต่อเธอมาก
อัลเลย์มองไปยังสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ผสมปลาตรงหน้า มันใช้ดวงตาสีดำใหญ่โตจ้องมองมาที่ตน หนวดหมึกจำนวนมากกินพื้นที่ไปครึ่งหน้าโบกสะบัดไปมาชวนขนลุก
ยิ่งหลายคืนผ่านไปพวกเขาก็ยิ่งเจอสัตว์ประหลาดลักษณะคล้ายมนุษย์ขึ้นเรื่อยๆ พวกมันมีสติปัญญาที่สูงกว่าสัตว์ประหลาดประเภทอื่นอย่างชัดเจน
อัลเลย์ก้าวเท้าไปข้างหน้า นึกถึงการเคลื่อนไหวที่ได้เรียนมาจนสามารถตัดแถบหนวดใต้คางให้ตกลงไปตามแรงโน้มถ่วง
ฉับ
เขามองคางและริมฝีปากของมนุษย์ใต้หนวดนั้นด้วยความสนใจ ก่อนจะรีบฆ่ามันให้เร็วที่สุดบางทีนี้อาจจะเป็นมนุษย์ที่ติดเชื้อปนเปื้อน
จนตอนนี้เขาก็ยังคงไม่รู้ว่าหลักการติดเชื้อปนเปื้อนพวกนี้คืออะไร หากแค่การสัมผัสเหมือนพวกซอมบี้ก็ไม่น่าใช้ ไม่อย่างงั้นเขาก็คงจะไม่สบายดีมาถึงตอนนี้
ยิ่งตวัดดาบมากขึ้นก็ยิ่งคุ้นชินกับมันมากขึ้น ถึงจะขาดดาบอีกเล่มแต่ก็ไม่เป็นปัญหามากนัก ความทรงจำของกล้ามเนื้อกระตุ้นให้เขาเหวี่ยงดาบในทิศทางที่ถูกต้อง ฆ่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าให้ตายไป
ครั้งแล้วครั้งเล่าจนแสงอาทิตย์ขึ้นขอบฟ้า แผลที่พึ่งรักษามาไม่นานก็ปริแตกทำให้มีเลือดซึมไปตามชุด ดีที่ชุดของเขาเป็นสีดำไม่งั้นถ้าใส่ชุดสีขาวกว่าจะไปถึงฝั่งคงกลายเป็นชุดสีแดงเป็นแน่
อัลเลย์คิดมุกขำๆ เพื่อผ่อนคลายจิตใจที่เหนื่อยล้าจากการขาดการพักผ่อน ถึงจะกลายเป็นผู้วิเศษแต่เขาก็ยังต้องการการพักผ่อนอยู่ ร่างกายที่เหนื่อยล้าจึงล้มตัวนอนบนพื้นไม้ไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่สนใจความเจ็บปวดใดๆ บนร่างกาย
มิลาด้าจ้องมองไปยังพระอาทิตย์ที่ขอบฟ้าอย่างเงียบงัน พยายามใช้วัตถุศักดิ์สิทธิ์พระผู้เมตตาที่เป็นสร้อยคอของเธอในการบรรเทาเพลิงแผดเผาในห้วงจิต เสียงกรีดร้องและความเจ็บปวดในส่วนลึกสุดของจิตใจส่งเสียงโหยหวนออกมาในห้วงแห่งความคิดของเธอ
'มิลาด้า ทุกอย่างจะไม่เป็นไร'
'เรื่องของคุณพ่อก็ไม่เป็นไรเช่นกัน'
'เพราะงั้นจงมีชีวิตต่อไปซะ'
'มีชีวิตต่อไปในฐานะกูล'
"มิลาด้า" เอ็ดวินมองไปยังหญิงสาวตรงหน้า เขามีอายุห่างจากหญิงสาวตรงหน้า19ปี ตนได้เจอตั้งแต่ตอนที่หล่อนเกิด ตอนได้เป็นลูกศิษย์ของลาซาลาซ ตอนได้กลายเป็นผู้วิเศษ และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนจากเด็กน้อยวันนั้นให้เต็มไปด้วยไฟแผดเผาที่ไม่มีวันจบสิ้น
'คุณอาคะ'
"นี่ เอ็ดวิน..."
"ดินแดนแห่งความหวังที่ท่านเทพบอก...มันเป็นยังไงเหรอ" ดินแดนแห่งความหวังของมนุษย์ ภารกิจจากทวยเทพ อนาคตของมนุษยชาติ มันจะมีอยู่จริงๆ หรือ
"..." ผมของพวกเขาปลิวไปตามสายลมแผ่วเบา ภายในหัวเอ็ดวินเต็มไปด้วยความทรงจำ เกือบลืมไปแล้วว่านานแค่ไหนแล้วที่ได้พูดคุยกันอย่างสบายใจแบบนี้
"มันคือดินแดนที่ปราศจากสงคราม ดินแดนที่ไม่มีความอดอยากและการกดขี่ ดินแดนที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะสามารถใช้ชีวิตโดยมีแต่รอยยิ้ม สถานที่ที่มีแค่ความหวัง"
"ดังนั้นเราจึงต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เราต้องไปถึงที่นั่นเพื่อนำทางให้พวกเขา"
"นั้นสินะ" มิลาด้าถอนหายใจด้วยความสบายใจ
"เพราะงั้นไปพักผ่อนซะ" เอ็ดวินไล่มิลาด้าอย่างไร้เยื่อใย เพิกเฉยต่อคำบ่นของหญิงสาวตรงหน้าทำแค่พูดตอบรับเป็นบางคำ เหมือนได้ย้อนไปในสมัยก่อน
ฮาโมนี่มองไปยังอัลเลย์ด้วยความห่วงใย เด็กคนนี้นอนบนพื้นอย่างหมดสภาพทำให้เธออดเป็นห่วงไม่ได้
"พวกผู้ชายวัยรุ่นนี้ปล่อยไว้ไม่ได้จริงๆ" ซาแมนธาบ่นไปด้วยทำแผลไปด้วยความหนักใจ
"เขาคงจะเหนื่อยมาก..." เธอมองตามร่องรอยบาดแผลที่ปรากฏตามร่างกายของอัลเลย์ ชายคนนี้ไม่ได้มีกล้ามเนื้อขนาดนั้นเมื่อรวมกับบาดแผลบนร่างกายก็ยิ่งดูน่าหวาดกลัวมากขึ้น
สงคราม การต่อสู้ ความเจ็บป่วย ความตาย โลกที่โหดร้ายนี้ไม่ปรานีใครแม้แต่เด็กและคนอ่อนแอ มีแค่ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถกำหนดชะตากรรมของตนได้
ดินแดนแห่งความสุข...คำพูดคุยที่ได้ยินมาทำให้ฮาโมนี่รู้สึกสับสน ที่แบบนั้นจะมีอยู่จริงงั้นเหรอ
"บางครั้งก็คาดหวังไปก่อนก็ได้นะ" ซาแมนธาพูดด้วยรอยยิ้ม ถึงเธอจะต้องทำงานมากมายไม่หยุดพักแต่ก็ยังคงรอยยิ้มเอาไว้อยู่
"ถึงจะเคยมีประโยคที่ว่าไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง แต่ถ้าเราไม่คาดหวังอะไรเลยก็ไม่มีแรงใจให้ทำตามเป้าหมายใช่มั้ย"
"ถ้าไม่หวังเพื่อตัวเอง ก็หวังเพื่อเด็กในท้องก็ได้นี้" ลูกของฉัน...
ถึงจะพยายามคิดถึงอนาคตแค่ไหน แต่โลกนี้มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน เมื่อวานเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นการต่อสู้จริงๆ กลิ่นคาวเลือดกับเสียงแห่งความเจ็บปวดดังไปทั่ว แค่รอดไปถึงอีกฝั่งไหมก็ยังไม่รู้ เหมือนกับการเดินบนเส้นด้ายที่ไม่แน่นอน
ซาแมนธารู้สึกเหนื่อยใจ ได้แต่โทษความโหดร้ายของโลกนี้ที่หล่อหลอมให้มนุษย์เต็มไปด้วยความเจ็บปวด