Chereads / กลายเป็นเจ้าของกุญแจในโลกแห่งฝันร้าย / Chapter 5 - บทที่ 5 ผู้วิเศษ[ปรับปรุง]

Chapter 5 - บทที่ 5 ผู้วิเศษ[ปรับปรุง]

นี้...จบแล้ว?

ซากศพของสัตว์ประหลาดพวกนั้นหายไปหมด เหลือแค่ร่องรอยความเสียหายที่ยังสามารถเห็นได้อยู่ประปราย ตอกย้ำว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่จินตนาการ

ผู้คนที่ยังรอดชีวิตต่างก็เริ่มรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง บ้างก็ลากศพของคนตายมากองรวมกัน

อัลเลย์มองไปยังช่องว่างบนเพดาน จ้องไปยังท้องฟ้าสีฟ้าสดใสอย่างว่างเปล่า เมื่อดูจากจำนวนชั้นที่เห็น ดูเหมือนตอนนี้เขาจะอยู่ที่ชั้น4ของเรือ

"ตามฉันมาหน่อยสิ" เขาหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนจะเจอมิลาด้ายืนอยู่ตรงนั้น เธอส่งยิ้มตรวจดูร่างกายของอัลเลย์ผ่านๆ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนเธอสามารถมองเขาได้ทะลุปรุโปร่ง

ร่องรอยบาดแผลยังคงมีอยู่บนร่างกายของหล่อน น่าแปลกที่เธอไม่มีอาการเหนื่อยใดๆ บนใบหน้าเลย รอยยิ้มของสาวงามนั้นดีต่อหัวใจจริงๆ แต่แค่สาวงามคนนี้สามารถฆ่าเขาได้30ครั้งใน3วินาที

"ส่วนผู้หญิงคนนั้นปล่อยเธอให้นอนหลับเถอะ มีแค่นายตามมาก็พอ"

"เอ่อ ใช่" อัลเลย์ที่กำลังจะพยายามพาฮาโมนี่ขึ้นมาก็หยุดทันที ก่อนจะได้แค่เดินตามมิลาด้าไปอย่างสงบ

ในฐานะคนที่พึ่งแหกกรงขังออกมา อัลเลย์ได้แต่เดิมตามเธอไปอย่างสงบ

เรือลำนี้ใหญ่กว่าที่อัลเลย์คิด และมีผู้คนอยู่จำนวนมากที่เขาไม่คุ้นตา ในชีวิตเก่าเขาเคยได้ขึ้นเรือสำราญไปสถานีกลางทะเลครั้งหนึ่ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นมาบนเรือที่ทำจากไม้ทั้งลำ มิลาด้าพาอัลเลย์เดินขึ้นบันไดผ่านชั้นที่มีปืนใหญ่ล้าสมัยจำนวนมากอย่างชั้น3และชั้น2จนไปถึงชั้นดาดฟ้า

ร่องรอยของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ยังคงมีอยู่ ด้านขวาของเรือเต็มไปด้วยไม้แตกจำนวนหนึ่งจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไป เขาอดจะทึ่งไม่ได้กับความแข็งแรงของเรือนี้

ชายหนุ่มมองเสากระโดงเรือขนาดใหญ่ด้วยความแปลกใจ

เรือขนาดใหญ่มีเสากระโดงเรือ3เสา ตัวเรือยาวไม่ต่ำกว่า60เมตรและกว้างกว่า10เมตร มีทั้งหมด5ชั้น ปืนใหญ่ขั้นต่ำ100กระบอก ระวางขับน้ำกว่า3,000ตัน ยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเลในสมัยก่อน เรือรบขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้เกือบทั้งลำด้วยความสามารถของมนุษย์ ธงรูปงูพันพระอาทิตย์สีแดงโบกสะบัดเหนือเสากระโดดเด่นบนท้องฟ้า

นี้มันดูใหญ่โตและสวยงามจริงๆ ถึงบางส่วนจะมีร่องรอยของการซ่อมแซม แต่สิ่งนี้ก็บ่งบอกได้ถึงภูมิปัญญาของมนุษย์ในการสร้างสรรค์และประดิษฐ์สิ่งต่างๆ 

ทั้งที่เมื่อคืนมีนกพวกนั้นเต็มไปหมด แต่สภาพใบเรือกลับมีความเสียหายน้อยกว่าที่คิด

ถ้าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หนีลงน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์ แล้วนกพวกนั้นจะไปหลบที่ไหนกันในตอนเช้า?

"นั้นคือธงของธัมไฮล์" หล่อนพูดด้วยความภูมิใจ ดวงตาสีน้ำเงินที่เคยดูมืดเหมือนน้ำจากธารน้ำแข็ง ตอนนี้กลับเหมือนทะเลที่สะท้อนดวงดาวยามค่ำคืน ผมสีบลอนด์อ่อนถูกมัดเป็นหางม้าปลิวไปตามสายลม

"นี้คือตัวแทนของความแข็งแกร่งของมนุษย์ ที่จะไม่ยอมจำนนต่อการกดขี่"

"ฉันชื่อ มิลาด้า บุตรสายตรงแห่งกูล เป็นผู้วิเศษระดับปราชญ์" เธอนำมือไปวางทาบบนอกพร้อมยิ้มตอบกลับด้วยความจริงใจ

อัลเลย์ตงิดใจกับประโยคแนะนำตัวของหล่อน เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าเรื่องพวกนั้นเป็นความลับของพวกผู้วิเศษไม่ใช่รึไง

"ใช่แล้ว ตอนนี้คุณเป็นผู้วิเศษระดับผู้ตื่นรู้แล้ว ยินดีด้วย"

"ผู้วิเศษ!?" เขานึกถึงกุญแจสีทองของตัวเองทันที ว่าแต่ทำไมเธอถึงรู้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่?

"นั้นเป็นหนึ่งในความสามารถของฉัน" เธอยิ้มให้ ก่อนจะเดินนำไปยังห้องเป้าหมาย

"ผู้วิเศษเนี่ย มีกี่ระดับเหรอครับ" ในขณะที่เดินตาม อัลเลย์ก็ถามเธอด้วยความสุภาพ เมื่อได้อยู่ใกล้กันเขาถึงได้รู้ว่าเธอนั้นสูงกว่าเขามาก อาจจะถึง180ซม. ด้วยซ้ำ ในขณะที่ร่างนี้น่าจะสูงแค่ประมาณ150ซม.

ไม่เป็นไร ในอนาคตเราเองก็จะสูงเพิ่มขึ้นเช่นกัน

"ผู้ตื่นรู้ ผู้เชี่ยวชาญ ปราชญ์ ปุโรหิต นักบุญ ตอนนี้รู้แค่นั้นก็พอแล้วละ" แปลว่ายังมีมากกว่านี้สินะ

อัลเลย์เดินตามเธอเงียบๆ จนไปถึงห้องหนึ่ง กลางห้องมีโต๊ะที่ตั้งแผ่นที่ขนาดใหญ่กางอยู่บนโต๊ะ มีร่องรอยขีดเขียนและน่าสับสนมากมายบนนั้น

ภาษาอังกฤษ?

บนแผ่นที่มีภาษาที่เขาคุ้นเคยดีอยู่บนนั้น เพียงแค่บางคำกลับมีสระแปลกๆ และเครื่องหมายเพื่อเติมเข้ามาชวนให้สับสน มีสัญลักษณ์มากมายบนแผ่นที่ แต่ในจุดหมายที่เราจะไปกลับว่างเปล่า คล้ายว่าจะยังไม่มีการสำรวจที่นั่นมาก่อน

ในห้องมีแค่เอ็ดวินที่ยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกล่องเจ้าปัญหาที่ปล่อยน้ำสีดำออกมาก่อนหน้านี้ อัลเลย์รู้สึกกดดันนิดหน่อยต่อสายตาที่จ้องมองมา

ถึงจะจะออกมาจากห้องขังโดยพลการ แต่ตอนนั้นก็เพราะจำเป็นจริงๆ นี้

"สวัสดีครับ ผมชื่อ อัลเลย์ อาโดนิส"

"เอ็ดวิน รัชมอร์ ผู้วิเศษระดับปุโรหิต" นอกจากแปลกใจระดับของเอ็ดวิน อัลเลย์ก็แปลกใจที่เอ็ดวินตอบกลับอย่างสุภาพและใจเย็นกว่าที่คิด ดูไม่เหมือนการปฏิบัติที่มีต่อนักโทษธรรมดา

"เอาล่ะ อัลเลย์ก่อนอื่นฉันขอถามหน่อยได้มั้ย ว่าช่วงนี้นายเห็นภาพเวลานอนหลับรึเปล่า" มิลาด้าพูดน้ำเสียงอ่อนโยน

เห็นภาพตอนนอน? ในโลกนี้ไม่มีความฝันกันรึเปล่านะ? มันดูสมเหตุสมผลถ้าคิดว่านี้คือโลกแห่งฝันร้าย แล้วการที่ฮาโมนี่ฝันล่ะ

"ไม่ ผมนอนหลับสนิทตลอด" เขาเลือกที่จะตอบไปตามความเป็นจริงแต่ไม่บอกในส่วนของฮาโมนี่ มิลาด้ากับเอ็ดวินนิ่งไป3วินาทีโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะหมดความสนใจแล้วไปคุยธุระเรื่องการจัดการสิ่งต่างๆ บนเรือ

น่าแปลกที่พวกเขาพาอัลเลย์เข้ามาฟังการคุยที่ดูมีความสำคัญเช่นนี้ ให้ชายหนุ่มได้ฟังเรื่องที่ดูเหมือนความลับอย่างเปิดเผย

คนในชนเผ่านั้นมักจะได้การปฏิบัติที่แย่จากคนในธัมไฮล์ไม่ต่างกับพวกลูกครึ่ง เพราะเทพเจ้าที่พวกเขานับถือนั้นไม่ใช่1ในเทพที่ธัมไฮล์ยอมรับ เทพที่พวกเขายอมรับมีแค่ เทพแห่งนิรันดร์ เทพแห่งพันธสัญญา และเทพแห่งดวงอาทิตย์เท่านั้น

แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะยอมรับอัลเลย์ที่พึ่งเป็นผู้วิเศษอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งที่เมื่อคืนเขาก็เห็นคนที่ใช้พลังแปลกอยู่บ้าง ดังนั้นแปลว่าผู้วิเศษบนเรือลำนี้ไม่ใช่สิ่งที่หายากขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้วิเศษระดับเริ่มต้น

ความอยากรู้อยากเห็นนี้ไม่ดีเลยจริงๆ ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ตั้งแต่ที่มาที่โลกนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสนใจใคร่รู้ในสิ่งต่างๆ มากขึ้นอย่างน่าพิศวง

ปริศนาเกี่ยวกับตัวเขาในโลกนี้ช่างน่าเย้ายวนเหลือเกิน จนทำให้อัลเลย์รู้สึกอยากอึดอัดในอกอย่างน่าประหลาด

คำตอบดูเหมือนจะใกล้นิดเดียว แต่กลับถูกปิดบังด้วยบางอย่าง มันช่างน่ารำคาญจริงๆ

"แล้วในกล่องใบนั้นคืออะไร" เธอเริ่มจ้องมองเอ็ดวินอย่างรุนแรงอีกครั้ง แต่เอ็ดวินก็ยังคงหน้านิ่งอย่างสงบ

"มันคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทียมที่ถูกสร้างโดยลาซาลาซชื่อเหรียญแห่งคธูลู" เขาตอบออกมาอย่างมั่นใจโดยไม่ปิดบังสิ่งใด

"ท่านอาจารย์ ลาซาลาซ!!" มิลาด้าตกใจ

"คธูลู!!" ครั้งนี้เป็นอัลเลย์ที่ตกใจ

ทั้งสองหันมามองหน้าอัลเลย์ด้วยความสงสัย เขาได้แต่รีบทำตัวสงบเสงี่ยมแล้วก้มหน้าลงนับลายไม้บนโต๊ะ

ในฐานะคนที่ชื่นชอบในการอ่านหนังสือ วรรณกรรม กวีนิพนธ์ และเรื่องสั้นต่างๆ เขาจะไม่รู้จักคธูลูของเลิฟคราฟท์ได้อย่างไร

แต่นี่คือความบังเอิญหรือว่าตัวเราได้หลุดมาในโลกดรีมแลนด์ของเลิฟคราฟท์เสียแล้ว หรือว่าบางทีคนที่ชื่อลาซาลาซจะรู้จักหนังสือเสียงเพรียกจากคธูลูด้วยรึเปล่านะ

"สิ่งนี้ทำอะไรเอ็ดวิน" มิลาด้าทำหน้าเครียด

"มันเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทียมที่ต้องประกอบกับวัตถุเล่นแร่แปรธาตุชิ้นอื่นอีกเพื่อใช้งาน ตอนนี้มันทำได้แค่ปล่อยน้ำสีดำคล้ายน้ำทะเลจากทะเลดำออกมาเท่านั้น" สีหน้าเอ็ดวินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นทันที

"แต่เมื่อคืนมีบางสิ่งมายุ่งกับมัน" มันคล้ายกับตอนเราเข้าห้องสอบที่ถึงจะรู้ว่าตนไม่ได้นำโพยใดๆ เข้าไป แต่ก็ยังอดจะรู้สึกร้อนตัวไม่ได้ ตอนนี้อัลเลย์ในฐานะผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็เริ่มรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาเล็กน้อย

"อืม...นี้ไม่ใช่ฝีมือของผมนะ" แต่ดูเหมือนดวงช่วงนี้จะเป็นขาขึ้น อดจะโล่งใจไม่ได้เมื่อเห็นมิลาด้าส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้

"อย่าตื่นเต้นเลยอัลเลย์ เรารู้ว่าไม่ใช่ฝีมือของคุณ" เธอพูดอย่างอ่อนโยน ทำไมถึงได้เชื่อใจเขาขนาดนี้กัน ดูเหมือนจะมีเบาะแสบางอย่างที่เราพลาดไปแต่มิลาด้ากับเอ็ดวินรับรู้ถึงมัน

อัลเลย์นึกถึงคำถามเรื่องการนอนของตนก่อนหน้านี้ หรือว่าจะเกี่ยวกับสิ่งนี้?

"ดูเหมือนจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นบนเรือของคุณแล้วนะเอ็ดวิน" เธอหัวเราะคิกคัก จากที่ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่ถูกกันแต่ตอนนี้กลับสามารถพูดคุยทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองจะไม่แย่ขนาดนั้น

"ฉันเป็นคู่หมั้นของเขา และเขาก็เป็นเพื่อนของอาจารย์ของฉัน" เป็นอีกครั้งที่มิลาด้าแสดงความสามารถในการอ่านใจ แต่ครั้งนี้อัลเลย์กลับยอมรับมันได้อย่างใจเย็น

"เขาเป็นคนหัวแข็งนิดหน่อย บางทีก็ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ยอมปริปากออกมา"

"เงียบปากซะ มิลาด้า"

ดูเหมือนอาจารย์ของมิลาด้าจะเป็นลาซาลาซ ความสัมพันธ์แบบคู่หมั้น? ดูเหมือนจะเป็นคู่หมั้นที่เต็มไปด้วยดินปืนจริงๆ

"แต่ก็นะ ในเมื่อออกมาได้แบบนี้จะให้ไปอยู่ในห้องขังแบบเดิมก็ไม่ได้ งั้นก็ไปอยู่ห้องของเอ็ดวินสิ"

"ตกลง"

"..." หืม?

"!!!" เดี๋ยวนะ

 

พวกเขาทั้งคู่ตกลงกับเสร็จสรรพ ไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว อัลเลย์ที่คิดว่าต้องนอนร่วมกับเอ็ดวินคนนั้นก็ได้แต่เดินใจลอยตามทั้งสองออกจากห้อง

จริงๆ เอ็ดวินก็ไม่ได้แย่อะไร นอกจากเย็นชานิดหน่อย ด้วยผมสีเงินเงางามกับตาสีน้ำเงินนั้น ถ้าได้ไปอยู่ที่ฮอลลีวูดที่โลกเก่าเขาก็คงจะสามารถกลายเป็นหนุ่มหล่อขวัญใจคนทั้งโลกได้

แต่มันน่าสงสัย ที่เจ้าตัวยอมรับเขาไปนอนด้วยอย่างง่ายดาย และน่าแปลกที่ดูเหมือนเรือลำนี้น่าจะมีห้องว่างจากการที่มีคนตายไปจำนวนหนึ่ง แต่ทั้งสองกลับคิดที่จะให้อัลเลย์ไปนอนห้องของเจ้าของเรือ

ปกป้อง?

หรือว่าจับตาดู?

อัลเลย์จับด้ามดาบในมือแน่น ก่อนจะพึ่งรู้ตัวว่าตนยังไม่ได้คืนดาบเล่มนี้ให้มิลาด้า

"ขอบคุณสำหรับดาบครับคุณมิลาด้า" เด็กหนุ่มยื่นดาบสีดำสวยงามนี้คืนเจ้าของด้วยความช้ำใจ เธอมองเด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนส่ายหัวนิดๆ

"ไม่เป็นไร มันเป็นแค่วัตถุเล่นแร่แปรธาตุเท่านั้น อีกอย่างการที่อาจารย์จะมอบของขวัญบางอย่างให้กับศิษย์ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ"

"นั้นสินะครับ...หืม?" อาจารย์?

เอ็ดวินที่ไม่สนใจทั้งคู่เลือกที่จะเดินไปทำหน้าที่ของตนในฐานะผู้ควบคุมเรือต่อ

"ใช่แล้ว จากนี้ฉันและเอ็ดวินจะเป็นอาจารย์สอนการใช้ชีวิตในฐานะผู้วิเศษของนาย หลังจากนี้ให้เรียกฉันว่าอาจารย์ซะ" หล่อนส่งยิ้มมาให้ ใบหน้าของเธอดูดีมากจนทำให้เขาเผลอใจลอยไปช่วงหนึ่ง

ทุกอย่างมันเร็วเกินไปจริงๆ เขาอยากรู้เหลือเกินว่าอะไรที่ทำให้พวกเขาดูแลอัลเลย์ดีขนาดนี้ยิ่งมันน่าสงสัยมากขึ้นก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกว้าวุ่นในอกนี้ทรมานยิ่งกว่าเดิม

แต่เขาก็ยังคงไม่ไว้ใจพวกเขาอยู่ดี ปริศนามากมายมีแต่จะมีปมมาเพิ่ม อัลเลย์ไม่ทราบเจตนาแท้จริงของพวกเขา ในฐานะคนที่เติบโตมาในสังคมที่ถึงจะไม่โหดร้ายแต่ก็มีการหลอกลวงให้เห็นบ่อย เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อใจคนแปลกหน้าง่ายๆ

 

โครกกก

 

"..." น่าอายจริงๆ แต่นี่ก็เลยเวลาปกติที่จะได้กินอาหารมานานแล้ว มิลาด้าหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ ส่วนเขาก็ยังคงพยายามควบคุมสีหน้าถึงแม้จะรู้ว่าปลายหูของตนจะแดงก็ตาม

"ไหนๆ แล้วก็ไปหาอาหารกินกันเถอะ กำลังจะได้เวลาพอดี" หญิงสาวอารมณ์ขันคนนี้เดินไปบริเวณดาดฟ้าเรือที่เต็มไปด้วยกลุ่มคนที่กำลังซ่อมแซมกันอย่างขะมักเขม้น หากแต่บางคนก็ลากบางอย่างที่ดูเหมือนอวนจับปลาขนาดเล็กมา

"ถึงจะมีอาหารแห้งเก็บอยู่ แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่รู้เวลาที่แน่นอนจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องประหยัดเท่าที่ทำได้"

"พวกนั้นมันกินได้ด้วยหรือครับ" แค่โดนแสงอาทิตย์พวกมันก็ถูกเผากลายเป็นฝุ่นในอากาศหายปลิวไปไหนก็ไม่รู้แล้ว

"เราไม่ได้กินพวกนั้น เรากินอย่างอื่น" อัลเลย์มอบตามสายตาของมิลาด้า 

ทะเลนี้ก็สมชื่อทะเลดำจริงๆ นอกจากผิวน้ำสีดำสนิทเหมือนหมึกก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรข้างใต้มันได้อีก

แต่ตัวเขาก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง สิ่งมีชีวิตสีขาวจำนวนมาก มันทำให้นึกถึงฝูงปลาซาร์ดีนในสารคดีที่เคยดูแต่นี่เป็นเวอร์ชันที่มีขนาดเล็กกว่านิดหน่อย มีสีขาวสะอาดตาสวยงาม น่าจะเป็นปลาสวยงามในตู้มากกว่าเอาไว้กิน

พวกเขาโยนตาข่ายอวนขนาดเล็กลงไป พยายามที่จับฝูงปลาสีขาวข้างล่าง บ้างก็ถือฉมวกเอาไว้ในมือ ยืนรอปลาขนาดใหญ่ที่เข้ามาใกล้เรือลำนี้

คนพวกนี้สมกับเป็นผู้วิเศษ คนเหล่านั้นร่วมกันดึงอวนขึ้นมาโดยไม่ใช้เครื่องมือทุ่นแรงอื่นใดนอกจากแรงกายจากคนไม่กี่คน

"นั้นคือปลาซาร์ดีน ถูกเรียกอีกชื่อว่าธิดาของท้องทะเล เนื่องจากมีสายเลือดจากนางฟ้าแห่งพายุและมรสุมดังนั้นจึงไม่ถูกปนเปื้อนโดยง่าย" ดวงตาสีน้ำเงินนั้นสะท้อนภาพตรงหน้า

"เชื่อว่ามันเป็นผู้นำทางวิญญาณของผู้คนไปสู่ปรโลก เป็นสิ่งมีชีวิตไม่กี่ชนิดที่เราค้นพบว่าไม่ติดเชื้อปนเปื้อนและกินได้ในทะเลดำ"

"ติดเชื้อปนเปื้อน?" เธอถอนสายตาจากภาพตรงหน้า แล้วจึงหันกลับมามองตาของอัลเลย์ เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในดวงตานั้น

"ปนเปื้อนความเสื่อมทราม ตอนนี้เราก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร แต่ที่ทะเลสีดำเป็นเช่นนี้ก็เพราะการติดเชื้อจากความเสื่อมทรามเช่นกัน" เธอมองไปยังผืนทะเลสนิทอย่างเงียบงัน

"มันสามารถติดต่อกันได้ง่ายโดยเฉพาะคนธรรมดา แม้แต่ผู้วิเศษก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน เมื่อติดแล้วก็จะกลายเป็นแค่สัตว์ประหลาด ไม่ถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดิมอีกต่อไป" หล่อนหลับตาลงปล่อยให้เส้นผมปลิวไปตามสายลม

บางทีเธออาจจะมีความหลังบางอย่าง...

อัลเลย์จ้องมองปลาซาร์ดีนบนพื้นอย่างว่างเปล่า และพวกจ้องมองเขากลับ น่าแปลกที่พวกมันชื่อซาร์ดีนจริงๆ นี้คือปลาซาร์ดีนเวอร์ชันโลกแห่งความฝันซินะ แถมยังมีสายเลือดของนางฟ้าอีกด้วย

มันดูเหมือนกับที่ทีเร็กซ์เป็นบรรพบุรุษของไก่ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ขนาดนั้น...

มิลาด้าพาอัลเลย์เดินไปยังส่วนต่างๆ ของเรือ เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามผ่าไส้ปลา ผสมเกลือ และตากแห้งพวกมันเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา

"พอผ่านไปสักพักเราอาจจะเจอพวกมันได้น้อยลง..." เธอมองไปยังปลาพวกนั้นด้วยความคิดลึกซึ้งที่ไม่อาจเข้าใจได้ เขาเลือกที่จะมองอย่างเงียบๆ ก่อนจะพบฮาโมนี่ที่กำลังผ่าไส้ปลาอยู่

???

"เดี๋ยวก่อน ฮาโมนี่?"

"อัลเลย์?" เธอทำตัวร้อนรนเหมือนคนที่แอบเก็บขนมหวานไว้คนเดียวโดยไม่บอกเพื่อน เนื่องจากท้องที่โตทำให้ลุกขึ้นลำบาก เขาจึงได้แต่เข้าไปห้ามไม่ให้เธอลุกขึ้นมา

"เพราะดูเหมือนการขังไว้เฉยๆ จะดูสิ้นเปลืองทรัพยากรเกินไปหน่อย ฉันก็เลยไปขอเอ็ดวินให้หล่อนออกมาทำงานน่ะ อีกอย่างดูเหมือนทั้งคู่จะสนิทกันใช่มั้ย"

มิลาด้าจ้องมองฮาโมนี่ด้วยรอยยิ้ม เสียแต่ว่ารอยยิ้มของเธอไม่ได้ไปถึงดวงตา หล่อนจ้องมองฮาโมนี่ด้วยสายตาล้ำลึก

"อัลเลย์นายเป็นไงบ้าง พอฉันตื่นมาก็มีคนพาฉันมาทำงานเฉยเลย..." ดูเหมือนเธอจะมีความสุขดี มากกว่าตอนที่ได้แต่อยู่ในกรงขัง ตอนนี้ใบหน้าของเธอถึงจะเลอะไปด้วยสิ่งสกปรกและกลิ่นคาวปลา แต่ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส แล้วว่าเมื่อสังเกตเห็นมิลาด้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กลายเป็นนกกระจอกเทศขี้กลัวทันที

"ฮาโมนี่ ตอนนี้ผมเป็นผู้วิเศษแล้ว" ฮาโมนี่จ้องมองอัลเลย์ด้วยความตกตะลึง เธอตกใจมากจนเผลอปล่อยปลาออกจากมือให้ไหลไปตามการขยับของเรือ

"ว่าไงนะ!? ผู้วิเศษ!?" เขาสัมผัสได้ถึงสายตาของฮาโมนี่ที่เปลี่ยนไป มันเป็นความหวาดกลัวและความยำเกรง เธอหดหัวลงกว่าเดิมไม่กล้าสบตาตนเหมือนเดิมอีกต่อไป

"ฮาโมนี่..."

"ไปกันเถอะ อัลเลย์" มิลาด้าพูดขึ้นขัดจังหวะ พร้อมส่งรอยยิ้มเหมือนปกติ

"ถ้าอยู่ต่อก็มีแต่จะขัดขวางการทำงานของคนอื่นเปล่าๆ ไปกันเถอะอัลเลย์" มิลาด้าหันหลังจากไปอย่างไม่ลังเลดูเหมือนเธอจะมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อฮาโมนี่ ดูเหมือนฮาโมนี่จะมีความสุขดีในตอนนี้ แต่ดูเหมือนหล่อนจะมีอาการหวาดกลัวผู้วิเศษเป็นพิเศษ เมื่อเห็นความกลัวของเธอที่มีต่อตน จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากได้แต่พูดประโยคจากลาสองสามคำแล้วเดินตามมิลาด้าต่อไป

ในส่วนของไกด์ที่หายไป อัลเลย์ได้แต่ทำใจปล่อยวางเท่านั้น อย่างน้อยตนก็คิดว่าเด็กคนนี้น่าจะเอาตัวรอดได้ดีกว่าตัวเขาเองมากโข

ฮาโมนี่ใช้ดวงตาสีเขียวจ้องมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่กำลังเดินจากไป ก่อนจะก้มมองไปยังท้องของเธออยู่นาน จนเมื่อโดนคนรอบตัวจ้องมองกดดันมาถึงได้ทำหน้าที่ผ่าไส้ปลาของตัวเองต่อไป