Chereads / กลายเป็นเจ้าของกุญแจในโลกแห่งฝันร้าย / Chapter 4 - บทที่ 4 ความโกลาหล[ปรับปรุง]

Chapter 4 - บทที่ 4 ความโกลาหล[ปรับปรุง]

จะบอกว่าค่ำคืนแห่งฝันร้ายได้มาเยือนเรือแอสตราลิสแล้วก็ไม่ผิดนัก เสียงความวุ่นวาย เสียงร้องโหยหวน และเสียงคร่ำครวญของสัตว์ร้ายดังขึ้น

อัลเลย์ทำได้เพียงนอนฟังเสียงพวกนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกค่ำคืน คำกระซิบล่อลวงดังแว่วมาจากข้างนอกพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดที่คุ้นเคย

เป็นทะเลที่ไม่มีทางหวนกลับ เหลือเพียงความเดียวดายและความตายท่ามกลางผืนน้ำ

จุดหมายปลายทางของเรือลำนี้มีอยู่จริงงั้นเหรอ ดินแดนแห่งความหวังที่เทพชี้นำ ทำไมเทพถึงได้นำทางคนเหล่านี้ให้เดินทางข้ามทะเลดำไปยังสถานที่เหล่านั้น

อัลเลย์ครุ่นคิดอย่างว้าวุ่นใจทั้งคืน พลิกตัวซ้ายขวาก็ยังคงเชื่อมโยงไม่ถูก ดูเหมือนจะมีตัวแปรบางอย่างที่ถูกละเลยไป

ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่เอ็ดวินและมิลาด้า แต่มีฮาโมนี่และอัลเลย์ด้วย ฮาโมนี่อยู่ที่นี่เพราะความ'จำเป็น'บางอย่าง หล่อนอาจมีความสามารถหรือพลังบางอย่างที่มีประโยชน์ เอ็ดวินถึงได้เลือกนำเธอขึ้นเรือมา ส่วนอัลเลย์ที่เป็นสมาชิกชนเผ่าที่บูชาเทพองค์อื่น...

จริงๆ ร่างนี้เป็นคนชนเผ่าจริงหรือไม่ก็ไม่อาจทราบ ทำได้แค่จับนู้นจับนี้มาคาดเดาเท่านั้น

ถึงเป็นสมาชิกชนเผ่าจริงๆ แต่ตนบูชาเทพอะไรก็ยังไม่รู้เลย คนที่รู้ก็น่าจะเป็นเด็กชายข้างๆ ที่ยังนอนหลับอยู่ เขาเคยพยายามถามเรื่องเทพมาก่อนแต่ก็ได้รับมาแค่สายตาจ้องมองร้อนแรงตอบกลับเท่านั้น

ตั้งแต่มาอยู่บนเรือนี้ ตัวเขาก็เริ่มคิดว่าถ้าตนกลับโลกเก่าไปได้ บางทีการเปลี่ยนอาชีพเป็นนักสืบก็อาจจะตอบโจทย์บางอย่างต่อความเบื่อหน่ายของเขา ถึงเป็นเชฟจะน่าสนใจแต่นักสืบก็ดูน่าสนุก

ถ้าสามารถออกจากกรงนี้ได้ก็คงดี

อาการแสบร้อนในตานั้นทำให้ช่วงนี้ชายหนุ่มมีอารมณ์หงุดหงิดง่ายเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่สัตว์ประหลาดพวกนั้นปรากฏตัวมา ความรู้สึกไม่สบายตัวนี้ก็ต้องเกิดขึ้นด้วยทุกครั้ง

ได้แต่แอบคิดว่าบางทีดวงตาของเขาอาจมีความพิเศษบางอย่างก็เป็นได้ อย่างเช่นการเตือนภัย?

โครม!

เรือลำนี้ถูกกระแทกอย่างหนักด้วยสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ แต่โชคยังดีที่เรือแอสตราลิสถูกสร้างมาให้มีความแข็งแรงเพียงพอ เพราะไม่อย่างงั้นก็คงจะล่มไปตั้งนานแล้ว

เป็นเวลา16นับจากเมื่อเรือออกจากฝั่ง คิดคร่าวๆ ก็เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้วที่อัลเลย์โผล่มาที่นี่ บางครั้งเขาก็เพิกเฉยต่อสายตาแปลกๆ ของฮาโมนี่ ก่อนจะลุกมาออกกำลังกายเล่นเพื่อคลายความเบื่อหน่าย

ออกกำลังกายช่วงไหล่พร้อมฟังเสียงการต่อสู้ข้างบนไปด้วย ส่วนภายในใจกลับไร้อารมณ์อื่นๆ มีแค่ความเบื่อหน่ายและความเฉียบแหลมภายในดวงตา

เสียงกระซิบเป็นจังหวะพวกนั้นดูเหมือนกำลังเรียกหาอะไรบางอย่าง ซึ่งสิ่งที่ถูกเรียกมาก็ไม่น่าจะใช่สิ่งดีๆ แน่นอน อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณแปลกประหลาดหรืออะไรบางที่เขาไม่เข้าใจ จึงทำให้อัลเลย์สรุปแบบนั้น

หากแต่ในค่ำคืนที่แสนวุ่นวายนี้ ก็คงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ทำเพียงหลับตาลงแล้วเข้าสู่การนอนหลับที่ไร้ฝัน

 

"ผมคิดว่าดูเหมือนสัตว์ประหลาดพวกนั้นจะกำลังพยายามเรียกอะไรบางอย่างมาอยู่นะครับ"

วันนี้เลียมก็ยังคมเนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพรเหม็นฉุน เพียงแค่มีผ้าพันแผลน้อยลงแต่กลับมีบาดแผลปรากฏมากขึ้น

จริงๆ ทรัพยากรก็ดูเหมือนลดลงไปมากเลยนี้

เลียมหน้าซีด ดวงตาสั่นไหว มือที่จับถาดก็สั่นจนน่ากลัว แต่สุดท้ายก็รีบทำหน้าที่ของตัวเองแล้วรีบหนีออกไปจากห้องขังอย่างรวดเร็ว

"เฮ้ ผมพูดจริงนะ" ภายในพื้นที่เหลือเพียงแค่ความเงียบ ทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว แต่ฮาโมนี่และไกด์กลับยังคงนอนหลับอย่างสงบสุข

ไม่แน่ใจว่ามันคือผมกระทบบางอย่างของสัตว์ประหลาดหรือสัญญาณบ่งบอกภัยในอนาคต อัลเลย์ที่เบื่อหน่ายจึงทำเพียงเคาะพื้นไม้เป็นจังหวะเพื่อแก้เบื่อเท่านั้น

เสื้อที่ใส่มานานก็เริ่มมอบความรู้สึกระคายเคืองให้ ทำให้ใบหนาของเขาบู้บี้อย่างน่ารัก

อะไรน่ะ

ดูเหมือนจะมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวในอากาศ จะบอกว่ามองเห็นก็ไม่ใช่ ไม่มีตัวตนอยู่ก็ไม่เชิง เป็นการขยับบางอย่างเล็กๆ ในอากาศจำนวนมากภายในห้องขัง

เมื่อตั้งใจเพ่งสมาธิมองดู เขาพบว่า 'สิ่งนี้' ดูเหมือนจะอยู่ในทุกที่ทุกอณูของอากาศ แม้แต่ทุกลมหายใจของอัลเลย์ก็มีเจ้าสิ่งนี้อยู่

มันคืออะไร?

ลองขยับมือขึ้นมาไล่ตามเส้นทางการเคลื่อนไหวของสิ่งนั้น สร้างแบบจำลองง่ายๆ ขึ้นมาในหัว มันนั้นคดเคี้ยวและหมุนวนอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีความรู้สึกว่าถูกสัมผัส ไม่สามารถมองเห็นได้

"แต่รู้ว่ามีตัวตนอยู่ มันคือนิวม่า" เสียงเล็กๆ ของเด็กชายที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้น ไกด์ตื่นขึ้นแล้ว ตอนนี้เด็กชายก็ยังคงนั่งอยู่ที่มุมนั้นเช่นเคย ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือไม่แต่รู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นจะมีประกายบางอย่าง

"นิวม่า คือจุดกำเนิดของทุกอย่าง และเป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตมีความสามารถวิเศษแล้ววิวัฒนาการจนกลายเป็นผู้ทรงอำนาจของห่วงโซ่อาหาร"

"สัมผัสไม่ได้ มองไม่เห็น แต่รู้ว่ามันมีตัวตนอยู่ คุณจะกลายเป็นผู้วิเศษ"

"ฉัน? หมายถึงฉันกำลังจะกลายเป็นผู้วิเศษ" ถ้าให้อธิบายความรู้สึกก็คงเหมือนการกินลูกอมแสนหวานแต่มีรสเปรี้ยวแฝงอยู่

เด็กชายคนนั้นดูเหมือนจะเป็นคนประเภทชอบพูดบางอย่างให้เราอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะทิ้งประเด็นนั้นไปอย่างไม่ไยดี ตอนนี้ถึงได้เลือกที่จะเมินเฉยอัลเลย์แล้วนั่งอยู่ในมุมประจำเช่นเคย

"นิสัยเสียกันจริงๆ" แต่ว่าการกลายเป็นผู้วิเศษก็เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ

อัลเลย์นั่งคิดคาดเดาอยู่อย่างนั้นจนฟ้ามืดแต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย

 

ค่ำคืนนี้ยังคงเต็มไปด้วยเสียงกระซิบเช่นเคย แต่ครั้งนี้สัญชาตญาณของเขาบอกว่าจะเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น เสียงของการต่อสู้และความวุ่นวายต่างๆ รอบตัวไม่ได้ทำให้อัลเลย์รู้สึกเจ็บปวดจากอาการแสบร้อนในดวงตาและตามร่างกายน้อยลง

ครืด....

เสียงบางสิ่งลากไปบนพื้นไม้ดังขึ้นเป็นจังหวะสั้นๆ ขัดขวางความคิดของเขาให้โฟกัสไปกับสิ่งนั้น

มันคือกล่องหนังขนาดกลางที่อยู่ภายในห้องนี้มาตลอด ถึงมันจะถูกนำออกไปข้างนอกบ้างเป็นบางครั้งในช่วงนี้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็เอามันกลับมาเก็บไว้ที่นี่อยู่ดี

จู่ๆ ความรู้แสบร้อนที่คุ้นชินก็ไล่ขึ้นมาตามเส้นเลือดตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงหัว จุดสีทองปรากฏในดวงตาเป็นแสงเล็กๆ โดยที่อัลเลย์ไม่รู้ตัว

ไม่ดี!!!

มีบางอย่างกำลังมา!!

"ฮาโมนี่!! ตื่นเดี๋ยวนี้!!" ฮาโมนี่ยังคงหลับอยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

"เฮ้!! คนข้างนอก มีบางอย่างอยู่ในนี้!! สัตว์ประหลาด!"

โครม!!

แรงกระแทกครั้งนี้ทำให้อัลเลย์ล้มลงกับพื้น ดูเหมือนข้างนอกจะวุ่นวายเกินกว่าจะสนใจพวกเราที่อยู่ข้างใน

บ้าเอ๊ย ถ้ายังปล่อยไว้แบบนี้ได้ตายกันหมดแน่

น้ำสีดำค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากกล่องนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าจะลด แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าสิ่งนี้อันตรายขนาดไหน

ถึงจะพยายามเขย่า ประตูเหล็กตรงหน้าก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ถึงจะส่งเสียงดังแค่ไหนก็ไร้ผล ความแสบร้อนตามร่างกายทำให้เขาเจ็บปวดมากจนไม่สนใจเล็บที่ฉีกขาด

"ใจเย็นๆ" ความอบอุ่นถูกส่งผ่านมายังมือของอัลเลย์ความแสบร้อนนั้นก็หายไป ไกด์มองไปยังจุดสีทองในดวงตาของอัลเลย์ที่ค่อยๆ หายไป ก่อนจะส่งยิ้มมาให้

"ลองนึกให้ดีสิว่าคุณต้องการอะไร" เมื่อความเจ็บปวดหายไป อัลเลย์ก็พยายามกู้คืนสติที่หายไปของตัวเอง

เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนว่าตนถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัวแบบควบคุมไม่ได้ น้ำสีดำไหลผ่านและซึมไปในรองเท้าอย่างช้าๆ

"อัลเลย์คุณอยากออกจากห้องขังนี้เหรอ" ไกด์ถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้ากำลังหลงคิดถึงเรื่องอื่น

"ใช่ แต่ฉันเปิดมันไม่ได้..." ผมเป็นแค่อดีตพนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ เท่านั้น ยิ่งกลายเป็นเด็กแบบนี้ก็ยิ่งไร้เรี่ยวแรงยิ่งกว่าเดิม

"ทำไมถึงไม่ได้ละ ในเมื่ออัลเลย์มีกุญแจอยู่นี้"

"กุญแจ?" ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเย็นจากพื้นผิวโลหะในภายในมือ มันเป็นกุญแจทองเหลืองที่พบได้ทั่วไปในยุคเก่า ตรงส่วนบริเวณที่จับก็โค้งงอมีข้อต่อราวกับกระดูก

นี้มัน ตั้งแต่เมื่อไหร่?

กุญแจดอกนี้ปรากฏขึ้นมาในมืออย่างปริศนา เขามั่นใจว่าไม่เคยมีสิ่งนี้ในมือมาก่อน

เรื่องนี้สามารถคิดทีหลังได้ แต่ตอนนี้ต้องรีบหนีก่อน ฮาโมนี่นอนอยู่บนพื้นปล่อยให้น้ำสีดำพวกนั้นไหลผ่านใบหน้าและร่างกายของเธอโดยไม่ขัดขืน

แอ๊ด

ประตูกรงขังถูกเปิดออกโดยตัวนักโทษ อัลเลย์เดินผ่านน้ำสีดำที่เพิ่มระดับเกือบถึงข้อเท้า รีบเปิดประตูกรงขังของฮาโมนี่ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเธอขึ้นมา

หล่อนเป็นหญิงสาวท้องแก่จึงไม่แปลกที่จะหนักกว่าที่คิด เขาทำได้เพียงพยายามเดินแบบเร่งรีบแต่ก็นุ่มนวลเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อสุขภาพของเธอ ส่วนไกด์ก็เดินตามหลังมาอย่างใกล้ชิด

อัลเลย์ไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นตนถึงได้หวาดกลัวน้ำสีดำมากขนาดนั้น มองดูน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ มันนั้นดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่เขาก็ยังคงเชื่อในสัญชาตญาณแรกของตนอยู่ดี

กึกๆ

ดูเหมือนประตูบานนี้ก็ล็อกเช่นกัน เขาเลือกที่จะลองใช้กุญแจทองเหลืองนี้ไขอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าถึงรูกุญแจจะแตกต่างกับกุญแจมากแค่ไหน แต่กุญแจดอกนี้ก็ยังสามารถกดเข้าไปละไขมันได้

มันคือกุญแจวิเศษที่สามารถไขอะไรก็ได้รึเปล่านะ

นี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพื้นที่นอกห้องขัง เสียงของวุ่นวายนั้นชัดเจนยิ่งกว่าเดิม แต่สิ่งแรกที่ได้เห็นเมื่อมองไปข้างหน้ากลับทำให้อัลเลย์ตกตะลึง

มีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่บนเพดานขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า3เมตร ทำให้เขาสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนดาดฟ้าได้

สัตว์ร้ายขนาดใหญ่ตัวนั้นพยายามที่จะปีนขึ้นมาบนเรือ มันนั้นใหญ่พอๆ กับรถบรรทุกในโลกเก่า มันมีคอที่ยาวและมีใบหน้าของหญิงสาว แขนคล้ายมนุษย์แต่มีพังผืดระหว่างนิ้ว มันใช้แขนที่จำนวนไม่ต่ำกว่า20ข้างและแต่ละข้างมีขนาดหนากว่าตัวอัลเลย์ในการปีนขึ้นมาบนเรือ พร้อมจับร่างของมนุษย์ที่ไร้ท่อนบน ส่วนท่อนล้างก็ถูกบีบจนกระดูกหักยับยู่ยี่ทำให้เลือดและเครื่องในไหลทะลักออกมาเหมือนกับน้ำผลไม้

สัตว์ประหลาดมีปีกสีสันสวยงามสดใส กรงเล็บที่แหลมคม ความกว้างของปีกรวมกันไม่ต่ำกว่า2เมตร ดวงตาสีแดงสามคู่จ้องมองหาเหยื่อจากท้องฟ้าข้างบน ส่งเสียงร้องแหลมสูงโหยหวน

สิ่งมีชีวิตคล้ายสัตว์ครึ่งบนครึ่งน้ำที่มีขนาดประมาณมนุษย์ที่ถูกเลียมผ่าครึ่งเป็นสองส่วน และอีกหลายชนิดที่ดูแปลกประหลาดเกิดกว่าจะบรรยาย

มิลาด้าก็อยู่ตรงนั้นเช่นกัน ดาบยาวสองเล่มของหล่อนฉีกกระชากแขน3ข้างของสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนั้นออกมา น้ำพุเลือดทำให้ตัวเธอถูกย้อมไปด้วยสีแดงตั้งแต่หัวจรดเท้า

เอ็ดวินถือดาบสีแดงขนาดใหญ่ที่อัลเลย์ไม่เคยเห็นมาก่อน มันนั้นน่าจะยาวถึง1.5เมตร ก่อนจะตวัดดาบขึ้นไปบนฟ้า ส่งคลื่นแสงสีแดงแปลกประหลาดที่ทำให้อากาศรอบแสงนั้นฉีกออกจากกัน มันสามารถตัดหัวนกพวกนั้นได้4ตัวในรวดเดียว แต่พริบตาบนท้องฟ้าก็ถูกเติมด้วยนกตัวใหม่ที่แออัดเบียดเสียดเข้ามา

เรือลำนี้ถูกย้อมเป็นสีแดง เลือดและเศษเนื้อบางส่วนยังตกลงมาบนใบหน้าของเขา เปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงทั่วบริเวณ

"ออกมาได้ยังไง!!" เป็นมิลาด้าที่เห็นตัวอัลเลย์ก่อน เธอตกใจมากจนเกือบถูกมือข้างหนึ่งของสัตว์ร้ายตบอัดไปกับพื้น

"เป็นไปได้ยังไง" เอ็ดวินมองอัลเลย์ด้วยความไม่เชื่อ จะเป็นไปได้ยังไงที่สิ่งประดิษฐ์ของลาซาลาซผิดพลาด

"มีน้ำสีดำในห้อง!! มันมาจากกล่อง อึก..." อัลเลย์พยายามที่จะตะโกนบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องจนเกือบสำลักเลือดที่ตกลงมาจากท้องฟ้า

สีหน้าของเอ็ดวินมืดลงทันที หันไปพูดบางอย่างกับมิลาด้าก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องขังที่อัลเลย์พึ่งจากมา

สถานการณ์ถือว่าวุ่นวายขั้นสุด ชั้นนี้เต็มไปด้วยปืนใหญ่จำนวนมากและกระสุนในถังที่ยังโหลดเข้าปืนใหญ่ไม่เสร็จ พื้นที่เต็มไปด้วยอวัยวะและศพของสิ่งมีชีวิตต่างๆ บ้างก็เป็นศพของลูกเรือที่รู้สึกคุ้นหน้ากองอยู่ร่วมกัน

อัลเลย์ฝืนทนความรู้สึกแย่ๆ ในท้อง แล้วพยายามพาร่างของฮาโมนี่ไปหลบในพื้นที่ที่ดูปลอดภัยที่สุดในขณะนี้

มันเป็นมุมหนึ่งของเรือที่ดูน่าจะปลอดภัย อยู่ห่างจากบริเวณที่มีการต่อสู้ที่สุด เมื่อนำฮาโมนี่มานอนบนพื้นแบบดีๆ อัลเลย์หันมองดูรอบตัวก่อนจะหยิบดาบจากศพขึ้นมา เนื่องจากน้ำหนักที่มากจึงทำให้รู้สึกใช้งานลำบาก การจะยกมันขึ้นมาก็ต้องใช้แรงมาก

เขาจึงตัดสินใจหาสิ่งอื่นบนพื้น ก่อนจะได้มีดสั้นหน้าตาธรรมดามา1เล่มเพื่อใช้ป้องกันตัวเอง ไกด์อยู่ข้างๆ ฮาโมนี่ เหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง มองไปยังทะเลสีดำที่มีเพียงแค่ความมืดมิดและว่างเปล่า

การสั่นไหวของเรือทำให้เขาต้องรีบหาที่จับเพื่อช่วยในการพยุงตัวเอง สิ่งมีชีวิตคล้ายกบขนาดเท่าลูกบอลจำนวนมากเข้ามาในตัวเรือผ่านช่องรอยแตกของไม้ ถึงจะไม่เคยต่อสู้แต่ก็ใช่ว่าจะเรียนรู้ไม่ได้

อัลเลย์มองเลียมที่สามารถเหยียบพวกมันจนตายได้ด้วยเท้าเปล่า และคิดในใจว่าบางครั้งเราก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง...

พวกมันเหมือนกบแต่ยังมีส่วนหางเหลืออยู่คล้ายกบที่ยังโตไม่เต็มที่ พวกมันยังแปร่งแสงสีม่วงอ่อนๆ ออกมาจากตัว

นี้มันคล้ายกับแสงบนตัวคนที่หมดสติก่อนหน้านี้... อัลเลย์แกว่งมีดสั้นไปตามสัญชาตญาณของตน ราวกับว่าเขาสามารถรู้ล่วงหน้าว่าเจ้ากบพวกนี้จะโจมตีมาแบบไหน

ผิวของมันนุ่มยืดหยุ่นเมื่อถูกเสียบด้วยดาบสั้นก็สามารถแทงทะลุได้อย่างง่ายดาย แต่เนื่องจากจำนวนที่มากเกินไป ชายหนุ่มจึงได้แต่ถอยร่นไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงตรงจุดที่ฮาโมนี่นอนอยู่

เขาแยกไม่ออกจริงๆ ว่ามันคือเหงื่อหรือเลือดที่ไหลบนใบหน้า เพียงไม่นานร่างกายของอัลเลย์ก็ถูกย้อมด้วยสีแดง แม้แต่ฮาโมนี่ที่นอนหลับอยู่ก็ยังมีเลือดเปื้อนอยู่ตามร่างกาย

ได้เพียงแค่พยายามทรงตัวและฆ่าสัตว์ประหลาดพวกนี้ต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น

"รับไป!!" อัลเลย์ก้าวเท้าซ้ายถอยหลบบางอย่างที่ถูกปามาปักบนพื้น

มันคือดาบของมิลาด้า เมื่อมองไปยังหล่อนก็เห็นเพียงแค่เงาเลือนรางเนื่องจากการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของเธอ เขาคว้าดาบเล่มนั้นแล้วตวัดไปข้างหน้า ทำให้กบสามตัวถูกผ่าครึ่งปล่อยให้เครื่องในและสิ่งสกปรกของพวกมันไหลลงมากองบนพื้น

เป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ดาบเล่มนี้เบามากและถือได้ถนัดมือ อัลเลย์ใช้ดาบเล่มนี้จัดการกบจำนวนหนึ่ง กล้ามเนื้อบนตัวของเขาไม่ว่าจะแขน ไหล่ เอว และขาต่างก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

แต่ถึงอย่างนั้นสัตว์ประหลาดพวกนี้ก็ยังคงมาเพิ่มอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

วี้ดดดดด

เสียงกรีดร้องของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์บนดาดฟ้าดังขึ้น คอของมันมีรูขนาดใหญ่อยู่ราวกับเนื้อตรงนั้นถูกลบออกไป ทำให้หัวที่มีน้ำหนักมากเกินไปรับไม่ไหวของมันฉีกขาดและตกลงมากระแทกเรือจนเกือบพลิกคว่ำ ส่วนร่างที่เหลือก็ยกตัวขึ้นปล่อยน้ำพุสีแดงขึ้นไปในอากาศก่อนจะหงายหลังตกไปในทะเล ทำให้เกิดคลื่นสูงขนาดใหญ่ซัดน้ำทะเลสีดำขึ้นมาบนเรือ

เป็นฝีมือของเอ็ดวิน ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือดเหมือนคนอื่นๆ เมื่อรวมกับหน้าตาของเขาแล้วก็ยิ่งทำให้ดูเหมือนปีศาจที่จุติมาจากนรกมากขึ้น

แสงสว่างเกิดขึ้นที่เส้นขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่ นี้เป็นครั้งแรกของฉันในโลกนี้เลยที่ได้เห็นดวงอาทิตย์...

สัตว์ประหลาดพวกนั้นเหมือนกับแวมไพร์ที่โดนแสงอาทิตย์แผดเผา พวกมันพยายามที่จะกลับลงไปในท้องทะเลสีดำ บางตัวที่หนีไม่พ้นก็ถูกเผาไหม้เป็นเถ้าธุลี

อัลเลย์มองเหตุการณ์มหัศจรรย์ตรงหน้าด้วยความสนใจ เหมือนกับไฟที่ลามไปในทุ่งน้ำมัน เลือด เนื้อ และกองกระดูกมากมายของสัตว์ประหลาดบนเรือถูกเผาไหม้หายไปเกือบหมด แม้แต่เลือดที่อยู่บนตัวเขาก็ด้วยเช่นกัน

ไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด มีแค่ความรู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด