เอี๊ยด ครืดด
กลิ่นไม้อับชื้นและกลิ่นเค็มของทะเล สัมผัสของผ้าเนื้อหยาบที่เคลื่อนผ่านผิวหนัง ความรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกายจากการนอนบนพื้นไม้แข็งๆ เป็นสิ่งที่ต้องพบเจอทุกคืนในความฝัน หากแต่ในครั้งนี้อัลเลย์กลับสัมผัสได้มากกว่านั้น ทุกอย่างดูเหมือนจริงมากกว่าแค่จินตนาการ เสียงเพลงที่เคยแต่ได้ยินแว่วมาตลอดก็ชัดเจนเหมือนมีคนมาร้องเพลงอยู่ข้างๆ
"อืม…"
ทั้งความรู้สึกเจ็บคอเล็กน้อยจากอาการขาดน้ำ ความปวดเมื่อยตามร่างกาย และอาการระคายเคืองเล็กน้อยตามผิวหนัง ต่างก็ดูสมจริงเกินกว่าจะเป็นแค่ความฝัน
การหายใจของอัลเลย์เปลี่ยนไป เมื่อลองขยับปลายนิ้วก็รู้สึกได้ถึงความชาเล็กน้อยที่กล้ามเนื้อ ดูเหมือนว่าครั้งนี้ตัวเขาจะสามารถควบคุมร่างกายได้แล้ว
อัลเลย์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัว ถึงจะแสบตาเล็กน้อยแต่ก็พอจะทนไหว
มันคือห้องที่ทำจากไม้เกือบทั้งหมด เป็นพื้นที่ขนาดไม่ใหญ่ออกจะคับแคบเสียด้วยซ้ำถูกปิดมิดชิดอย่างดีไม่มีแม้แต่หน้าต่างสักบาน มีแค่ไฟจากตะเกียงน้ำมันที่ให้แสงสว่างกับห้องนี้ อัลเลย์สำรวจซี่กรงสีดำที่ถูกวาดเขียนด้วยอักขระแปลกประหลาดบางอย่าง พื้นที่โดยรอบช่างวังเวงจนน่าขนลุก ภายในพื้นที่นี้นอกจากห้องขัง2ห้องก็มีชั้นวางกล่องหนังขนาดกลาง4กล่องอยู่เท่านั้น
นี้...เราอยู่ในห้องขัง?
สูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้งเป็นการสงบสติ เศษดินเล็กน้อยที่ตกลงมาตามจังหวะการเดินของคนข้างบนทำให้รู้ว่ายังมีมนุษย์คนอื่นข้างนอก อัลเลย์ค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงผนัง เมื่อได้ลองสำรวจตัวเองก็ถึงได้รู้ว่าตัวเขาตอนนี้นั้นมีส่วนสูงกับร่างกายที่เล็กลงผิดปกติ
แต่ดูเหมือนจะเป็นร่างกายเดิม
อัลเลย์มองปลายนิ้วที่เคยมีหนังด้านหนาในโลกก่อนแต่ตอนนี้กลับนุ่มนิ่มเหมือนมือเด็ก ก่อนใช้มันลูบไปตามรอยปักบนชุดจนถึงรอยแผลเป็นด้านหลังคอ
แผลไฟไหม้ที่ด้านหลังคอก็ยังคงอยู่ เส้นผมก็ยังมีสีน้ำตาลเข้มเหมือนเดิม ทุกตำแหน่งของไฝบนร่างกายก็เช่นกัน ดูเหมือนนี้จะยังคงเป็นร่างกายเก่าของตนแต่แค่มีอายุที่ลดลงไปเท่านั้น
เมื่อคิดว่าตัวเขาที่อีกไม่กี่ปีจะกลายเป็นคุณอาอายุ30ปี ได้หดตัวเองกลับไปร่างเด็กอายุ14-15ปีอีกครั้ง คล้ายการ์ตูนเรื่องยอดนักสืบสักเรื่องก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีรสขมในปาก
นี้ฉันได้หลุดเข้ามาในโลกแห่งความฝันจริงๆ
อัลเลย์ขมวดคิ้ว นึกถึงนักทำนายปริศนาที่ปรากฏภายในความทรงจำก่อนตายของเขา ดูเหมือนบุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่นำตนเข้ามาในโลกนี้เป็นแน่
ไพ่ความฝันที่แปลกประหลาดนั้นก็ด้วย โดยปกติจะไม่มีไพ่ใบนั้นในสำหรับไพ่ปกติ ดูเหมือนว่านั้นจะเป็นสำหรับไพ่พิเศษที่แตกต่างจากไพ่ทาโรต์ทั่วไป นั้นยิ่งทำให้เดายากขึ้นไปอีกว่าไพ่อีก6ใบที่เหลือจะเป็นอะไร
คนคนนั้นมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ที่ต้องพาตนมายังโลกนี้
เรือขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้เกือบทั้งลำแบบนี้หาได้ยากมากในยุคเดิม ถ้าหากจะเจอก็คงจะไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์กันหมด
ตอนนี้อัลเลย์อยู่ภายในห้องขังของเรือที่ประตูถูกล๊อกเอาไว้อย่างดี ถึงจะให้คิดว่าใช้คุมขังนักโทษแต่เมื่อดูอักขระแปลกประหลาดที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยพวกนี้ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าตัวตนในโลกนี้ของตนคืออะไร
"นอนเถิดนะ… เจ้ากระต่ายในความฝัน…"
ห้องขังตรงข้ามอัลเลย์มีหญิงสาวท้องแก่คนหนึ่งกำลังร้องเพลงอยู่ เป็นเสียงที่มักได้ยินแว่วมาทุกครั้งในความฝันและมักเลือนรางเกินกว่าจะเข้าใจ หากแต่ในคราวนี้อัลเลย์สามารถเข้าใจเนื้อหาของเพลงได้
ภาษาอังกฤษ? ถึงสำเนียงจะฟังยากหน่อยก็แต่พอเข้าใจความหมาย
ดูเหมือนมันเป็นเพลงกล่อมเด็กนี้เอง ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยหลังจากที่ติดค้างในใจมานาน
เมื่อเปรียบเทียบกับอัลเลย์ที่สวมชุดคลุมยาวพอดีตัวสีดำ แขนเสื้อยาวและติดกระดุมจนถึงคอ ปลายชุดที่ยาวถึงข้อเท้าด้านหน้าถูกตัดจนถึงช่วงน่องซ้ายขวา มีลวดลายมากมายปักตามเสื้อให้ดูหรูหราเกินกว่าจะเป็นชุดนักโทษ ภายใต้ชุดก็ยังมีกางเกงฮาเร็มสีขาวกับรองเท้าผ้าเรียบๆ ใส่อีกที
แถมเขายังมีผ้าคลุมอีกผืนเพื่อให้ความอบอุ่นอีกต่างหาก
แต่หญิงสาวท้องแก่ตรงหน้ากลับได้ใส่แค่เสื้อที่ทำจากผ้าเนื้อเลวที่ปัจจุบันน่าจะเอาไว้ทำกระสอบมากกว่าใช้สวมใส่
หล่อนมีใบหน้าที่ถึงจะดูธรรมดาแต่ก็สะอาดน่ามอง ปากนิดจมูกหน่อยคิ้วและดวงตาดูใจดี มีผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นลอนยาวและตาสีเขียวเข้ม เสียงของเธอไม่ได้ใสแบบนกไนติงเกลแต่ก็อบอุ่นเหมือนออกมาจากหัวใจ
เมื่อละความสนใจจากเธอก็ถึงได้สังเกตว่าเขายังมีเพื่อนร่วมห้องด้วยอีกคน
เป็นเด็กชายอายุราว7-8ขวบ ผิวคล้ำ ผมสีดำมัดเป็นผมเปียยาวถึงเอว ดวงตาสีดำ สวมเสื้อผ้าคล้ายอัลเลย์แต่ดูเรียบง่ายกว่า หน้าตาดูดีจนอดเผลอมองไม่ได้ดวงตากลมโตมีริมฝีปากสุขภาพดีและไขมันเด็กตรงแก้ม
หากแต่ดวงตากลับมืดมิดราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดเหมือนกับสามารถมองเห็นความจริงทุกอย่างของโลกได้ด้วยดวงตาคู่นั้น
เด็กคนนั้นนั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมห้อง คอยจ้องมองอัลเลย์ตลอดตั้งแต่ก่อนตื่น เจ้าตัวดูเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อยที่เขาสามารถมองเห็นเด็กชายได้ แต่ก็ยังคงนั่งนิ่งเงียบอยู่ตรงมุมนั้นไม่ขยับร่างกายไปไหน
"สวัสดี คุณต้องการผ้าผืนนี้มั้ย" เสียงอัลเลย์แหบแห้งเล็กน้อย
ถึงจะดูเหมือนเป็นตอนกลางวันแต่ก็หนาวเหน็บอย่างน่าประหลาด ดังนั้นเมื่อเทียบกับอัลเลย์และเด็กชายอีกคนที่สวมชุดแขนขายาวครบชุด หญิงสาวห้องตรงข้ามที่สวมชุดเดรสสั้นๆ แถมยังท้องแก่อยู่ดูเหมือนจะต้องการสิ่งนี้มากกว่า
เธอดูแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะส่งรอยยิ้มมาให้
"ฉันมีเชื้อสายของยักษ์อยู่ดังนั้นมันไม่ได้หนาวขนาดนั้น แต่ว่าคุณนอนเก่งมากเลยนะ ฉันไม่เคยเห็นใครนอนเยอะขนาดนั้นมาก่อนเลย"
"…" ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกได้ว่าสายตาจ้องมองของเด็กชายข้างๆ ดูเหมือนจะร้อนแรงมากขึ้น
รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลจากหน้าผากอย่างผิดธรรมชาติในวันที่หนาวเหน็บ ถ้าหากสายตาสามารถแทงคนตายได้ตอนนี้ศพของเขาอาจมีรูพรุนไม่ต่ำกว่า30แผล
"คุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าพอจะรู้รึเปล่าว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน" เธอมึนงงสักพักก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้บางอย่าง บางทีหล่อนอาจจะพึ่งนึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มคนนี้หลับตลอดตั้งแต่ขึ้นเรือมา
"โอ้ ตอนนี้เราอยู่บนเรือแอสตราลิส กำลังเดินทางข้ามทะเลดำไปยังดินแดนแห่งความหวังตามการชี้นำของเทพแห่งนิรันดร์"
"เทพแห่งนิรันดร์…"
"ดูเหมือนคุณจะเป็นชนกลุ่มน้อยที่นับถือเทพองค์อื่นซินะ น่าเสียดายที่เราอาจจะไม่สามารถไปเยี่ยมชมโบสถ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนได้อีก ชนกลุ่มน้อยที่ได้ชมที่นั่นต่างก็หันมาศรัทธาในเทพแห่งนิรันดร์เนื่องจากความดีงามของพระองค์"
"ผมไม่เคยไปที่ไหนเลยนอกหมู่บ้าน คุณพอจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทพแห่งนิรันดร์ให้ฟังได้มั้ย"
เธอยิ้มอย่างมีความสุขและตอบรับด้วยความยินดี ดูเหมือนการอยู่ในห้องกับคนที่นอนโคม่าและเด็กที่ไม่เข้าสังคมนั้นจะทำให้หล่อนเหงาไม่น้อย ไม่นานเสียงสนทนาของเราสองคนดังขึ้นไปทั่วห้อง
เรือลำนี้ที่ชื่อว่าแอสตราลิสเป็นเรือรบที่ใหญ่ที่สุดของธัมไฮล์ ทั้งเธอและคนอื่นๆ มาจากอาณาจักรธัมไฮล์ที่กำลังเกิดสงครามอยู่ แล้วออกจากฝั่งมาได้8วันแล้ว
ผู้คนที่นี่เห็นการหลับ8วันเป็นเรื่องปกติรึเปล่านะ แต่ร่างกายนี้ก็ดูเหมือนไม่มีอาการเจ็บป่วยใดๆ อีกนอกจากความปวดเมื่อยตามร่างกายเพราะนอนบนพื้นไม้แข็งๆ
โลกใบนี้อันตรายมากกว่าที่อัลเลย์คิดไว้ นี้คือโลกของทวยเทพ ยักษ์ สัตว์ประหลาด และสิ่งมีชีวิตลึกลับ การต่อสู้และสงครามของผู้ทรงอำนาจเหล่านั้นต่างส่งผลต่อมนุษย์ตัวเล็กจำนวนมาก
นั้นจึงเป็นเหตุผลที่เผ่าพันธุ์ที่อ่อนแออย่างมนุษย์มีความรู้สึกพึ่งพาและรักในเทพที่คอยปกป้องพวกเขา เทพแห่งนิรันดร์ที่ธัมไฮล์นับถือ จ้าวแห่งพันธสัญญา เทพพระอาทิตย์ มารดาแห่งชีวิตของเอลฟ์ นั้นคือสิ่งมีชีวิตระดับเทพที่เธอรู้จัก
หรือบางทีบุคคลปริศนาคนนั้นอาจจะเป็นเทพจริงๆ แต่ว่าเขาคือใครล่ะ เทพแห่งนิรันดร์? เทพแห่งพันธสัญญา?
เทพแห่งนิรันดร์นั้นเป็นผู้นำแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์มาแต่ช้านาน ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแออย่างมนุษย์สามารถอยู่รอดมาได้นานจนถึงตอนนี้ เธอยังเล่าอีกว่าในอดีตอันนานมาแล้วนั้นมนุษย์เคยถูกปกครองโดยยักษ์มาก่อน แต่สุดท้ายมนุษย์ก็ถูกปลดปล่อยโดยเทพแห่งนิรันดร์จากการกดขี่ของยักษ์
"จ้าวแห่งพันธสัญญา ท่านเป็นเทพไม่กี่องค์ที่อยู่ฝั่งมนุษย์"
นอกนั้นก็เล่าเกี่ยวกับทุ่งหญ้าวินด์ฮาร์ฟที่เปล่งประกายราวกับทองคำเมื่อต้องแสงอาทิตย์เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของทางโบสถ์ ถนนที่ยกสูงขึ้นเรื่อยๆ บิดเป็นเกลียวและลอยอยู่บนอากาศโดยไร้แรงโน้มถ่วงที่ปลายสุดนั้นมีโบสถ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนตั้งอยู่ชื่อว่าบันไดสู่วัลฮัลล่า หรือน้ำตกกลางอาณาจักรธัมไฮล์ที่ตกย้อนขึ้นสู่ท้องฟ้าทำตัวตรงข้ามกับแรงโน้มถ่วง
แล้วจึงเล่าถึงทะเลดำทะเลที่มีน้ำสีดำสนิทจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง มีตำนานเล่าว่าเป็นทะเลแห่งความตายที่ผู้ที่ล่องเรือไปจะไม่มีทางได้กลับมาอีก
"น่าอัศจรรย์มาก" นี้เป็นโลกแห่งเวทมนตร์ที่แหกทุกกฎฟิสิกส์ซินะ
แต่ตอนนี้พวกเราก็กำลังอยู่ในทะเลดำไม่ใช่เหรอ?
"ฉันต้องขอโทษด้วยนะ ในฐานะคนชนชั้นต่ำเลยรู้เรื่องอยู่แค่เล็กน้อย เรื่องพวกนี้ส่วนใหญ่คนอื่นๆ ก็เล่าต่อกันมาอีกที อย่างโบสถ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนฉันก็ไม่เคยไปที่นั่นเหมือนกัน" เธอจิกเล็บลงไปที่พื้นไม้ซ้ำๆ ด้วยความกังวล
"คนชนชั้นต่ำ…นั้นสินะเราพูดคุยกันมานานแต่ก็ยังไม่รู้จักชื่อกันเลย ผมชื่อ อัลเลย์ อาโดนิส ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรหรือครับ"
เธอทำหน้าตกตะลึง ก่อนที่หญิงสาวจะส่งยิ้มอย่างสบายใจราวกับสิ่งที่พูดออกมาเป็นเรื่องปกติทั่วไป รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกแดนดิไลออนในฤดูใบไม้ผลิ
ทั้งที่รอยยิ้มงดงามขนาดนั้นแต่ในใจของอัลเลย์กลับเริ่มรู้สึกไม่ดี
"ฉันชื่อ ฮาโมนี่ เป็นทาสของท่านผู้วิเศษเอ็ดวิน"
ในยุคที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีพลังระดับเทพและมนุษย์ที่ต้องการการคุ้มครองและความแข็งแกร่ง ในยุคที่ดูล้าหลังและปลาใหญ่กินปลาเล็กแบบนี้การมีทาสคงไม่ใช่แปลกอะไรในโลกแบบนี้
"ชนเผ่าของคุณคงจะอยู่ห่างไกลการรับรู้ซินะ ฉันแปลกใจตั้งแต่ที่คุณพูดสุภาพกับฉันแล้ว ไหนจะเรื่องที่มีนามสกุลอีก คงจะเป็นคนที่มีฐานะในเผ่าใช่มั้ยล่ะ"
"ผู้คนทั่วไปไม่มีนามสกุลกันเหรอครับ" อัลเลย์รู้สึกว่าเธอเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น เริ่มเอนตัวสบายๆ และพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน
"ใช่แล้วมีแค่ผู้คนจากตระกูลชนชั้นสูงกับเหล่าผู้วิเศษที่จะได้รับนามสกุลจากเทพแห่งพันธสัญญา"
"ทาสที่มีเชื้อสายยักษ์แบบฉันไม่มีทางมีนามสกุลได้หรอก ถึงจะให้กำเนิดบุตรของผู้วิเศษก็ตาม"
"ฮาโมนี่ผู้วิเศษคืออะไร" อัลเลย์เลือกที่จะสวมบทบาทเป็นคนในชนเผ่าที่อยู่ในส่วนลึกของภูเขาผู้ห่างไกลความเจริญและข่าวสาร พร้อมทำเป็นไม่สนใจสายตาที่เหมือนกำลังมองคนพิการทางสมอง
"ชนเผ่าของคุณอยู่รอดมาได้ยังไง…"
จากคำบอกเล่าของฮาโมนี่ ผู้วิเศษ คือผู้ที่ถูกเลือกโดยเทพเจ้าทำให้มีพลังวิเศษเป็นผู้ใช้มนตรา มีพลังแกร่งกล้าเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไป ไม่ใช่ทุกคนที่โชคดีพอที่จะกลายเป็นผู้วิเศษได้ หล่อนเล่าว่าไม่ว่าจะการตื่นของพลังลำดับชั้นที่สูงกว่าหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับผู้วิเศษนั้นต่างก็เป็นความลับ เป็นข่าวสารที่มีการควบคุมจากส่วนกลาง
ชนเผ่าต่างๆ ที่ไม่ต้องการพึ่งพิงอาณาจักร เพื่อที่จะสามารถอยู่รอดในโลกที่โหดร้ายนี้ ชนเผ่าเหล่านั้นจะต้องมีผู้วิเศษระดับสูงเป็นผู้คุ้มครอง ดังนั้นการที่อัลเลย์ไม่รู้จักผู้วิเศษจึงเป็นเรื่องน่าแปลกเหมือนกับมนุษย์ที่ไม่รู้จักโทรศัพท์มือถือ
"ในเรือลำนี้ท่านเอ็ดวินเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นฉันที่เป็นทาสของท่านเอ็ดวินจึงไม่มีใครมารังแก"
ดูจากการแต่งกายและที่อยู่ของฮาโมนี่ก็รู้ได้ว่าดูเหมือนเอ็ดวินจะไม่ได้มีความรักต่อเธอมากมายขนาดนั้น ถึงได้มาลงเอยอยู่ในห้องขังตรงข้ามอัลเลย์ และเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะไม่รู้ที่มาของตนว่าเด็กชายที่มาจากชนเผ่าที่ห่างไกลความเจริญนี้ถูกนำขึ้นเรือมาทำไม
จนสุดท้ายนอกจากการบ่นเรื่องธรรมดาๆ ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก ทั้งสองพูดคุยกันเรื่อยๆ จนมีเสียงกลอนดังจากประตู
ฮาโมนี่กับอัลเลย์เงียบลงก่อนเจ้าของเสียงจะปรากฏตัวให้พวกเขาเห็น
เป็นแค่ผู้หญิงที่มีหน้าตาสวยงามมีผมสีบลอนด์อ่อนตาสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าเรียวมีคิ้วที่เรียวตรงดูเคร่งขรึมและเที่ยงตรง
การแต่งกายของเธอนั้นดูดีกว่าฮาโมนี่มาก เป็นชุดผ้าฝ้ายแขนสั้นสีขาวติดกระดุมถึงอก และใส่กางเกงยาวสีดำรัดรูปอวดรูปร่างอันสวยงาม ตรงเอวก็มีดาบยาวดูดี2เล่มพร้อมปลอกดาบสีดำเรียบหรูเหน็บอยู่
หล่อนเลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นอัลเลย์ตื่นอยู่ เธอเหลือบมองไปที่ฮาโมนี่ก่อนจะเดินไปนำกล่องตามเป้าหมายแล้วกลับไปอย่างสงบ
อัลเลย์ขมวดคิ้ว ทำไมคนในเรือลำนี้ถึงเอากล่องพวกนั้นมาไว้ในห้องที่ใช้ขังนักโทษกัน อย่าว่าแต่การเก็บสัมภาระต่างๆ ไว้ที่นี่เลย แค่ขนาดของห้องก็ไม่สมเหตุผลแล้ว
"ท่านนั้นคือท่าน มิลาด้า กูล จากตระกูลกูล ฉันไม่เคยได้ยินตระกูลนี้มาก่อน แต่เธอมาที่นี่ก่อนที่เรือจะออก แล้วมอบจดหมายบางอย่างให้ท่านเอ็ดวินแล้วดูเหมือนพวกเขาจะมีปากเสียงกัน…" ฮาโมนี่เป็นผู้หญิงที่รักในการเมาท์มอยจริงๆ
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครปรากฏมาอีก นอกจากชายที่มีหนวดเคราและหัวที่ใสสะอาด พร้อมกล้ามที่น่าจะสามารถบีบแตงโมแตกได้ ฮาโมนี่บอกว่าชายคนนั้นมีชื่อว่าเลียม เป็นคนที่มักจะนำอาหารมาให้เธอเสมอ เขาเคยเป็นคนสามัญชนมาก่อนก่อนที่จะกลายเป็นผู้วิเศษในภายหลัง
น่าแปลกที่ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาที่นี่ต่างก็ไม่พูดอะไรเลย ทุกคนเลือกที่จะทำภารกิจของตัวเองและจากไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่เลียมก็เลือกที่จะจ้องมองพื้นตลอดเวลาไม่แม้แต่จะมองมาที่พวกเราด้วยซ้ำ
จิตใจที่แจ่มใสนำมาซึ่งสมาธิและการมองเห็นอันยอดเยี่ยม อัลเลย์ยังแอบเห็นมือที่อ่อนนุ่มของมิลาด้าที่ดูไม่เหมือนผู้ที่เคยฝึกฝนในวิชาดาบ แม้แต่เลียมก็ยังมีผิวที่ใสและสวยงามจนหญิงสาวในโลกก่อนต้องอิจฉา
บางทีการเป็นผู้วิเศษอาจทำให้มีผิวสวย
สิ่งที่เลียมนำมาให้อัลเลย์นั้นเป็นอาหารที่ประกอบด้วยขนมปังแข็ง ซุปข้าวโอ๊ต ผลไม้เล็กสีแดงมีขนาดประมาณผลส้มชื่อซินนาจาจำนวน2ผล และน้ำ1ลิตร ซึ่งดูดีมากจนน่าประหลาดใจเมื่อเทียบกับฮาโมนี่ที่มีเพียงขนมปังแข็ง ซินนาจา1ผล และน้ำ1แก้ว
ดูเหมือนตัวตนนี้จะพอมีสถานะบางอย่างบนเรือลำนี้
"ทำไมคุณถึงได้อาหารเยอะกว่าฉันล่ะ" อัลเลย์ที่ทนสายตาร้อนแรงจากอีกฝั่งไม่ไหวจึงได้มอบซินนาจา1ลูกให้กับเธอ โดยคิดในใจว่าถือเป็นค่าตอบแทนต่อข้อมูลที่หล่อนมอบให้ทั้งวัน
น่าแปลกที่ดูเหมือนตลอดที่ผ่านมานอกจากตัวอัลเลย์แล้ว คนอื่นๆ ไม่ว่าจะฮาโมนี่ มิลาด้า หรือเลียมต่างก็ดูเหมือนจะไม่สามารถมองเห็นเด็กชายที่อยู่ข้างเขาได้ ราวกับว่าเด็กคนนี้ไม่เคยมีตัวตนอยู่
เด็กคนนี้ไม่ทำอะไรเลยนอกจากนั่งอยู่ตรงมุมนั้น ใช้ดวงตาสีดำจ้องมองมาที่เขา
ผู้วิเศษ? หรืออมนุษย์?
ถ้าดูแค่การแต่งกายกับการที่เลือกมาอยู่ในกรงขังนี้ก็พอจะทำให้เดาได้ว่าเด็กคนนี้และตัวตนในโลกนี้ของเขามีความสัมพันธ์บางอย่างกัน
แต่อัลเลย์ก็เลือกที่จะเมินเฉยเรื่องนี้ไป ขอแค่รู้ว่าเราทั้งคู่ไม่ได้เป็นศัตรูกันก็พอ
เนื่องจากเลียมนำอาหารมาแค่ในส่วนของอัลเลย์และฮาโมนี่ ดังนั้นเขาได้จึงเลือกที่จะหลบซ่อนขนมปังและน้ำบางส่วนจากสายตาของฮาโมนี่ เพื่อหวังผูกมิตรกับเด็กชายคนนี้
ในห้องนี้ไม่มีหน้าต่างแม้แต่ประตูก็ยังปิดมิดชิด ทำให้อัลเลย์ไม่ทราบว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว แต่ด้วยอาการง่วงนอนที่เข้าครอบงำจนทำให้ดวงตาหนักอึ้งก็ทำให้เขาตัดสินที่จะหามุมที่สบายที่สุดเพื่อนอนหลับ
จะได้นอนหลับสบายๆ ซะที
ก็ในเมื่อเข้ามาอยู่ในโลกฝันร้ายแล้ว ดังนั้นก็หมายความว่าสุขภาพการนอนที่ดีของฉันก็จะกลับคืนมาใช่มั้ย? หากถามว่ากิจกรรมใดที่อัลเลย์ชอบที่สุดนอกจากการอ่านหนังสือ เขาก็คงต้องตอบว่าคือการนอนหลับเนี่ยแหละ
ปล่อยจิตใจและสติให้ล่องลอยไปในความมืด ท่ามกลางเสียงคลื่นและเพลงกล่อมเด็กภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน จนในเวลาใดที่ไม่อาจทราบเด็กชายคนนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าหาอัลเลย์ ก่อนจะจัดแจงผ้าห่มให้มิดชิดเพื่อป้องกันความหนาวเย็นยามค่ำคืน
นี้คือผ้าที่อุตส่าห์ทำมาเพื่อคุณ จะไปมอบให้ทาสแบบนั้นได้ยังไง
ใช้ดวงตาสีดำไร้ก้นบึ้งจ้องมองไปยังชายหนุ่มผู้หลงไปในห้วงแห่งนิทรา ก่อนจะมองไปยังขนมปังและน้ำที่เหลืออยู่
"…"
เป็นการนอนหลับสบายที่ไม่ได้มีมาแสนนาน ถึงพื้นจะแข็งและหนาวไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่ฝันอะไรอีก
เมื่อดูฮาโมนี่ที่แข็งแรงและพูดมากเช่นเคย เปรียบเทียบกับตัวเองที่ถึงจะมีผ้าคลุมก็ต้องนอนตัวสั่นทั้งคืน
ดูเหมือนยักษ์จะทนหนาวได้ดีจริงๆ
มองไปยังขนมปังและน้ำที่หายไปจนหมด ดูเหมือนเด็กคนนั้นก็จำเป็นต้องกินข้าวอยู่เหมือนกัน