Chereads / The key of terrer / Chapter 2 - บทที่ 2 เปลือกที่ไร้วิญญาณ

Chapter 2 - บทที่ 2 เปลือกที่ไร้วิญญาณ

บทที่ 2 เปลือกที่ไร้วิญญาณ

 

"นายเป็นคนที่ขี้สงสัยที่สุดที่ฉันเคยเจอมาเลย"

"ว้าว ขอบคุณมากครับ"

"แล้วยังชอบทำให้คนอื่นโมโหด้วย"

เป็นเวลาหลายวันแล้วตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมา ตลอดที่ผ่านมานอกจากการนอน กิน พูดคุย ก็ไม่มีกิจกรรมสันทนาการแบบไหนอีก ขนาดฮาโมนี่ก็ยังคิดเรื่องพูดคุยใหม่ๆ ไม่ค่อยออก

นอกจากเลียมและมาลินด้าที่ลงที่นี่ ก็มีคนแปลกหน้า2-3คนที่ลงมาเพื่อจัดการสิ่งต่างๆ ข้างล่าง สัมภาระที่เคยเห็นตอนนี้ก็หายไปจนหมด ปล่อยให้เหลือแค่พวกเขาสามคนในห้องขังที่ว่างเปล่า

ถ้าให้พูดถึงเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดก็คงจะเป็นวิธีขับถ่ายที่น่าหดหู่ แต่ฮาโมนี่ดูเหมือนจะชินชากับอะไรพวกนี้แล้ว

"ความจริงมันก็น่าแปลกใช่มั้ยที่พวกเราได้ขึ้นเรือลำนี้ " หล่อนถอนหายใจพลางใช้มือลูบไปบนท้องของตัวเอง

"ถ้าไปถึงกินแดนแห่งความหวังนั้นได้ เด็กคนนี้ก็คงจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้แน่นอน"

"ถ้าไปถึง ผมก็คงจะเปิดร้านอาหารของตัวเอง" เรียกว่าเป็นความฝันในวัยเด็ก ถ้าหากไม่ได้เป็นพนักงานออฟฟิศอัลเลย์ก็คงจะมาเป็นเชฟแทน

เห็นอย่างงี้แต่เขาก็ทำอาหารอร่อยพอสมควรนะ อาจจะเพราะตอนเด็กถูกแมรี่พาไปเป็นลูกมือบ่อยๆ

"ฮิๆ ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรต่อ คิดว่าขอแค่เด็กคนนี้มีความสุขก็พอแล้ว" ฮาโมนี่เหม่อมองไปแสงเล็กน้อยที่ลอดผ่านช่องว่างข้างบน

"ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็จะให้ชื่อ เอ็ดเวิร์ด ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็จะให้ชื่อ ลิลลี่"

"ฮาโมนี่เนี่ยตั้งชื่อเก่งจังเลยนะ "

ต้องบอกว่าพวกเราทั้งคู่ก็พอจะรู้อยู่ว่าการเดินทางในครั้งนี้ไม่น่าราบรื่นตลอดรอดฝั่งแน่นอน และปลายทางที่จะไปก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน รู้แค่ว่าเรือลำนี้ยังคงแล่นไปข้างหน้าเพียงเท่านั้น

และก็เหมือนเช่นเคยที่ภายในห้องมืดมิด คงจะมีแค่แสงจันทร์เล็กๆ ที่เล็ดลอดสาดส่องผ่านลงมา อัลเลย์มองฮาโมนี่ที่กำลังร้องเพลงกล่อมเด็กก่อนจะพยายามนอนหลับบนพื้นไม้แข็งๆ

ในทุกเช้าของวันใหม่ที่ต้องตื่นมาพร้อมความปวดเมื่อยตามร่างกาย โชคดีที่ดูเหมือนตั้งแต่เข้ามาในโลกนี้จะหลับสนิทจนไม่เคยฝันเห็นอะไรอีกเลย

"ฉันเห็นภาพตอนที่นอนหลับด้วยล่ะ"

"หืม!? คุณฝันเห็นอะไรเหรอครับ" อัลเลย์ที่เกือบสำลักน้ำ มองฮาโมนี่ด้วยความสนใจ

"ฝัน มันคือความฝันสินะ มันเหมือนจริงจนน่าตกใจ"

"ฉัน...เห็นลูกของฉันในความฝัน"

"พวกเขาเป็นเด็กแฝด แล้วพวกเราก็กำลังทำมงกุฎดอกไม้ด้วยกันที่ทุ่งหญ้าสีเขียว..."

วันนี้ฮาโมนี่ดูแปลกไปกว่าวันอื่น หล่อนที่มีอาการเพ้อและสะลึมสะลือ พูดถึงแต่ความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สำหรับบางคน ความฝันเหนือจริงพวกนั้นก็เป็นเหมือนความสุขเหนือจินตนาการในชีวิตจริง แต่ถึงอย่างนั้นการหลงใหลและเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริงก็มีแค่ความเจ็บปวดเท่านั้นที่รออยู่ปลายทาง

"นั้นสิ เด็กคู่นี้ยังไม่ได้เกิดมาเลย"

"ฮาโมนี่ชอบร้องเพลงมากเลยใช่มั้ย" อัลเลย์ทำหน้าครุ่นคิด พยายามชักนำเธอไปหัวข้ออื่น

"มันก็แค่เพลงง่ายๆ ที่เด็กๆ ชอบร้องกัน ถ้าฉันได้ร้องเพลงของโบสถ์สักครั้งก็คงดี"

"เพลงที่ใช้ร้องในเทศกาลใช่มั้ยครับ?"

"จริงๆ เพลงที่ร้องในโบสถ์ของธัมไฮล์..."

เหมือนอีกวันที่ผ่านไปอย่างเงียบสงบ กลางคืนกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอเลือกที่จะรีบนอนเร็วกว่าปกติ เพื่อที่จะได้ฝันดีอีกครั้ง

หากแต่คืนนี้ อัลเลย์ได้ตื่นขึ้นมาเนื่องจากความผิดปกติบางอย่าง

ทำไมถึงได้รู้สึกอึดอัดขนาดนี้ แสบร้อนที่ตาไปหมด อัลเลย์สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาในยามดึก เวลานี้น่าจะเลยเที่ยงคืนมาได้ไม่นาน ตลอดที่ผ่านมาเขานอนหลับลึกดีตลอดแต่วันนี้กลับมีความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะทนนอนต่อไหว

"มีอะไรเข้าตามั้ยเนี่ย"

"สวัสดี ทำไมนอนดึกจัง" และไม่ลืมที่จะพูดทักทายเด็กน้อยข้างตัวทั้งที่กำลังใช้มือขยี้ตาไปด้วย

"..." จ้อง

อัลเลย์ลองที่จะพยายามสื่อสารกับเด็กชายข้างๆ แต่ก็ได้รับมาแค่สายตาสงบนิ่งและความเงียบตอบกลับเช่นเคย

เวลานี้เป็นเวลากลางคืน ฮาโมนี่ก็หลับไปแล้ว ภายในพื้นที่นี้มีแค่เสียงจากดาดฟ้าเรือแว่วๆ 

หากแต่วันนี้ดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกประหลาด เขารู้สึกได้ถึงเสียงกระซิบแว่วมาตามสายลม และน่าแปลกที่เรือลำนี้นิ่งสนิทจนน่าตกใจ เหมือนกับกำลังอยู่ในทะเลที่ไร้คลื่น

มีบางอย่างผิดปกติ 

"ฮาโมนี่...ตื่นเร็ว" เด็กหนุ่มพยายามส่งเสียงเรียกหญิงสาวให้ตื่น แต่ดูเหมือนเธอจะนอนหลับลึกเกินไปจนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

อาการแสบร้อนในดวงตาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คิ้วขมวดจนเกือบมัดเป็นปม เหงื่อจำนวนหนึ่งไหลไปตามกรอบใบหน้าทั้งที่เป็นคืนที่หนาวเหน็บ เขาพยายามส่งเสียงปลุกฮาโมนี่ แต่เรียกได้ไม่นานก็รีบหุบปากอย่างรวดเร็ว

เรือขยับ....

เรือที่หยุดนิ่งสนิทเมื่อกี้ค่อยๆ ขยับขึ้นลงตามจังหวะของคลื่นน้ำเหมือนกับมีตัวอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างใต้

เสียงโซ่และไม้เสียดสีดังมาแผ่วเบา

ทุกอย่างเงียบงันจนน่าหวาดกลัว มีแค่เสียงการเต้นของหัวใจที่ยังคงดังก้องอยู่ภายในหู

อาการหูแว่วที่ไม่ได้มีมานานก็กลับมาอีกครั้ง เป็นเสียงหวีดหวิวเหมือนเสียงลมเล็กๆ

ไม่ใช่

มันคือเสียงผิวปาก

มันดังมาจากข้างนอก ไล่ตามผนังเรือมาเรื่อยๆ ค่อยๆ ค่อยๆ จนมาถึงจุดที่อัลเลย์อยู่

เสียงนั้นเล็กและแผ่วเบาคล้ายเสียงแมลงปอขยับปีก มันขยับตัว และค่อยเข้ามาทีละนิดค่อยๆ เข้าหา จนมีเพียงแค่ผนังไม้ของเรือที่กั้นอัลเลย์กับสิ่งนั้น จนสุดท้ายมันก็เคลื่อนไหวผ่านผนังข้างเขาไป 

เฮือก!!

เมื่อรอให้เสียงเงียบไปสักพัก ถึงจะได้รู้ตัวว่าเผลอกลั้นหายใจนานจนหน้าเขียว

เกือบตายเพราะหายใจไม่ออกแล้วมั้ยละ

แต่ว่านั้นคือตัวอะไร?

ตึง!!

จังหวะเดียวกับที่กำลังคิดถึงเรื่องสัตว์ร้ายตัวนั้น ก็ได้มีบางอย่างชนเข้ากับเรืออย่างจัง จนทำให้ตัวเรือโยกเอียงอย่างน่าหวาดเสียว 

เหมือนกับการสับสวิตช์ จากที่เงียบสงบก็กลายเป็นเสียงดังที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เสียงฝีเท้า การวิ่งแบบเร่งรีบ และแสงไฟสีแดงที่ลอดผ่านจากดาดฟ้า ทำให้รู้ว่ามีสมรภูมิเกิดขึ้นข้างบนดาดฟ้าเรือ

"ฮาโมนี่!" เศษฝุ่นและทรายจำนวนหนึ่งตกมาทุกครั้งตามจังหวะก้าวเดิน แม้จะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายแบบนี้ขึ้น หล่อนก็ยังคงนอนหลับอยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

ถึงจะหลับลึกแต่ก็ไม่ควรลึกขนาดนี้!!

"อั๊ก!" แรงกระแทกจากตัวเรือทำให้อัลเลย์กระแทกซี่กรงอย่างแรง ยังดีที่เอามืออุดปากทัน ไม่อย่างนั้นอาหารที่กินมาก็อาจจะได้ออกมาดูโลก

เสียงโหวกเหวกโวยวาย แสงไฟ และแรงสั่นสะเทือน สามารถบ่งบอกได้ถึงระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ข้างนอก

อัลเลย์ทำได้เพียงแค่ลากร่างกายอ่อนแรงของตัวเองลงไปนอนราบกับพื้น

แล้วจะให้ทำอะไรได้ละ ก็ตอนนี้เขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดานี้

อัลเลย์สังเกตเห็นบางอย่างที่ซึมลงมาจากพื้นด้านบน ก่อนจะไม่แปลกใจเลยที่พบว่ามันคือเลือด เป็นความตายที่อยู่ใกล้นิดเดียว

"ถ้าการตายในโลกก่อนทำให้มาอยู่ที่นี้ แล้วถ้าตายในโลกนี้จะได้ไปที่ไหน..."

"ไม่ได้ไปที่ไหนทั้งนั้น"

"แค่กลับสู่อ้อมกอดของความฝัน" เสียงเล็กๆ ของเด็กผู้ชายที่ยังไม่แตกหนุ่มดังขึ้น อัลเลย์นิ่งไป3วินาทีก็จะหันไปมองต้นเสียง เด็กชายที่นั่งเงียบตลอดจนตอนนี้ก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ใช้ดวงตาสีดำจ้องมองอย่างร้อนแรงเหมือนเดิม แต่คราวนี้กลับพูดตอบกลับคำถามของเขาเป็นครั้งแรก

"สวัสดี ผมชื่อ อัลเลย์ อาโดนิส ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไร" อัลเลย์ดันตัวเองขึ้นพิงผนังอีกครั้ง เพิกเฉยต่อความวุ่นวายและเหตุการณ์ต่างๆ เด็กคนนี้แปลกประหลาดมาตั้งแต่แรก แม้จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก็ยังคงสามารถนั่งนิ่งอย่างสงบได้

"...ไกด์" ไกด์?

"สวัสดีไกด์ พอจะเล่าเรื่องอ้อมกอดของความฝันที่พูดเมื่อกี้ได้หรือเปล่า" อัลเลย์เพิกเฉยต่อความเจ็บปวดเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ

"..." ครั้งนี้หนุ่มน้อยไกด์เลือกที่จะหันหลังใส่อัลเลย์แล้วหยุดนิ่งไป เขาพยายามพูดคุยด้วยสักพักถึงได้รู้ว่าเด็กคนนั้นได้ชิงหลับไปก่อนไปแล้ว

"..." อัลเลย์

"เหลือเชื่อจริงๆ..." ช่างเป็นเด็กที่เย็นชาอะไรเช่นนี้ ในเวลาแบบนี้ก็ยังจะนอนได้อีก กลายเป็นตอนนี้ก็มีแค่เขาซินะที่ยังคงตื่นอยู่ในห้องนี้

เวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ เสียงข้างบนถึงค่อยหายไป แม้ยังมีเสียงพูดคุยอยู่บ้างแต่แรงสั่นสะเทือนก็หยุดไปแล้ว

สุดท้ายก็ได้แค่ถอนหายใจ อาการอึดอัดและแสบร้อนที่ดวงตาก็หายไปแล้ว คนอื่นก็หลับกันหมด ถึงได้ตัดสินใจนอนหลับอย่างสงบ 

"เมื่อคืนนอนไม่หลับใช่มั้ยคะ"

"เป็นผมต่างหากที่ต้องถามว่าเมื่อคืนคุณนอนหลับอย่างนั้นไปได้ยังไง"

"หืม? มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืนด้วยเหรอ"

ดูเหมือนเธอจะไม่รู้ตัวจริงๆ วันนี้ดูเหมือนฮาโมนี่จะมีความสุขมากกว่าปกติ แถมยังเล่าเรื่องความฝันเกี่ยวกับลูกของเธออีกครั้ง

ความรู้สึกแปลกๆ ก่อตัวในใจอัลเลย์อีกครั้ง มันทำให้นึกถึงความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง

จากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นตลอดที่ผ่านมา ทำให้อัลเลย์ตระหนักได้ถึงบางอย่าง ดูเหมือนสัญชาตญาณของเขาจะมีความแม่นยำต่อสิ่งแปลกประหลาด ถึงจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ก็ไม่สามารถปล่อยวางใจได้

ฮาโมนี่เป็นคนแรกที่ได้พบเจอและพูดคุยกับอัลเลย์ในโลกนี้ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากให้เธอเป็นอะไรไป

สุดท้ายหล่อนก็ยังคงหัวเราะสนุกสนานได้เหมือนเดิม ร้องเพลง และเล่าเรื่องราวต่างๆ

วันนี้เลียมก็ยังคงเอาอาหารลงมาให้เช่นเคย เพียงแค่คุณลุงนักกล้ามคนนี้มีร่างกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพรและผ้าพันแผลทั่วไป อาหารของอัลเลย์วันนี้มีปริมาณลดลงแต่ก็ยังเยอะกว่าฮาโมนี่มากโข

เขาพบว่าเธอนั้นแทบจะไม่เคี้ยวขนมปังเลยด้วยซ้ำ น่าหวาดเสียวว่าจะติดคอเข้าสักวัน ส่วนไกด์ก็ยังคงนอนหลับไม่ตื่น บางทีเด็กคนนี้อาจจะไม่ใช่คนเย็นชาที่ไม่เข้าสังคม แต่แค่การพูดนั้นใช้พลังงานมากจนต้องนอนเก็บพลังงานใหม่ล่ะมั้ง

อัลเลย์หัวเราะคิกคักกับความคิดในหัวตัวเอง

เสียงแว่วดังขึ้นมาจากหน้าประตู แปลกแค่วันนี้กลับเสียงดังกว่าปกติ

เอี๊ยด--เอี๊ยด--

เสียงแผ่นไม้ดังเป็นจังหวะที่คุ้นชิน หากแค่วันนี้กลับมีจำนวนมากกว่าวันก่อนๆ มาลินด้าวันนี้ก็ยังคงสวยงามเช่นเคย แต่แค่ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยร่องรอยสกปรกและคราบเลือดเป็นหย่อม

และชายหนุ่มวัยกลางคนที่อัลเลย์ไม่เคยเห็นมาก่อน ผมสีขาวยาวเหยียดตรง เปิดหน้าผาก คิ้วขมวดลง มีกรามและจมูกคมชัดเจน ดูมีสง่าราศี ริมฝีปากบาง แล้วก็มีดวงตาสีน้ำเงินเข้ม รอยแผลเป็นบนหน้าตั้งแต่มุมกรามซ้ายไปจนถึงหน้าผากด้านขวาทำให้ยิ่งดูเป็นคนแข็งกร้าวน่าหวาดกลัวขึ้นไปอีก

ดูจากการแต่งกายด้วยชุดเกราะสีเงินลวดลายปีกสีทองสวยงาม ผ้าคลุมไหล่สุดเท่ ความเย็นชาผิดปกติที่ส่งให้มาลินด้า บวกกับความยำเกรงของคนอื่นต่อบุคคลนี้ก็พอจะทำให้อัลเลย์เดาได้ว่าชายคนนี้คือผู้วิเศษเอ็ดวินที่เป็นเจ้าของฮาโมนี่

ฮาโมนี่ที่เคยพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวก็หยุดเงียบลง ทำเพียงก้มหัวมองพื้นไม้ ไม่พูดอะไรสักคำ ส่วนสายตาที่เอ็ดวินมองมาที่เธอก็มีแค่ความเย็นชาไร้ซึ่งความเสน่หาใดๆ

อัลเลย์เลิกคิ้วพลางคิดถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ ดูเหมือนเอ็ดวินจะไม่ได้มีความรู้สึกบางอย่างใดๆ ต่อฮาโมนี่จริงๆ แต่แล้วทำไมเขากลับเลือกที่จะพาฮาโมนี่ขึ้นเรือลำนี้มา

เพราะว่าเธอท้องลูกของเขาอยู่?

"ท่านเอ็ดวินเห็นได้ชัดว่ายังมีห้องขังเหลืออยู่"

"แค่นำไปขังในอีก2ห้องที่เหลือ แล้วมียามสักคนก็น่าจะพอนะคะ" เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังเสียงของมาลินด้า เสียงเธอใสและเย็นสบายแต่ก็เย็นชาเหมือนลำธารลึกในขั้วโลกเหนือ

"นี้หรือวิธีแก้ปัญหาที่เธอบอกกูล" เสียงของเอ็ดวินทำให้เผลอนึกถึงท่านเคานต์แวมไพร์ในหนัง เป็นเสียงทุ้มต่ำเยือกเย็น 

"เก็บไว้ก็มีแค่เปลืองทรัพยากรไปเท่านั้น คนของเราไม่ได้ใครว่างมาเสียเวลาไปกับเธอหรอกนะ"

"แล้วการแก้ปัญหาของไวท์คือการสังหารทุกคนซินะ" เธอส่งเสียงเยาะเย้ยขึ้นจมูก ก่อนสั่งให้ลูกน้องของตนลากคน5คนเข้ามา

คนทั้ง5ต่างอยู่ในสภาพเดียวกันคือไม่มีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่ เหมือนวิญญาณได้หายไปเหลือทิ้งไว้เพียงเปลือกที่ว่างเปล่า ตามร่างกายเต็มไปด้วยลวดลายสีม่วงแตกแขนงคล้ายแผลฟ้าผ่าเปล่งแสงอ่อนๆจากใต้ผิวหนัง

แต่ลูกน้องของเธอก็ต้องถูกหยุดอยู่ที่เดิม เอ็ดวินชักดาบของข้ารับใช้ข้างตัวออกมา ก่อนยกดาบเล่มนั้นขวางกั้นพวกเขาไว้

"จองหองเกินไปแล้วกูล อย่าคิดว่าแค่มีจดหมายจากโบสถ์ แล้วจะทำอะไรก็ได้ในเรือของฉัน"

"ทำไมล่ะคะ ถึงจะรักษาไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์แบบอื่นนี้" เธอขำคิดคักส่งสายตาล้อเลียนมา

"อย่ามาแสร้งว่าไร้สมอง ปัจจัยเสี่ยงทุกอย่างบนเรือลำนี้จะต้องถูกกำจัด"

"เสี่ยงต่ออะไรล่ะ หมายถึงคนในห้องขังนั้นรึไง"

"ไม่น่าแปลกเหรอไงที่นำมนุษย์ธรรมดาขึ้นมาบนเรือ" เธอจ้องมองไปยังฮาโมนี่ที่ยังคงก้มตัวนับเสี้ยนไม้บนพื้น กับอัลเลย์ที่กำลังตั้งใจกินป๊อปคอร์นอยู่ห้องตรงข้าม

"..." มนุษย์ธรรมดาที่อยากจะรอดูชมอยู่เงียบๆ แต่โดนลูกหลงไปด้วย

"คุณก็ไม่ได้ตั้งใจปิดเป็นความลับอะไรนี้ แล้วอีกอย่างตอนนี้เราอยู่บนทะเลดำ" ดวงตาสีน้ำเงินนั้นมืดมนเหมือนเหวลึก

"ฉันอยากรู้ความสำคัญของทุกอย่างบนเรือ"

"อย่าลืมว่าไม่มีใครมาปกป้องแกอีกที่นี่" เอ็ดเพิ่มคีย์เสียงขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ

"เทพแห่งนิรันดร์จะเฝ้ามองผู้ศรัทธาทุกคนของท่านเสมอ"

เทพแห่งนิรันดร์...

"กูล หรือแกไม่เชื่อในตราประทับของเทพ"

"ข้าไม่เคยไม่เชื่อในตราประทับของพระองค์ แต่ฉันสงสัยในตัวคุณ"

"สงสัย?"

"สงสัยว่าคุณอาจจะเป็นผู้นับถือเทพชั่วร้ายที่กำลังแอบอ้างทำบางอย่างในนามเทพแห่งนิรันดร์" ผู้คนรอบตัวทำสีหน้าตกตะลึงแม้แต่เอ็ดวินก็ยังโกรธจนหน้าแดงไปหมด

เทพชั่วร้าย...อัลเลย์ไม่แน่ใจว่าเทพองค์นี้คืออะไร แต่ดูจากปฏิกิริยาของผู้คนก็พอจะเดาได้ว่าเทพชั่วร้ายกับเทพแห่งนิรันดร์ไม่ถูกกัน

"หุบปาก..."

"เชื่อฉันสิ ว่านายไม่มีคุณค่าอะไรเลยในสายตาเทพชั่วร้าย" มาลินด้าหัวเราะคิกคัก

ฉับ!!

!!!

ภายในพริบตา ดาบของเอ็ดวินตวัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัดหัวของ1ใน5คนที่ไร้สติ หัวของชายคนนั้นหมุนอยู่กลางอากาศก่อนจะค่อยๆ กลิ้งมาหยุดตรงหน้าลูกกรงของอัลเลย์ 

เลือดสีแดงอาบไปทั่วบริเวณ แต่มาลินด้าและเอ็ดวินกับยังคงสะอาดราวกับว่าเลือดพวกนั้นจะไม่สามารถแตะต้องตัวพวกเขาได้

นี้เป็นครั้งแรกที่ได้เจอเหตุการณ์ฆาตกรรมต่อหน้า แต่นอกจากอาการเย็นวาบในอกกับคลื่นไส้จากกลิ่นเลือดนิดหน่อยก็ไม่มีอาการอื่นใดอีก

ไม่ใช่ความหวาดกลัวแต่เป็นความขยะแขยง

อัลเลย์ย่นคิ้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเหมือนจะร้ายแรงมาก มาลินด้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเอ็ดวินจะชักดาบออกมาแต่ก็ไม่ได้ออกตัวขัดขวาง 

เอ็ดวินพูดประโยคบางอย่างที่อัลเลย์ไม่สามารถได้ยินได้ ทันทีที่ได้ฟังสีหน้าของมาลินด้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หล่อนมองอัลเลย์และฮาโมนี่ด้วยสายตาที่แปลกประหลาด

ตัวตนในโลกนี้กับฮาโมนี่มีประโยชน์บางอย่างจริงๆ บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าสององค์ที่ถูกพูดถึง

เมื่อตัวละครใหม่โผล่มา ความเป็นไปได้ก็มีเพิ่มมากขึ้น จะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ โชคชะตา หรืออย่างอื่นก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

"เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว งั้นฉันจะยอมถอยเอง" มาลินด้ายิ้มอย่างสง่างาม

" ถ้ามีความสามารถก็รอดให้ได้ถึงฝั่งล่ะพวกกูลสัตว์กินซาก" เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเอ็ดวิน ใบหน้าของมาลินด้าก็ไม่สามารถควบคุมได้

"ไม่แน่คุณอาจจะตายก่อนท่านเอ็ดวิน" 

"ฆ่าให้หมด" ก่อนจะจากไปพร้อมรอยยิ้ม ดูเธอจะบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว ลูกน้องของหล่อนก็ดึงร่างพวกนั้นจากไปจนเกินขอบเขตการมองเห็นของอัลเลย์

เพียงไม่นานทุกอย่างก็กลับมาสงบอีกครั้ง หัวและเลือกที่เจิ่งนองหน้ากรงก็ถูกทำความสะอาดหมดจดจน เหมือนกับว่าที่เห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพหลอน

โหดร้ายเป็นโลกฝันร้ายจริงๆ

อัลเลย์ส่ายหัวด้วยความหน่ายใจ ก่อนจะหันไปสนใจฮาโมนี่ที่นิ่งเงียบ

"ฮาโมนี่เป็นอะไรรึเปล่า"

ถึงคนพวกนั้นจะจากไปสักพัก ฮาโมนี่ก็ยังคงนั่งเงียบอยู่อย่างนั้น เรียกไปได้สักพักอัลเลย์ถึงได้พบว่าเธอกำลังหลับอยู่

"..." 

เหลือจะเชื่อจริงๆ คนบนโลกนี้เป็นอะไรกันไปหมดแม้แต่เวลาแบบนี้ก็ยังนอนหลับได้