"นายเป็นคนที่ขี้สงสัยที่สุดที่ฉันเคยเจอมาเลย"
"ว้าว ขอบคุณมากครับ"
"แล้วยังชอบทำให้คนอื่นโมโหด้วย"
เป็นเวลาหลายวันแล้วตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมา ตลอดที่ผ่านมานอกจากการนอน กิน พูดคุย ก็ไม่มีกิจกรรมสันทนาการแบบไหนอีก ขนาดฮาโมนี่ก็ยังคิดเรื่องพูดคุยใหม่ๆ ไม่ค่อยออก
น่าจะสักสัปดาห์กว่าได้มั้ง
นอกจากเลียมและมิลาด้าที่ลงที่นี่ ก็มีคนแปลกหน้า2-3คนที่ลงมาเพื่อจัดการสิ่งต่างๆ ข้างล่าง ทุกคนที่ลงมาที่นี่ก็ต่างก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรสักคำ จนชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะเหตุผลอะไรถึงไม่สามารถพูดคุยกับพวกเราได้
จริงๆ การพักผ่อนที่ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะต้องตื่นไปทำงานตอนเช้าแบบนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก แต่ถ้าให้พูดถึงเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดก็คงจะเป็นวิธีขับถ่ายที่น่าหดหู่ นี้คือความเจ็บปวดของการหลุดเข้ามาในโลกยุคเก่าและเป็นสิ่งที่นักเดินเรือทุกคนจะต้องเผชิญ แต่ฮาโมนี่กลับดูเหมือนจะชินชากับอะไรพวกนี้แล้ว
"ความจริงมันก็น่าแปลกใช่มั้ยที่พวกเราได้ขึ้นเรือลำนี้" หล่อนถอนหายใจพลางใช้มือลูบไปบนท้องของตัวเอง
"ถ้าไปถึงกินแดนแห่งความหวังนั้นได้ เด็กคนนี้ก็คงจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้แน่นอน"
"ถ้าไปถึง ผมก็คงจะเปิดร้านอาหาร" เรียกว่าเป็นความฝันในวัยเด็ก ถ้าหากไม่ได้เป็นพนักงานออฟฟิศอัลเลย์ก็คงจะมาเป็นเชฟแทน เห็นอย่างงี้แต่เขาก็ทำอาหารอร่อยพอสมควรนะ อาจจะเพราะตอนเด็กถูกแมรี่พาไปเป็นลูกมือบ่อยๆ
"ฮิๆ ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรต่อ คิดว่าขอแค่เด็กคนนี้มีความสุขก็พอแล้ว" ฮาโมนี่เหม่อมองไปแสงเล็กน้อยที่ลอดผ่านช่องว่างข้างบน
"ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็จะให้ชื่อ เอ็ดเวิร์ด ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็จะให้ชื่อ ลิลลี่"
"ฮาโมนี่เนี่ยตั้งชื่อเก่งจังเลยนะ"
ต้องบอกว่าพวกเราทั้งคู่ก็พอจะรู้อยู่ว่าการเดินทางในครั้งนี้ไม่น่าราบรื่นตลอดรอดฝั่งแน่นอน และปลายทางที่จะไปก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะไปถึง รู้แค่ว่าตอนนี้เรือแอสตราลิสยังคงแล่นไปข้างหน้าเพียงเท่านั้น
อุณหภูมิที่ต่ำขึ้นทำให้เขาอดรู้สึกไม่หนาวสั่นเล็กหน่อย ภายในห้องนอกจากแสงจากเปลวไฟที่ยังคงขยับสั่นไหวไปมาก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว อัลเลย์มองฮาโมนี่ที่กำลังร้องเพลงกล่อมเด็กก่อนจะพยายามนอนหลับบนพื้นไม้แข็งๆ เสียงเพลงกล่อมนอนพร้อมความง่วงซึมที่เข้าจู่โจมทำให้สติค่อยๆ เลือนหายไปอย่างรวดเร็วตกลงไปสู่ห่วงนิทราครั้งแล้วครั้งเล่า
ในทุกเช้าของวันใหม่ที่ต้องตื่นมาพร้อมความปวดเมื่อยตามร่างกาย โชคดีที่ดูเหมือนตั้งแต่เข้ามาในโลกนี้เขาจะหลับสนิทจนไม่เคยฝันเห็นอะไรอีกเลย
"ฉันเห็นภาพตอนที่นอนหลับด้วยล่ะ"
"หืม!? คุณฝันเห็นอะไรเหรอครับ" อัลเลย์ที่เกือบสำลักน้ำ มองฮาโมนี่ด้วยความสนใจ
"ฝัน มันคือความฝันสินะ มันเหมือนจริงจนน่าตกใจ"
"ฉัน...เห็นลูกของฉันในความฝัน"
"พวกเขาเป็นเด็กแฝด แล้วพวกเราก็กำลังทำมงกุฎดอกไม้ด้วยกันที่ทุ่งหญ้าสีเขียว..."
วันนี้ฮาโมนี่ดูแปลกไปกว่าวันอื่น หล่อนมีอาการเพ้อและสะลึมสะลือคล้ายว่าจะยังไม่ตื่นดี พูดถึงแต่ความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สำหรับบางคน ความฝันเหนือจริงพวกนั้นก็เป็นเหมือนความสุขเหนือจินตนาการในชีวิตจริง แต่ถึงอย่างนั้นการหลงใหลและเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริงก็มีแค่ความเจ็บปวดเท่านั้นที่รออยู่ตรงสุดปลายทาง
"ฮาโมนี่ชอบร้องเพลงมากเลยใช่มั้ย" อัลเลย์ทำหน้าครุ่นคิด พยายามชักนำเธอไปที่หัวข้ออื่น
"มันก็แค่เพลงง่ายๆ ที่เด็กๆ ชอบร้องกัน ถ้าฉันได้ร้องเพลงของโบสถ์สักครั้งก็คงดี"
"เพลงที่ใช้ร้องในเทศกาลใช่มั้ยครับ?"
"จริงๆ เพลงที่ร้องในโบสถ์ของธัมไฮล์..."
เหมือนอีกวันที่ผ่านไปอย่างเงียบสงบ มีแค่ห้องที่ร้อนในตอนกลางวันและเย็นจัดในตอนกลางคืน เปลวไฟยังคงลุกไหม้อยู่ภายในตะเกียง ตะเกียงน้ำมันนี้จะถูกเติมน้ำมันใหม่ทุก5วัน ดูว่าเหมือนผู้คนในโลกจะยังไม่รู้จักน้ำมันก๊าด
ก็เป็นเช่นเคยที่พวกเราตัดสินใจจะนอนหลับเมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ต่ำลง แต่ครั้งนี้ฮาโมนี่เลือกที่จะรีบนอนเร็วกว่าปกติ ดูเหมือนว่าความฝันพวกนั้นจะส่งผลกระทบต่อเธอมากกว่าที่เขาคิด
เสียงของคลื่นดังขึ้นเป็นจังหวะ เหมือนทำนองดนตรีที่ใช้กล่อมคนให้นอนหลับ แต่เด็กหนุ่มกลับต้องลืมตาตื่นขึ้นมาในคืนนี้ ความรู้สึกที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นอีกครั้ง เป็นแบบเดียวกับที่เขาเจอในความฝันไม่มีผิด
อึดอัด ทำไมถึงได้รู้สึกอึดอัดขนาดนี้
อัลเลย์สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาในยามดึก ความรู้สึกแปลกๆ พวกนั้นกลับมาอีกครั้งหลังจากที่หายไปนาน ความเจ็บปวด อาการแสบร้อน อาการชาตามร่างกาย ต่างก็ทำให้เขาหายใจลำบาก
"อะไร…สวัสดี ทำไมนอนดึกจัง" และไม่ลืมที่จะพูดทักทายเด็กน้อยข้างตัวที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่มุมห้องเช่นเคย
"..."
อัลเลย์ลองที่จะพยายามสื่อสารกับเด็กชายคนนี้หลายรอบ แต่ก็ได้รับมาแค่สายตาสงบนิ่งและความเงียบตอบกลับเช่นเคย
เวลานี้เป็นเวลากลางคืน ฮาโมนี่ก็หลับไปแล้ว ในยามปกติจะได้ยินเสียงคลื่นพร้อมการขยับขึ้นลงของตัวเรือตลอดทั้งวัน แต่ตอนนี้บรรยากาศโดยรอบกลับเงียบสนิทจนน่าขนลุก เสียงกระซิบดังแว่วมาจากภายนอกห้องขัง เป็นเสียงงึมงำประหลาดคล้ายว่ามีคนกำลังสวดอะไรบางอย่างอยู่
มีบางอย่างผิดปกติ
"ฮาโมนี่...ตื่นเร็ว" เด็กหนุ่มพยายามส่งเสียงเรียกหญิงสาวห้องตรงข้ามให้ตื่น แต่ดูเหมือนเธอจะนอนหลับลึกเกินไปจนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
อาการแสบร้อนในดวงตาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คิ้วขมวดจนเกือบมัดเป็นปม เหงื่อจำนวนหนึ่งไหลไปตามกรอบใบหน้าทั้งที่คืนนี้เป็นคืนที่หนาวเหน็บ เขาพยายามส่งเสียงปลุกฮาโมนี่ แต่ร้องเรียกได้ไม่นานก็ต้องรีบหุบปากอย่างรวดเร็ว
เรือขยับ....
เรือที่หยุดนิ่งสนิทเมื่อกี้ค่อยๆ ขยับขึ้นลงตามจังหวะของคลื่นน้ำลูกหนึ่ง เหมือนกับมีตัวอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างใต้เรือลำนี้
เสียงโซ่และไม้เสียดสีดังมาแผ่วเบาจากภายนอก เปลวไฟในโคมไฟน้ำมันสั่นไหวเล็กน้อย
ทุกอย่างเงียบงันจนน่าหวาดกลัว มีแค่เสียงการเต้นของหัวใจที่ยังคงดังก้องอยู่ภายในหู
อาการหูแว่วที่ไม่ได้มีมานานก็กลับมาอีกครั้ง เป็นเสียงหวีดหวิวเหมือนเสียงลมเล็กๆ
ไม่ใช่
มันคือเสียงผิวปาก
มันดังมาจากข้างนอก ไล่ตามผนังเรือมาเรื่อยๆ ค่อยๆ ค่อยๆ จนมาถึงจุดที่อัลเลย์อยู่
เสียงนั้นเล็กและแผ่วเบาคล้ายเสียงแมลงปอขยับปีก มีเพียงแค่ผนังไม้ของเรือที่กั้นอัลเลย์กับสิ่งนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดเกินในไม่กี่วินาทีแต่ก็ช่างยาวนานเหลือเกิน รอจนแน่ใจว่าสิ่งนั้นเคลื่อนตัวผ่านจุดที่เขาอยู่ไปแล้ว
เฮือก!!
เมื่ออาการมึนงงจนตาพร่าเริ่มหนักขึ้น ก็ถึงได้รู้ตัวว่าเผลอกลั้นหายใจนานจนหน้าแดง
นั้นมันตัวอะไร?
คนในเรือ? ผี?
ตึง!!
จังหวะเดียวกับที่กำลังคิดถึงเรื่องที่มาของเสียงลี้ลับนั้น แรงกระแทกกะทันหันก็ทำให้อัลเลย์ล้มกลิ้งไปชนกับผนัง มีบางอย่างชนเข้ากับเรืออย่างจัง จนทำให้ตัวเรือโยกเอียงอย่างน่าหวาดเสียว
เหมือนกับการสับสวิตช์ จากเงียบสงบก็กลายเป็นเสียงดังขึ้นมาทันที ความวุ่นวาย เสียงฝีเท้า การวิ่งแบบเร่งรีบ และแสงไฟสีแดงที่ลอดร่องประตูเล็กน้อย ทำให้รู้ว่ามีสมรภูมิบางอย่างเกิดขึ้นข้างนอก
"ฮาโมนี่!" เศษฝุ่นและทรายจำนวนเล็กน้อยตกมาทุกครั้งตามจังหวะก้าวเดิน แม้จะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายแบบนี้ขึ้น หล่อนก็ยังคงนอนหลับอยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
ถึงจะหลับลึกแต่ก็ไม่ควรลึกขนาดนี้!!
"อั๊ก!" แรงกระแทกจากตัวเรือทำให้อัลเลย์กระแทกซี่กรงอย่างแรง ยังดีที่เอามืออุดปากทัน ไม่อย่างนั้นอาหารที่กินมาทั้งหมดก็อาจจะได้ออกมาดูโลก
เสียงโหวกเหวกโวยวาย และแรงสั่นสะเทือน สามารถบ่งบอกได้ถึงระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ข้างนอก อัลเลย์ทำได้เพียงแค่ลากร่างกายอ่อนแรงของตัวเองลงไปนอนราบกับพื้น
แล้วจะให้ทำอะไรได้ละ ก็ตอนนี้เขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดานี้
อัลเลย์สังเกตเห็นบางอย่างที่ซึมลงมาจากพื้นด้านบน ก่อนจะไม่แปลกใจเลยที่พบว่ามันคือเลือด เลือดหยดแล้วหยดเล่าตกลงมาส่งเสียงเล็กๆ เมื่อตกกระทบกับพื้น ไม่รู้ว่ามันคือเลือดของใคร จะเป็นของคนบนเรือหรือสิ่งนั้นก็ไม่อาจทราบได้
"ถ้าการตายในโลกก่อนทำให้มาอยู่ที่นี้ แล้วถ้าตายในโลกนี้จะได้ไปที่ไหน..."
"ไม่ได้ไปที่ไหนทั้งนั้น"
"แค่กลับสู่อ้อมกอดของความฝัน" เสียงเล็กๆ ของเด็กผู้ชายที่ยังไม่แตกหนุ่มดังขึ้น อัลเลย์นิ่งไป3วินาทีก็จะหันไปมองต้นเสียง เด็กชายที่นั่งเงียบตลอดจนตอนนี้ก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ใช้ดวงตาสีดำจ้องมองอย่างร้อนแรงเหมือนเดิม แต่คราวนี้กลับพูดตอบกลับคำถามของเขาเป็นครั้งแรก
"สวัสดี ผมชื่ออัลเลย์ อาโดนิส ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไร" อัลเลย์ดันตัวเองขึ้นพิงผนังอีกครั้ง เพิกเฉยต่อความวุ่นวายและเหตุการณ์ต่างๆ เด็กคนนี้แปลกประหลาดมาตั้งแต่แรก แม้จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก็ยังคงสามารถนั่งนิ่งอย่างสงบได้
"...ไกด์" ไกด์?
"สวัสดีไกด์ พอจะเล่าเรื่องอ้อมกอดของความฝันที่พูดเมื่อกี้ได้หรือเปล่า" อัลเลย์เพิกเฉยต่อความเจ็บปวดเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ เด็กที่ชื่อไกด์คนนี้ดูเหมือนจะมีข้อมูลสำคัญจำนวนมากเกี่ยวกับโลกนี้ ถ้าได้รู้สัก2หรือ3อย่างก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะลองถามดู
"..." ครั้งนี้ไกด์เลือกที่จะหันหลังใส่อัลเลย์แล้วหยุดนิ่งไป เขาพยายามพูดคุยด้วยสักพักก็ถึงได้รู้ว่าเด็กคนนี้ได้ชิงหลับไปก่อนแล้ว
"..." อัลเลย์
"เหลือเชื่อจริงๆ ..." ช่างเป็นเด็กที่เย็นชาอะไรเช่นนี้ ในเวลาแบบนี้ก็ยังจะนอนได้อีก กลายเป็นตอนนี้ก็มีแค่เขาซินะที่ยังคงตื่นอยู่ในห้องนี้
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ เสียงข้างบนถึงค่อยหายไป แม้ยังมีเสียงพูดคุยอยู่บ้างแต่แรงสั่นสะเทือนก็หยุดไปแล้ว
สุดท้ายก็ได้แค่ถอนหายใจ อาการอึดอัดและแสบร้อนที่ดวงตาก็หายไปแล้ว คนอื่นก็หลับกันหมด ถึงได้ตัดสินใจนอนหลับอย่างสงบสักที
"เมื่อคืนนอนไม่หลับใช่มั้ยคะ"
"เป็นผมต่างหากที่ต้องถามว่าเมื่อคืนคุณนอนหลับอย่างนั้นไปได้ยังไง"
"หืม? มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืนด้วยเหรอ"
ดูเหมือนเธอจะไม่รู้ตัวจริงๆ วันนี้ดูเหมือนฮาโมนี่จะมีความสุขมากกว่าปกติ แถมยังเล่าเรื่องความฝันเกี่ยวกับลูกของเธออีกครั้ง
ความรู้สึกแปลกๆ ก่อตัวในใจอัลเลย์อีกครั้ง มันทำให้นึกถึงความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง
จากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นตลอดที่ผ่านมา ทำให้อัลเลย์ตระหนักได้ถึงบางอย่าง ดูเหมือนสัญชาตญาณของเขาจะมีความแม่นยำต่อสิ่งแปลกประหลาด ถึงจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ก็ไม่สามารถปล่อยวางใจได้
ฮาโมนี่เป็นคนแรกที่ได้พบเจอและพูดคุยกับอัลเลย์ในโลกนี้ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากให้เธอเป็นอะไรไป
สุดท้ายหล่อนก็ยังคงหัวเราะสนุกสนานได้เหมือนเดิม ร้องเพลง และเล่าเรื่องราวต่างๆ
วันนี้เลียมก็ยังคงเอาอาหารลงมาให้เช่นเคย เพียงแค่คุณลุงนักกล้ามคนนี้มีร่างกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นยาและผ้าพันแผลทั่วตัว อาหารของอัลเลย์วันนี้มีปริมาณลดลงแต่ก็ยังเยอะกว่าฮาโมนี่มากโข
เขาพบว่าเธอนั้นแทบจะไม่เคี้ยวขนมปังเลยด้วยซ้ำ ขนมปังแข็งขนาดนั้นยังกินได้เหมือนกินข้าวสวย น่าหวาดเสียวว่าจะติดคอเข้าสักวัน ส่วนไกด์ก็ยังคงนอนหลับไม่ตื่น บางทีเด็กคนนี้อาจจะไม่ใช่คนเย็นชาที่ไม่เข้าสังคม แต่แค่การพูดนั้นใช้พลังงานมากจนต้องนอนเก็บพลังงานใหม่ล่ะมั้ง
อัลเลย์หัวเราะคิกคักกับความคิดในหัวตัวเอง
เสียงแว่วดังขึ้นมาจากหน้าประตู แปลกแค่วันนี้กลับเสียงดังกว่าปกติ
เอี๊ยด--เอี๊ยด--
เสียงแผ่นไม้ดังเป็นจังหวะที่คุ้นชิน หากแค่วันนี้กลับมีจำนวนมากกว่าวันก่อนๆ มิลาด้าวันนี้ก็ยังคงสวยงามเช่นเคย แต่แค่ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยร่องรอยสกปรกและคราบเลือดเป็นหย่อม
และชายหนุ่มวัยกลางคนที่อัลเลย์ไม่เคยเห็นมาก่อน ผมสีขาวยาวเหยียดตรง เปิดหน้าผาก คิ้วขมวดลง มีกรามและจมูกคมชัดเจน ดูมีสง่าราศี ริมฝีปากบาง แล้วก็มีดวงตาสีน้ำเงินเข้ม รอยแผลเป็นบนหน้าตั้งแต่มุมกรามซ้ายไปจนถึงหน้าผากด้านขวาทำให้ยิ่งดูเป็นคนแข็งกร้าวน่าหวาดกลัวขึ้นไปอีก
ดูจากการแต่งกายด้วยชุดเกราะสีเงินลวดลายปีกสีทองสวยงาม ผ้าคลุมไหล่สุดเท่ ความเย็นชาผิดปกติที่ส่งให้มิลาด้า ร่วมกับความยำเกรงของคนอื่นต่อบุคคลนี้ก็พอจะทำให้อัลเลย์เดาได้ว่าชายคนนี้คือผู้วิเศษเอ็ดวินที่เป็นเจ้าของฮาโมนี่
ฮาโมนี่ที่เคยพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวก็หยุดเงียบลง ทำเพียงก้มหัวมองพื้นไม้ ไม่พูดอะไรสักคำ ส่วนสายตาที่เอ็ดวินมองมาที่เธอก็มีแค่ความสงบนิ่งไร้ซึ่งความเสน่หาใดๆ
อัลเลย์เลิกคิ้วพลางคิดถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ ดูเหมือนเอ็ดวินจะไม่ได้มีความรู้สึกบางอย่างใดๆ ต่อฮาโมนี่เลยจริงๆ แต่แล้วทำไมเขากลับเลือกที่จะพาเธอขึ้นเรือลำนี้
เพราะว่าเธอท้องลูกของเขาอยู่?
"ท่านเอ็ดวินเห็นได้ชัดว่าตามในแผนผังเรือ ที่นี่ควรจะเป็นพื้นที่ห้องขังสินะคะ"
"ถึงจะปรับปรุงให้ใช้เก็บวัตถุต่างๆ แต่ก็ยังมีโครงสร้างของห้องขังเหลืออยู่"
"ในตอนนี้วัตถุที่เก็บอยู่ก็มีไม่นานนัก สามารถนำไปเก็บที่ศูนย์ควบคุมก่อนก็ได้นี่คะ ส่วนคนเหล่านี้ก็นำมาขังในห้องขังที่นี่ไปก่อน" เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังเสียงของมิลาด้า เสียงเธอใสและเย็นสบายแต่ก็เย็นชาเหมือนลำธารลึกในขั้วโลกเหนือ
"นี้หรือวิธีแก้ปัญหาที่เธอบอก มิลาด้า" เสียงของเอ็ดวินทำให้เผลอนึกถึงท่านเคานต์แวมไพร์ในหนัง เป็นเสียงทุ้มต่ำเยือกเย็น ใบหน้านั้นนิ่งสนิทคล้ายหุ่นยนต์มากกว่ามนุษย์
"เก็บที่นี่ไม่ได้ เธอก็รู้ว่าคนพวกนั้นหมดความหวังแล้ว"
"แล้วทำไมถึงเป็นที่นี่ไม่ได้ การแก้ปัญหาของท่านเอ็ดวินคือการสังหารทุกคนซินะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนสั่งให้ลูกน้องของตนลากคน5คนเข้ามา
คนทั้ง5ต่างอยู่ในสภาพเดียวกันคือไม่มีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่ เหมือนวิญญาณได้หายไปเหลือทิ้งไว้เพียงเปลือกที่ว่างเปล่า ตามร่างกายเต็มไปด้วยลวดลายสีม่วงแตกแขนงคล้ายแผลฟ้าผ่าเปล่งแสงอ่อนๆ จากใต้ผิวหนัง
แต่ลูกน้องของเธอก็ต้องถูกหยุดอยู่ที่เดิม เอ็ดวินชักดาบของข้ารับใช้ข้างตัวออกมา ก่อนจะยกดาบเล่มนั้นขวางกั้นพวกเขาไว้
"นี้คือเรือของฉัน ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาวิ่งเล่นทำอะไรตามใจชอบก็ได้"
"ทำไมล่ะคะ ถึงจะรักษาไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์แบบอื่นนี้" เธอจ้องมองไปยังดวงตาของชายตรงหน้า พยายามที่จะอ่านเข้าไปในความคิดของเขา
"ปัจจัยเสี่ยงทุกอย่างบนเรือลำนี้จะต้องถูกกำจัด"
"เสี่ยงต่ออะไรล่ะ หมายถึงคนในห้องขังนั้นรึไง"
"ทำไมถึงเก็บคนพวกนั้นไว้ในห้องนี้" เธอจ้องมองไปยังฮาโมนี่ที่ยังคงก้มตัวนับเสี้ยนไม้บนพื้น กับอัลเลย์ที่กำลังตั้งใจกินป๊อปคอร์นอยู่ห้องตรงข้าม
"..." มนุษย์ธรรมดาที่อยากจะรอดูละครอยู่เงียบๆ แต่โดนลูกหลงไปด้วย
"คุณก็ไม่ได้ตั้งใจปิดเป็นความลับอะไรนี้ แล้วอีกอย่างตอนนี้เราอยู่บนทะเลดำ" ดวงตาสีน้ำเงินนั้นมืดมนเหมือนเหวลึก
"ฉันอยากรู้ความสำคัญของทุกอย่างบนเรือ"
"อย่าลืมว่าไม่มีใครมาปกป้องเธออีกที่นี่อีกต่อไปแล้ว" เอ็ดวินเพิ่มคีย์เสียงขึ้นมาเล็กน้อย
"เทพแห่งนิรันดร์จะเฝ้ามองผู้ศรัทธาทุกคนของท่านเสมอ"
เทพแห่งนิรันดร์...
"นี่คือภารกิจของข้า กูล หรือเธอไม่เชื่อในตราประทับของเทพ"
"ข้าไม่เคยไม่เชื่อในตราประทับของพระองค์ แต่ฉันสงสัยในตัวคุณ"
"สงสัย?"
"สงสัยว่าคุณอาจจะเป็นผู้นับถือเทพชั่วร้ายที่กำลังแอบอ้างทำบางอย่างในนามเทพแห่งนิรันดร์" ผู้คนรอบตัวทำสีหน้าตกตะลึงแม้แต่เอ็ดวินก็ยังเผลอขมวดคิ้วแน่น
เทพชั่วร้าย...อัลเลย์ไม่แน่ใจว่าเทพองค์นี้คืออะไร แต่ดูจากปฏิกิริยาของผู้คนก็พอจะเดาได้ว่าเทพชั่วร้ายกับเทพแห่งนิรันดร์ไม่ถูกกัน
"นี้มันชักจะเลยเถิดไปแล้ว..."
"เชื่อฉันสิ ว่านายไม่มีคุณค่าอะไรเลยในสายตาเทพชั่วร้าย" มิลาด้าพูดเสียงดังขึ้นด้วยแรงอารมณ์
ฉับ!!
!!!
ภายในพริบตา ดาบของเอ็ดวินตวัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัดหัวของ1ใน5คนที่ไร้สติ หัวของชายคนนั้นหมุนอยู่กลางอากาศก่อนจะค่อยๆ กลิ้งมาหยุดตรงหน้าลูกกรงของอัลเลย์
เลือดสีแดงอาบไปทั่วบริเวณ แต่มิลาด้าและเอ็ดวินกลับยังคงสะอาดราวกับว่าเลือดพวกนั้นจะไม่สามารถแตะต้องตัวพวกเขาได้
นี้เป็นครั้งแรกที่ได้เจอเหตุการณ์ฆาตกรรมต่อหน้า แต่นอกจากอาการเย็นวาบในอกกับคลื่นไส้จากกลิ่นคาวเลือดนิดหน่อยก็ไม่มีอาการอื่นใดอีก
ไม่ใช่ความหวาดกลัวแต่เป็นความขยะแขยง
อัลเลย์ย่นคิ้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเหมือนจะร้ายแรงมาก มิลาด้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเอ็ดวินจะชักดาบออกมาแต่ก็ไม่ได้ออกตัวขัดขวาง
เอ็ดวินพูดประโยคบางอย่างที่อัลเลย์ไม่สามารถได้ยินได้ ทันทีที่ได้ฟังสีหน้าของมิลาด้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หล่อนมองอัลเลย์และฮาโมนี่ด้วยสายตาที่แปลกประหลาด
ตัวตนในโลกนี้กับฮาโมนี่มีประโยชน์บางอย่างจริงๆ บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าสององค์ที่ถูกพูดถึง
เมื่อตัวละครใหม่โผล่มา ความเป็นไปได้ก็มีเพิ่มมากขึ้น จะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ โชคชะตา หรืออย่างอื่นก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
"เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว งั้นฉันจะยอมถอยเอง" มิลาด้ายิ้มอย่างสงบ ยอมก้าวถอยหลังออกจากประตู
"สภาพตอนนี้ของเธอไม่ใช่แบบที่พวกเขาอยากเห็น" เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเอ็ดวิน ใบหน้าของมิลาด้าก็ไม่สามารถควบคุมได้
"สภาพของฉันจะเป็นยังไงก็ไม่ต้องมายุ่งหรอก เอ็ดวิน"
"ฆ่าให้หมด" ก่อนจะจากไปพร้อมรอยยิ้ม ดูเธอจะบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว ลูกน้องของหล่อนก็ดึงร่างพวกนั้นจากไปจนเกินขอบเขตการมองเห็นของอัลเลย์
เพียงไม่นานทุกอย่างก็กลับมาสงบอีกครั้ง หัวและเลือกที่เจิ่งนองหน้ากรงก็ถูกทำความสะอาดหมดจดจน เหมือนกับว่าที่เห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพหลอน
โหดร้ายสมกับที่เป็นโลกแห่งฝันร้ายจริงๆ
ได้แต่ส่ายหัวด้วยความหน่ายใจ ก่อนจะหันไปสนใจฮาโมนี่ที่นั่งนิ่งเงียบมาตั้งนาน
"ฮาโมนี่เป็นอะไรรึเปล่า"
ถึงคนพวกนั้นจะจากไปสักพัก ฮาโมนี่ก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น เรียกไปได้สักพักอัลเลย์ก็ถึงได้พบว่าเธอกำลังหลับอยู่
"..."
เหลือจะเชื่อจริงๆ คนบนโลกนี้เป็นอะไรกันไปหมดแม้แต่เวลาแบบนี้ก็ยังนอนหลับได้