เทพอู่เฉินระลึกตนได้ว่ากระทำการอุกอาจไปสักหน่อย เมื่อสงบจิตใจร้อนรุ่มลงแล้วรับรู้ว่าทั้งสองอยู่ที่ใดจึงแอบตามไปเงียบ ๆ
นั่นก็หลังจากที่เพลิงอัคคีปีศาจจากนัยน์ตารุธิระผลาญเผาไปครึ่งภพภูมิ!
อาเป้ยไม่ได้รู้ตัวว่าเทพปีศาจจำแลงกายเป็นอสรพิษขนาดเล็ก เลื้อยผ่านพงไพรตามหลังนางมาถึงอาศรมแห่งหนึ่ง นางมัวแต่สนใจดอกจื่อเถิงหลัว 紫藤萝[1] เถาวัลย์มากมายประดับด้วยบุปผาหล่นลงเป็นเส้นสายราวม่านน้ำตก ทั้งสีม่วง สีขาว สีแดง ทั้งหมดนั้นล้วนงดงามตระการตา
หากเป็นบนโลกมนุษย์ของนางก็มักจะเห็นเป็นสีม่วง สีชมพู บนเทวโลกกลับมีหลากหลายสีสัน นางยกมือขึ้นบังแสงอรุณที่สาดส่องลงมาผ่านช่องว่างระหว่างบุปผชาติร้อยเรียงกันเป็นพวงให้พ้นจากใบหน้า พื้นที่แห่งนี้สดใสแตกต่างจากเมฆาทึบทะมึน ท้องนภาสีแดงฉานน่ากลัวเมื่อสักครู่
ใบหน้างามตะลึงพรึงเพริด พรรณไม้สูงตระหง่านทำให้นางผู้ไม่เคยพบสวนบุปผางามมาก่อน ตื่นเต้นจนลืมผู้ที่นางตั้งใจเดินทางมาหา นางลืมเจ้าเหลียนเหลียนไปด้วยอีกต่างหาก
"โอ้... ช่างงดงามอะไรเช่นนี้" ไม่ทันสิ้นคำ อาเป้ยเกือบจะชนเทพชราผู้หนึ่ง นางตกใจมองท่าน เมื่อไม่ใช่แม่เฒ่าแต่กลายเป็นผู้เฒ่า ใบหน้าของท่านดูแก่ชรา ทั้งเส้นผมและเครายาวประหน้าขาของท่านหงอกขาวเป็นสีเท่ากันหมด
"มองหาอะไรอยู่เล่าอาเป้ย หรือว่าเจ้าอยากได้ดอกไม้อันงดงามเหล่านี้กลับไปปลูกที่เรือนเทพอู่เฉิน ข้ายินดีแบ่งเมล็ดพันธุ์ให้เจ้า"
เสียงหัวเราะเริงร่าของบุรุษเทพอาวุโส อุตส่าห์เอ่ยถึงเทพปีศาจออกมาได้ นางคงไม่พึงพอใจนัก แต่ในเมื่อนางเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือจึงไม่กล้าแสดงกิริยาไม่งามต่อท่าน นางยกมือทั้งสองขึ้นประสานกันอย่างนอบน้อมถ่อมตน
"คารวะท่าน... แม่เฒ่า... ขออภัย ท่านพ่อเฒ่าอาวุโส... ข้าขอรบกวนท่านทีเถิด ข้าเป็นมนุษย์ผู้หลงทาง มาขอคำชี้แนะเรื่องอนาคตของข้า"
"เจ้าเรียกข้าว่าผู้เฒ่าจันทราได้ ข้าว่าเจ้าคงได้ยินชื่อเสียงของข้ามามากบนโลกมนุษย์"
"ผู้เฒ่าจันทรา!" อาเป้ยทำตาโตถามว่าท่านแน่ใจอีกครั้ง "เทพผู้เฒ่าเย่ว์เหรินน่ะหรือ? ท่านเป็นผู้ดูแลคู่ครองของมนุษย์"
"ใช่แล้วอาเป้ย ก็ไม่นับว่าเสียเที่ยวที่เจ้าเดินทางมา เพียงแต่เจ้าต้องลองตัดสินใจเลือกทางเดินของเจ้าเอง เอ้า... นี่เป็นของเจ้า..."
ผู้เฒ่าจันทราพลิกฝ่ามือเพียงครั้ง ด้ายสีแดงปรากฏขึ้นบนข้อเท้าของนาง นางก้มหน้าลงมองมันด้วยสีหน้าฉงน นางล่ะอยากรู้เสียจริงว่าปลายเส้นสีแดงอีกด้านหนึ่งของนางนี้อยู่กับชายใด
"แม่เฒ่าไม่อยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว ข้าเพิ่งได้ยินจากผู้เฒ่าจันทรา นับเป็นวาสนาของเจ้านะอาเป้ย ท่านผู้เฒ่าหาใช่ผู้ที่จะพบเจอได้ง่ายดายนัก"
เท้าทั้งสี่ของพยัคฆ์เยื้องย่างมาหมอบลงข้างข้อเท้าของนาง บนพสุธาเขียวชอุ่มชุ่มชื้น อาเป้ยรีบคุกเข่าลงคารวะเทพอาวุโสอีกครั้งหนึ่ง นางตั้งใจว่าท่านไม่รู้เรื่องอนาคตของนางก็ไม่เป็นไร นางอาจขอคำปรึกษาจากผู้เฒ่าผู้นี้ว่านางควรทำอย่างไรในฐานะที่ท่านเป็นผู้มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่า ทว่านางกลับได้คำตอบนั้นในอีกไม่ช้า
"เทพผู้เฒ่าจันทรา ถือวิสาสะใด มาผูกด้ายแดงของนางผู้เคยเป็นมนุษย์ไว้กับข้า"
อาเป้ยเพิ่งสังเกตเห็นปลายอีกด้านหนึ่ง มันผูกอยู่กับข้อเท้าใต้อาภรณ์สีดำสนิทของบุรุษเทพปีศาจ นางลุกจากตรงนั้นในทันที หากทว่าเป็นโชคร้ายของนางยิ่งนัก เมื่อนางถูกจับหมับเข้าข้อมืออย่างแน่นหนา นัยน์ตาสีแดงยังคงปรากฏเปลวเพลิงประกาศศึก หากนางกล้าหนีอีกเพียงครั้ง นางตายแน่!
"ยอมรับความจริงเถิดเทพอู่เฉิน พรหมลิขิตยากจะหลีกเลี่ยง อาเป้ยมีมันตั้งแต่นางถือกำเนิด นางเป็นคู่วาสนาของท่าน"
ผู้เฒ่าจันทราพูดแล้วจึงหันไปทางสตรีในฝั่งขวา
"ต่อให้เจ้าจะหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องกลับมาพบเทพอู่เฉินอยู่วันยังค่ำ ห่างกันพันลี้แสนไกล บุพเพเชื่อมไว้ด้วยด้ายแดง[2] สัจธรรมแห่งพรหมลิขิต ไม่มีผิดเพี้ยนเปลี่ยนแปลง"
อาเป้ยได้คำตอบเรื่องอนาคตของนางแล้ว ฟังดูเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งนักสำหรับนาง ยิ่งกว่าเรื่องการขึ้นเทวโลกมาเป็นสมบัติเทพปีศาจ ทว่าคิดในอีกแง่หนึ่ง หากด้ายเส้นนี้ไปผูกพันอยู่บนข้อเท้าของชายใดไม่ใช่เทพอู่เฉิน เขาผู้นั้นคงอายุสั้นเป็นแน่แท้ ดีไม่ดีอาจถูกเผาทั้งเป็นด้วยไฟกัลป์ในดวงตาของท่านเทพปีศาจ ผู้กำลังยืนจ้องมองหน้านางปานจะกินเลือดเนื้อ
"เจ้าต้องกลับเรือนข้า อย่าให้ข้าเดือดดาลไปมากกว่านี้"
"ข้ายังมีคำถามที่ข้าอยากรู้จากผู้เฒ่าจันทรา ขอให้ข้าได้ไขข้อข้องใจของข้าเสียก่อน"
อาเป้ยยังมีคำถามอีกมาก นางเป็นหญิงช่างสงสัยมาแต่ไหนแต่ไร นางก็คงไม่ยอมไปง่าย ๆ นางก้มศีรษะลงด้วยความนอบน้อมขอคำปรึกษาเบื้องหน้าผู้เฒ่าจันทราแม้ถูกจับกุมข้อมือเอาไว้อย่างนั้น ขณะที่เทพอู่เฉินจะบังคับพานางไปเสียตอนนี้ก็ย่อมได้ ติดเพียงว่าเขาดันอยากรู้คำตอบไม่น้อยไปกว่านาง
"ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ท่านผู้เฒ่าจันทรา ผู้ปล่อยวางเยี่ยงนักพรตนักบวชมีคู่ครองหรือไม่?"
"ก็เคยมี... เพียงแต่ผู้ที่จะไม่มีด้ายแดงแห่งพรหมลิขิตอีกต่อไป อาจเป็นเพราะว่าผู้นั้นไม่ต้องการมี เป็นผู้ละสังขาร ละวางตนออกจากวัฏจักรวัฏฏะสงสาร มุ่งตรงสู่นิพพาน บางคนอาจมีคู่พรหมลิขิตเสียชีวิตไประหว่างทาง วาสนาไม่นำทางให้ได้พบกัน นับเป็นชะตากรรม เป็นโชคร้ายยิ่งนัก"
"แล้วถ้าข้าออกบวชเล่า หากข้าจะละทางโลกไปเพื่อมุ่งหน้าหาสัจธรรมชีวิต"
"ก็เป็นตรงกันข้าม"
"ด้ายเส้นนี้จะหายไปหรือไม่"
[1] ดอกวิสทีเรีย (Wisteria)
[2] ห่างกันพันลี้แสนไกล บุพเพเชื่อมไว้ด้วยด้ายแดง 千里姻緣一線牽