'ข้ารับรู้แล้วว่าหัวใจของข้ามีเพียงท่าน...'
ถ้อยคำแสนอ่อนหวานของสตรีนางหนึ่ง นำพาความโศกเศร้าให้บุรุษเทพปีศาจ
ยามนึกถึงความจริงอันทุกข์ตรม เมื่อไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของนาง ต่อให้เป็นความรักในแบบเทพก็ยังเป็นไปได้ยาก ด้วยเหตุว่าไฟราคะที่อัดแน่นสุมทรวงนี้ยากจะควบคุมให้สงบลง
ใจปีศาจปรารถนาครอบครองนางจนเกิดความหวงแหนอย่างไร้สำนึกรู้ ทว่าใจเทพกลับแสวงหาทางหลุดพ้นจากห้วงสำนึกอันหอมหวานนี้
จะทำอย่างไร ในเมื่อการหลีกหนีไม่ใช่หนทางออก การยอมรับความรู้สึกทั้งหมดนั้นก็ไม่สามารถทำได้...
ใบหน้าเข้มเครียดส่ายมองออกไปนอกหน้าต่างไม้สลักงานประณีตที่เปิดอ้าออกกว้าง แมกไม้นานาพรรณเจริญงอกงามในเรือนของบิดาเทพมังกร ทั้งต้นสนสูงตระหง่านใบเขียวสด ดอกผลหลากสีสันต่างผลิบาน มิร่วงหล่นโรยรา บนผืนหญ้าชุ่มชื้น สตรีนางหนึ่งในอาภรณ์สีดำสนิททอดกายนอนอย่างสบายใจใต้แสงอรุณอ่อน เคียงข้างพยัคฆ์อัคคีตัวโปรดของนาง
'เจ้าพูดความจริงอาเป้ย ข้ารับรู้ได้ว่าเจ้าไม่ได้โกหกข้า...'
ความในใจของเทพอู่เฉินมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ดี เมื่อปิดตาลงมองผ่านตรีเนตร เห็นนางทิ้งตัวลงนอน ลุกขึ้นเดินหาเรื่องสนุกซุกซนทำประสานาง แต่ไม่ว่านางจะทำสิ่งใด นางมักชะโงกคอมองหาเทพอู่เฉิน ปากพึมพำว่าท่านน่ะเมื่อไรจะไปหานาง ท่านจะมีเวลาว่างไปพบนางเมื่อใด
'เจ้าทำตัวน่าขันนัก... อาเป้ย'
"เทพอู่เฉิน... ข้านำอาภรณ์ของท่านฮ่าวหรานมาให้ท่าน หวังว่าท่านคงไม่ถือสา ภพภูมินี้ไม่มีผู้ใดสวมอาภรณ์สีดำอย่างเรือนท่านนัก"
กองผ้าบนโต๊ะไม้สลักมุกตรงกลางห้องเรียกเทพอู่เฉินให้หลุดจากภวังค์ ลืมตาขึ้นมองผู้มาใหม่ เทพชั้นผู้น้อยในเรือนบิดามังกรมักสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดตาอยู่เป็นนิจ จะกี่วันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นสีสันสดใส
"ข้าไม่ยึดถือในสิ่งใด อาภรณ์อย่างชาวบ้าน ข้าก็สวมมันได้ ท่านวางไว้ ขอบใจท่านมาก"
"ท่านฮ่าวหรานเดินทางไปเทวโลกชั้นฟ้าเป็นการด่วน ฝากเทพในเรือนให้ช่วยเป็นธุระบอกกับบุตรชายด้วยว่าท่านจะต้องไปส่งรายงานราชาแห่งสวรรค์ เชิญแขกเหรื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย เรือนท่านพ่อของท่านเปรียบเสมือนเรือนของท่าน"
"อ้อ... ใช่แล้วล่ะ ท่านพ่อจัดการต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้นให้กลับมาสวยงามดังเดิม อาจไปแก้ต่างให้ข้าในเทวโลกชั้นฟ้า..."
การปะทะกันระหว่างเทพและปีศาจอสูรจนมอดไหม้ไปทั่วภพภูมินั้นก็เคยเกิด เมื่อเหล่าเทพถูกบรรดาปีศาจอสูรก่อกวนอยู่เป็นนิจ ไม่ใช่มีเพียงเทพอู่เฉินผู้เดียว
เวทเซียนของเหล่าเทพล้วนกล้าแกร่ง แม้เพียงป้องกันตนจากภยันตราย กลับกลายเป็นทะเลาะวิวาทจนพังราบ
ถึงแม้ว่าครานี้จะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษและสตรี บนเทวโลกไม่เคยมีมาก่อน ตราบใดเรื่องยังไปไม่ถึงหูเบื้องบน จัดการสถานที่ให้เรียบร้อยเสียคงไม่ใช่ปัญหา
"ในเมื่อท่านมิได้มีเจตนาในทางทำลาย คงไม่มีผู้ใดอยากเอาความกับเทพอู่เฉินนัก เกิดเราชาวสวรรค์ไร้เทพคอยสงบศึกระหว่างเทพและปีศาจ อาจประสบพบความยากลำบากกว่ายามนี้..."
"ข้าจำต้องหาหนทางผ่อนหนักเป็นเบา ปีศาจอสูรจะได้ไม่มาก่อกวนเทพมากนัก ให้ต่างฝ่ายต่างอยู่ในที่ของตน"
"พักหลัง ๆ มาเหล่าปีศาจอสูรไม่ค่อยมาก่อกวนเทพผู้กำลังบำเพ็ญเพียร เรือนท่านฮ่าวหรานก็ไม่ได้มีผู้ใดมาเยี่ยมเยียนบ่อยนัก ข้าว่าแล้วล่ะ ที่แท้ก็เป็นฝีมือของเทพอู่เฉินน่ะเอง..."
เทพชั้นผู้น้อยยังกล่าวชื่นชมท่าน ผู้ยอมให้ความช่วยเหลือลูกอสูรพยัคฆ์อัคคีแม้ว่าท่านจะไม่ชอบปีศาจและอสูรมาแต่ไหนแต่ไร เทพอู่เฉินได้รับคำเยินยอในเรื่องความเมตตา การสงบศึกระหว่างเทพและเหล่าอสูร ครั้นจะไม่ยินยอมรับแล้วบอกว่าเป็นผลงานอาเป้ย เป็นไปได้ว่านางอาจถูกเพ่งเล็ง เทพอู่เฉินจึงไม่พูดมากความ พยักหน้ารับรู้เสียเป็นส่วนใหญ่ ขณะนั่งสนทนากับเทพชั้นผู้น้อย ก็นึกถึงนางจึงหาจังหวะถาม
"อาเป้ย... นางอยู่ไหนเสียล่ะ? นางมีเสื้อผ้าอาภรณ์นอนหลับดีหรือไม่ ข้าไม่ช่ำชองเรื่องเครื่องประดับอาภรณ์ของสตรี ไม่ชำนาญการหาสิ่งของในเทวโลกชั้นดินนัก โดยปกติแล้วข้าจะวานให้ผู้อื่นเป็นธุระ..."
"นางไม่ถือเรื่องอาภรณ์ของสตรีในเรือน แต่ข้าว่าตั้งแต่เมื่อคืนนี้ยังไม่มีผู้ใดพบนาง..."
สิ้นคำกล่าวนั้น เทพอู่เฉินพลันปิดตาลงมองผ่านความมืดมิด...
ไม่เห็นสิ่งใดในโลกมืดมนของนาง!
อันธการเวิ้งว้างพลันพาจิตใจหม่นหมองหวาดกลัว กลุ่มควันดำจึงพุ่งออกไปทางหน้าต่างห้องพักอย่างรวดเร็ว ทิ้งบุรุษเทพในเรือนบิดามังกรไว้เบื้องหลังในสีหน้างุนงง พอเห็นว่าเทพอู่เฉินกำลังสนทนากันอยู่ดี ๆ ก็หายไป
อสรพิษกายาโอฬารโบยบินรอบเรือนเพื่อตามหาสมบัติส่วนตนด้วยท่าทีร้อนใจ ก่อนจะพบสตรีในอาภรณ์งดงามนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลังเรือนเข้าพอดี
เกือบได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ลำบากบ่าวในเรือนเทพแล้วยังไง! โชคดีเท่าไรไม่ทันได้ใช้นัยน์ตาอัคคีเผาผลาญเรือนท่านพ่อต่อจากภพภูมิลับแล
'เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้ ชอบทำให้ผู้อื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อย'
เทพอู่เฉินไม่ได้บันดาลโทสะเพราะนาง ออกไปทางเป็นห่วงเสียมากกว่า เมื่อจำแลงกายกลับร่างบุรุษเทพแล้วนั่งยองลง ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอของสตรีตรงหน้า เห็นว่านางสบายดี กินอิ่มนอนหลับถึงบนเทวโลกจะเป็นการอิ่มทิพย์ก็ตามที อาการตื่นตระหนกก่อนหน้านี้มลายหายไป
ใบหน้างามยามหลับใหลช่างน่ารักใคร่ น่าเอ็นดู ต่างจากตอนพูดจาเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน นางปิดตาสนิทในท่าทางผ่อนคลายสบายใจ มือข้างหนึ่งวางหงายอยู่บนหน้าตัก อีกข้างกำช่อดอกเหมยเอาไว้ เป็นไปได้ว่านางคงเล่นซน กระโดดเก็บดอกไม้ฝึกวิทยายุทธ์ประสานาง
มือหนาเลื่อนไปปัดปอยผมดำขลับที่ปรกแก้มเนียนวางไว้บนไหล่มน นางทำละเมอปัดมือไปมาเหมือนปัดแมลง โดยไม่รู้สึกตัวว่าใครมา
เทพอู่เฉินคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ ร่ายเวทหยินให้ลอยละล่องอยู่รอบอาภรณ์ของนางด้วยมืออีกข้างที่เหลือ ใต้หยาดน้ำฟ้าที่ร่วงหล่นลงมาทีละน้อยราวหยาดพิรุณ เวทสีดำบัดนี้เปรียบเสมือนดวงไฟให้แก้มเย็นเฉียบของนางได้รับความอบอุ่น
แก้มแดงซ่านของนางกลายเป็นสีขาวนวลเนียนช้า ๆ เมื่อร่างกายอุ่นขึ้น
'เรื่องที่ท่านพ่อพูดอาจไม่ใช่ความจริง... หรือเป็นตัวข้าเอง... ไม่อยากสูญเสียเจ้าไป...'
"เทพอู่เฉิน?" นางลืมตาตื่นมองบุรุษเทพด้วยสีหน้างุนงง พออีกฝ่ายรีบปล่อยมือจากนาง กลับเป็นฝ่ายออกอาการเคอะเขิน
"ข้า เอ้อ... เผลอหลับไปหรือ... ข้ารู้สึก... อ่อนเพลียเล็กน้อย"
"คงเป็นเพราะเจ้าเดินทางข้ามภพภูมิมาพร้อมข้า ถึงข้าจะใช้พลังของข้าก็ตาม"
"ข้าฝันไม่ดีเอาเสียเลย... ข้าฝันว่าข้ากำลังจะหายไป... กายทิพย์ของข้าสลายไปในอากาศ"
คำพูดของนางทำให้เทพอู่เฉินเบิกตากว้าง กลบเกลื่อนอาการเหล่านั้นด้วยการหัวเราะ ด้วยเสียงแหบแห้ง ดูไม่จริงใจเอาเสียเลย
"เจ้า... คงกิน ๆ นอน ๆ มากเกินไป"
อาเป้ยยิ้มออกมา "ข้าไม่ได้เสียใจหากชีวิตสุดท้ายของข้าอาจดับสิ้นลง เรามนุษย์ล้วนต้องตายกันทุกคน ข้าเพียงหวาดกลัวว่าข้าอาจไม่ได้พบท่านอีก ข้าอาจเกิดเป็นผู้ไร้วาสนาในภพหน้า ข้ากลัวเหลือเกินว่าท่านจะเสียใจเพราะข้า ข้ากลัว... สารพัด... หากข้าต้องทอดทิ้งท่านไว้ข้างหลัง เพียงลำพัง..."
"เจ้าเป็นผู้มีวาสนา มีเมตตามากมายนัก ข้าเชื่อว่าเจ้า..." ในปลายเสียงเงียบงันบัดดลนั้น หัวใจกล้าแข็งพลันกระตุกวูบ บุรุษเทพหน้าตาตื่นตระหนกมองมือนุ่มนวลทั้งสองของนางค่อย ๆ กลายเป็นเถ้าควัน ปลิวขึ้นสู่ท้องนภากว้าง แม้กระทั่งอาภรณ์ก็ราวกับว่าถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงอัคคี เหลือเพียงฝุ่นละอองสีดำลอยละล่องไปในเวหา ไร้คำอำลาจากนางผู้กลายเป็นเพียงความทรงจำ