"ข้ารู้สึกอับอายเมื่อถูกท่านปฏิเสธ ข้าตั้งใจทำมันมาก ท่านดูมือข้าสิ"
นางแผ่ฝ่ามืออันบอบบางเต็มไปด้วยรอยแผลจากเข็มเย็บผ้า ซึ่งนางไม่ถนัดเอาเสียเลย เทพอู่เฉินไม่ได้สนใจร่องรอยเหล่านั้นแต่มองไปที่ข้อมือของนาง
"นี่เป็นฝีมือของข้าหรือ?"
"ผิวของข้าไม่เคยจะหายดี ข้าไม่รู้ทำไม..."
ปีศาจอสรพิษผู้จับกุมตัวนางด้วยแรงหวงแหน รับผิดชอบความร้ายกาจของตน ปล่อยไอหยินออกมาเพียงเล็กน้อย ร่องรอยแดงช้ำบนข้อมือนางก็หายไปราวกับว่านางไม่เคยเจ็บช้ำน้ำใจเพราะท่านมาก่อน
อาเป้ยยังนึกน้อยใจ ด้วยความที่นางเป็นสมบัติของเทพอู่เฉิน ท่านจะปฏิบัติต่อนางอย่างร้ายกาจ หรือดีต่อนางจนน่าใจหายก็ย่อมได้ นางไม่มีทางเลือกมาก ในขณะเดียวกันนั้นนางกลับเป็นกังวลเรื่องการฝึกวิชาเวทเซียน นางเห็นด้วยกับเทพมังกรว่าเทพอู่เฉินผู้เป็นถึงบุตรชายของจ้าวปีศาจควรทำได้ดีกว่านี้
"ข้าเห็นท่านไม่มีความมั่นใจในการใช้พลังปีศาจ ท่านยังคอยลอบมองข้าเหมือนกลัวว่าข้าจะหนี"
"เจ้ากำลังปรึกษาแผนการชั่วร้ายกับพยัคฆ์อัคคี"
"ข้าจะหนีไปจากท่านได้อย่างไร สุดท้ายใจข้าก็แสนตรอมตรมระทมทุกข์กลับมาตายรัง แม้ท่านเผาผลาญทุกสิ่งเพราะข้า ข้ากลับมีความคิดชั่วร้ายดั่งสตรีวิปลาสว่าเปลวเพลิงเหล่านั้นแสนงดงาม ข้าไม่ควรมีความคิดในทางทำลายเช่นนี้ เท่ากับว่าข้าสนับสนุนท่านล่ะ"
สีหน้าสงสัยของเทพอู่เฉินพาลพาให้ใบหน้าระรื่นยิ้มของอาเป้ยเต็มไปด้วยความสุข ถึงแม้ว่าท่านคงไม่เข้าใจคำพูดของนาง
"ไม่ผู้ใดหลงใหลในเพลิงอัคคีปีศาจ มันมีประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือทำลายล้าง ข้าว่าเจ้าคงเสียสติไปแล้วจริง ๆ" ในน้ำเสียงเข้มขรึมบอกนางแต่มองหยาดน้ำฟ้ามากมายหล่นลงบนกายนาง เขานึกเป็นห่วงเป็นใยนาง
"เจ้าหนาวหรือไม่?"
อาเป้ยส่ายหน้าไปมา "ตัวข้าหรือจะรู้จักคำว่าหนาวเย็น ข้ามีทั้งอาภรณ์งดงาม เครื่องประดับมากมาย เทพอู่เฉินเฝ้าดูแลข้าเป็นอย่างดี..."
"เจ้าควรกลับเข้าเรือน..." ปลายเสียงขาดช่วงไปเพราะสายตาคู่หนึ่ง
นัยน์ตาสีเพลิงของอสูรอัคคีหนุ่มลุกโชน มันจ้องมองพวกเขามาได้สักพัก ขณะนอนฟุบหน้าลงหมอบราบอยู่บนพื้นหญ้าขาวเป็นหย่อม เพลิงอันนิ่งสงบของมันช่างแตกต่างจากเพลิงของบุรุษเทพปีศาจ อสูรอัคคีควรเข้าเรือนเป็นตนแรกแต่มันก็นอนเฝ้านางตรงนี้
"เจ้ามองอะไรของเจ้า เหลียนเหลียน"
"ข้าเห็นพวกท่าน... วันก่อนนั้นวิวาทกันจนมอดไหม้ไปครึ่งภพภูมิลับแล ล่วงพ้นไปไม่กี่ราตรีกลับรักใคร่กลมเกลียวประหนึ่งคู่สามีภริยา ข้าล่ะปรารถนาให้พวกท่านสาบานต่อภูเขาทะเลว่าจะครองคู่กันตราบจนฟ้าดินสลาย เทพอู่เฉินจะได้ไม่ต้องไปเผาผลาญที่ใดจนแหลกสลายกลายเป็นจุณ"
"ก็จริงอย่างเจ้าว่านะเหลียนเหลียน แต่ท่านเทพไม่สาบานกับข้าหรอก"
"ข้าไม่มีวันสาบาน"
ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจในถ้อยคำว่า 'ไม่มีวัน' เรียกเสียงหัวเราะอารมณ์ดีของอาเป้ย นางเงยหน้าขึ้นสบมองนัยน์ตาสีแดงสวยราวลูกแก้ว ด้วยแววตาซาบซึ้ง
"เช่นนั้นข้าขอรักใคร่เอ็นดูท่านเพียงฝ่ายเดียว ข้าอาเป้ย..." นางยกฝ่ามือกางปลายนิ้วทั้งห้าขึ้นบอก "ขอสาบานต่อภูเขาทะเล ทั้งในโลกมนุษย์ เทวโลกอันงดงามทุกภพภูมิว่าหัวใจของข้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ข้าจะมีบุรุษเทพปีศาจอู่เฉินแต่เพียงผู้เดียว ตราบชั่วฟ้าดินสลาย"
เทพอู่เฉินถึงกับนิ่งงัน เบิกตากว้างมองนางอย่างไม่เชื่อหูว่านางจะกล้าพูด
"เจ้า... ช่าง... เป็นสตรีไร้ยางอาย!"
ใบหน้าคมคายราวหยกสลักก้มลงมองไอน้ำสีขาว เหนือเรียวปากอิ่มซึ่งขาวซีดลงในฤดูเหมันต์ นางผ่อนลมหายใจเข้าออกพร้อมไอเย็นยะเยียบ
ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำสนิทหยุดเยื้องย่างลง หน้าบ่อสีมรกตในยามราตรี แสงสีนวลอ่อนจากเวทเซียนสีเหลืองทองบนมือเรียวเล็กส่องสว่างเพียงเล็กน้อย พอให้มองเห็นแก้มร้อนผ่าวของนางเป็นสีแดงซ่าน
"การอยู่ภายใต้อาภรณ์สีดำของท่านทำให้ข้ารู้สึกปลอดภัย..."
"ไม่มีที่ใดปลอดภัย นี่ก็มืดค่ำแล้ว ข้าบอกให้เจ้าเข้าเรือนไปเสีย"
"ข้าขอเวลาสักครู่หนึ่ง อากาศเย็นสบายเช่นนี้ข้าชอบนัก ขอให้ข้าได้อยู่กับเทพอู่เฉินอีกสักพัก..."
สตรีนางหนึ่งเฝ้าเดินตามบุรุษเทพปีศาจด้วยแววตาระรื่นชื่นชม ท่ามกลางเหมันต์สีขาวโพลน หยาดน้ำฟ้าไม่สามารถร่วงหล่นลงสัมผัสกายนาง เมื่อเวทหยินเคลื่อนไหวอยู่รอบอาภรณ์หนา ถักทอด้วยลวดลายอสรพิษสีทอง คอยให้ความอบอุ่นคุ้มครองนางเสมือนเปลวไฟเคลื่อนที่
ถึงแม้ว่ากลุ่มควันเหล่านั้นที่ลอยละล่องรอบกายอสรพิษ ย้ำเตือนนางว่าไม่มีผู้ใดชื่นชอบสีดำ ปีศาจอสูรไม่เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเทพ และจะไม่ได้รับการยกย่องใด ๆ หากมิใช่เทพอู่เฉินผู้นี้
"เจ้าควรเลิกมองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนั้น ข้าดูแลเจ้าด้วยภาระหน้าที่ ข้ารู้สึกถึงความผิดหากข้าต้องสังหารผู้บริสุทธิ์ สตรีเครื่องสังเวย... คนที่สิบสามด้วยน้ำมือของข้า พวกเจ้าไม่ควรต้องมาตายเพราะข้า"
"แล้วเหตุใดบุรุษเทพแห่งสายน้ำจึงเดินหมากเซี่ยงฉีกับข้ามิได้ ไยข้าจึงอยู่เรือนท่านฮ่าวหรานผู้เป็นมังกรรูปงาม พักอาศัยเพียงลำพังมานานหลายพันปีไม่ได้... ท่านพ่อเอ่ยปากว่าจะรับข้าไว้คอยดูแลอย่างสุขสบาย เหตุใดข้าจึงอยู่ที่นี่ไม่ได้..."
"เจ้าจะนำพาเรื่องฉาวโฉ่มาให้เทพสวรรค์ ข้าจำเป็นต้องรับเจ้าเอาไว้ดูแล ไม่ให้เจ้าไปสร้างความเดือดร้อนที่ใด"
อาเป้ยยิ้ม นางไม่ละความพยายามลงแม้สักน้อย "ความรักของข้ามิใช่เรื่องน่าอาย ความรักของข้าคือความปรารถนา ข้าปรารถนาให้ท่านพบพานแต่ความสุข"
"ความรักของเจ้าอาจหมายถึงมิตรภาพ เช่นเดียวกับมิตรภาพที่เจ้ามีให้เหลียนเหลียน เจ้ามีความหวังดีต่อมัน..."
"ก็เป็นไปได้... ข้าเอ็นดูท่าน ข้าให้ความเคารพท่าน ข้าหวังดีต่อท่าน" นางแสร้งทำเป็นคล้อยตาม ชายอาภรณ์สีดำลากยาวจนจมลงในหยาดน้ำฟ้านุ่มราวปุยนุ่นทำให้เดินไม่สะดวก นางคว้ามันขึ้น รีบเดินไปข้างหน้าแต่พูดให้คนข้างหลังของนางได้ยิน
"แต่ในสักวันหนึ่ง... วันที่ข้าไร้ซึ่งกายทิพย์อีกต่อไป ดวงจิตข้าอาจกลายเป็นสายลมพัดผ่านอยู่เคียงข้างกายท่าน ข้าอาจกลายเป็นดวงไฟอันอบอุ่น ข้า... อาจเป็นดวงวิญญาณเร่ร่อนไร้ซึ่งอิทฤทธิ์ใด ข้ารับปากว่าจะไม่ละความพยายามลง เพียงเพื่อให้ท่านคลายหนาวลงแม้สักน้อยในฤดูเหมันต์ แม้นั่นอาจเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับข้า... นี่คือความรักของข้าที่มีต่อท่าน... ข้ามิได้หวังสิ่งใดตอบแทน ข้าไม่ได้อยากตอบแทนท่านเพราะท่านดีกับข้า"
แล้วนางก็หัวเราะร่าเริง ในคำพูดมีนัย
"อาจเป็นมิตรภาพหวานซึ้งตรึงใจอย่างท่านว่า..."
นางวิ่งหายเข้าเรือนไป ทิ้งความไม่สบายใจเอาไว้ให้คนข้างหลัง ความสับสนภายในจิตใจพาลพาให้นัยน์ตาสีแดงมองตามคนในเรือนเทพอย่างเศร้าหมอง
เจ้าพูดจาประหลาดนักอาเป้ย... หรือเจ้าจะรู้เรื่องที่ท่านพ่อพูดกับข้า...?