Chapter 35 - 12-2 是真的 เป็นความจริง

บอกกับข้าว่าอาเป้ยมีมาตั้งแต่ถือกำเนิด... นางเป็นคู่วาสนา นางเป็นคู่พรหมลิขิตของข้า... ต่อให้เป็นเทวโลก โลกมนุษย์ หรือแม้แต่ภพปีศาจ ภพภูมิใด ๆ มิอาจแยกนางไปจากข้า..."

ในน้ำเสียงสั่นเครือ ผิดจากเทพผู้แข็งกระด้างเย็นชา ราวก้อนหินหนักมหึมาถ่วงก้อนเนื้อในอกซ้าย ร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวเพราะความจริง ซึ่งเขายังไม่ปักใจเชื่ออยู่ดี ไม่ว่าบิดาจะพูดอย่างไร

เทพอู่เฉินเคยคิดว่าหากนางหายไปก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด เขายังเคยกล่าวกับนาง

'...ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทพ หรือปีศาจ ต่างพบพานเพื่อจากลา'

"เมื่อใดที่กายทิพย์ของนางสูญสลาย ด้ายแห่งพรหมลิขิตบนข้อเท้าของเจ้าก็จะหายไปเช่นกัน เจ้าและนางถือว่าจบสิ้นลิขิตต่อกันในภพชาตินี้ ส่วนเจ้าจะได้พบนางอีกหรือไม่นั้น คงแล้วแต่วาสนาของเจ้ากับนาง ข้าขอโทษเจ้า แต่ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้า... ลูกชายข้า"

ปลายเสียงเข้มขรึม ดวงตาคมเข้มยังคงจดจ้องใบหน้าซีดเผือดไร้เม็ดสีของบุตรชาย

ฮ่าวหรานตระหนักรู้เป็นอย่างดีในครานี้ เรื่องคำทำนายของแม่เฒ่า เกี่ยวกับไฟบรรลัยกัลป์แห่งปีศาจอาจเผาผลาญทุกสิ่งบนเทวโลก ร้ายแรงกว่านั้น อาจลุกลามไปถึงโลกมนุษย์ มันกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

แม้เทพอู่เฉินยังคงนิ่งอึ้งมองบิดา ด้วยสีหน้าที่บอกว่าเรื่องเหล่านั้นโกหกทั้งเพ เทพมังกรอย่างฮ่าวหรานจะไปรู้เรื่องดีกว่าครึ่งปีศาจได้อย่างไร!

 

บุรุษเทพปีศาจผู้องอาจและสง่าผ่าเผยในอาภรณ์อันงดงามแปรเปลี่ยนร่างของตนเป็นอสรพิษ กลุ่มควันสีดำลอยหายไปจากเรือนของบิดามังกร พุ่งตรงลงบ่อน้ำมรกตพร้อมเสียงคำรามลั่นฟ้า

ณ เทวโลกชั้นดินในราตรีนี้ไม่มีแม้แสงดาราสาดส่องลงมา หยาดน้ำฟ้าร่วงหล่นเป็นสายจนทุกแห่งหนกลายเป็นสีขาวโพลน เวหาอบอุ่นกลับกลายเป็นเยียบเย็น ประหนึ่งหยาดน้ำตาแห่งความโศกเศร้าจากนภาลัย

"นั่นอะไร? เจ้าเห็นไหม เหลียนเหลียน" อาเป้ยหันไปถามเจ้าตัวเล็ก ขณะนั่งยองลงกับพื้นหญ้า เอามือทั้งสองข้างป้องหูของนางแต่ปากบ่นว่า "ข้าไม่ชอบเสียงโวยวายของเทพอู่เฉินเลย ข้าว่าน่ากลัวยิ่งนัก ทั้งที่ตัวข้าไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดมาก่อน"

พยัคฆ์อัคคีไม่เคยได้ยินเสียงกรีดร้องของปีศาจ เป็นครั้งแรกของมันเช่นกันจึงมองตามร่องรอยของไอสีดำมากมายเหล่านั้น ด้วยดวงตาวิเศษของมัน สามารถมองเห็นแม้ในความมืดสนิท

"เจ้าทำให้เทพอู่เฉินถูกท่านฮ่าวหรานต่อว่าแน่ ๆ ว่าแต่... เจ้าไม่โกรธท่านแล้วหรือ?" เหลียนเหลียนหันไปถามนาง อาเป้ยจึงเอามือที่ป้องปิดหูทั้งสองข้างออก ก้มหน้าลงมองเส้นสีแดงที่ผูกพันรอบข้อเท้าของนางเอาไว้กับบุรุษผู้หนึ่ง

"เพียงท่านเรียกชื่อข้า ขอให้ข้ากลับมาหาท่าน หัวใจกล้าแข็งของข้าก็เหลวละลายเป็นน้ำแล้วน่ะสิเหลียนเหลียน แล้วท่านพ่อ... บอกว่าท่านมีใจให้ข้า..." นางยิ้มออกมา ดวงตาคู่สวยทอดมองหนทางยาวไกล สุดสายตาของนางนั้นด้ายแห่งพรหมลิขิตจมหายลงไปในน้ำที่อสรพิษดำหายลงไป

"ข้าเข้าใจสตรีบนโลกมนุษย์แล้วล่ะว่าเหตุใดพวกนางจึงยอมฟังสามีไปเสียทุกสิ่งอย่าง แม้พวกนางจะถูกทุบตี ด่าทอสารพัด พวกนางถูกกระทำเยี่ยงสัตว์ ก็ยังยืนกรานว่าจะอยู่... เป็นสามีภริยา"

พยัคฆ์อัคคีได้ยินเข้าดังนั้นจึงหัวเราะนางเยาะเย้ยนาง

"ฮึ...! อาเป้ย ดูเจ้าซี ข้าเห็นเจ้าเอาแต่จับด้ายสีแดงหน้าระรื่น จะพยายามจับเท่าไรเจ้าก็จับไม่ได้ แถมที่เจ้าร้องไห้คร่ำครวญก่อนหน้านี้ เจ้าแสนจะน่ารำคาญ"

"ข้าเองก็คิดว่าเจ้าตอนพูดน้อย ๆ น่ารักน่าเอ็นดูมากนะเหลียนเหลียน"

นางถกเถียงสัตว์อสูร หัวใจบอบช้ำของนางเปรียบเสมือนต้นไม้ที่แห้งเฉาได้รับการรดน้ำพรวนดิน ให้กลับมาชุ่มชื้นมีชีวีตชีวาอีกครั้งหนึ่ง เทพอู่เฉินบีบข้อมือของนางจนเกิดรอยแดง มองนางด้วยสายตาเว้าวอนไม่ให้นางไปจากท่าน

แววตาของท่านแสดงออกว่ามิใช่การออกคำสั่ง เฉกเช่นน้ำเสียงก้าวร้าวปานนั้น เพียงปรารถนาจะบอกกับนางว่า... ขอร้องให้นางอยู่ข้างกายท่าน

นางก็เลยกลายเป็นหญิงประหลาด หลงใหลในความเจ็บปวดขึ้นมา ไม่รู้ตอนไหนอย่างไร...

"เจ้าบอกกับข้าว่าเทพอู่เฉินไม่สนใจผู้ใด แต่ท่านกลับมารับข้า ท่านไม่ให้ข้าไปจากท่าน"

"โอ้... ข้าว่าเจ้าน่าจะถูกพิษรักของปีศาจอสรพิษจนเสียสติไปแล้วล่ะ เจ้าอยากนั่งตากน้ำค้างแข็งตรงนี้ให้หนาวตายเจ้าก็นั่งไปเถอะ ข้าจะเข้าไปหลบข้างในเรือน อสูรอัคคีอย่างข้าไม่ชอบสถานที่หนาวเย็น"

พยัคฆ์อัคคีบอกนางซึ่งเหม่อหมองด้ายสีแดงด้วยรอยยิ้มเพลิดเพลินใจ นางจึงลุกขึ้นเดินตามมันเข้าไปในเรือนของเทพมังกร เพื่อหลบหยาดน้ำค้างที่ร่วงโรยลงมาจากฟากฟ้า

 

เวหาอันเยียบเย็นตลอดราตรีมีหยาดน้ำฟ้าโหมกระหน่ำ นภาลัยไร้แสงดารา ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทุกแห่งจนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเปลวเพลิงของพยัคฆ์อัคคีในเรือนเทพ

ปีศาจอสรพิษฝังร่างกายและจิตใจรุ่มร้อนเพราะความโศกเศร้าอาลัยอยู่ก้นบึ้งนทีสีมรกต แหล่งน้ำบริสุทธิ์ของเรือนเทพมังกรสามารถดับได้ทุกความร้อนบนเทวโลกแม้แต่ไฟกัลป์จากปล่องภูเขาไฟ เพลิงอัคคีปีศาจจึงไม่ส่งผลกระทบต่อเทวโลกชั้นดิน

ก็คงจะไม่มากนัก...

เพียงทำให้สถานที่โล่งกว้างแจ่มใสเกิดปรากฏการณ์ราวกับว่าเป็นมหันตภัยบนโลกมนุษย์ ทั้งที่เทวโลกชั้นดินไม่เคยเกิดบรรยากาศแปรปรวน แม้แต่พิรุณเกรี้ยวกราดก็ยังไม่เคยมี

ร่างอสรพิษวนเวียนอยู่ใต้ผืนน้ำหนึ่งราตรี จึงตั้งสติระลึกตนให้คลายหายจากอาการเศร้าหมอง กลุ่มควันสีดำลอยขึ้นสูงจากบ่อน้ำ พุ่งตรงเข้ามาในเรือน ปรากฏเป็นร่างบุรุษกำลังชะโงกคอมองหาสตรีนางหนึ่ง

เห็นว่านางเพิ่งออกไปวิ่งเล่นชมทัศนียภาพอันสวยงามประสานาง แต่ก็เพียงไม่นาน นางคงกลัวว่าคนข้างในเรือนจะเป็นห่วงนาง จึงรีบกลับเข้ามา พบบุรุษในอาภรณ์สีดำเปียกปอนหวนคืนกลับมายืนอยู่ตรงหน้า