"ท่านแม่ของเจ้าอย่างไรเสียก็เลี้ยงดูเจ้ามา ไหนจะอุ้มครรภ์เจ้า เจ็บปวดทรมานปานร่างจะแตกเป็นเสี่ยงเพราะคลอดเจ้า ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นงานยากอย่างใหญ่หลวง นางไม่เคยปริปากบ่นแม้สักคำ นางมีจิตใจกล้าหาญยิ่งเสียกว่าตัวข้าผู้เป็นมังกรสวรรค์..."
บิดามังกรไม่เคยกล่าวว่านางเฟยอี๋ต่อหน้าบุตรชาย ออกจะเศร้าเสียใจ สำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงไป ยิ่งเวลานี้ ได้อยู่กันตามลำพังหลังจากที่ไม่ได้พบหน้ามานานนับร้อยปี
สองบุรุษเทพนั่งสนทนากันบนเก้าอี้ไม้สนแดงสลักมุกลายมังกร จิบชาจากถ้วยดินเผาสีขาวสะอาด
ผู้เป็นบิดาสวมอาภรณ์สีฟ้าปักด้วยดิ้นทองลวดลายมังกรงานประณีต มีเครื่องประดับบนมวยผมดูเป็นทางการเล็กน้อย ผ้าคาดเอวสีทองอร่าม บิดามังกรไม่ถึงกับแต่งตัวเต็มยศเช่นตอนพำนักอาศัยเป็นบุรุษเทพบนเทวโลกชั้นฟ้า เพียงสวมอาภรณ์งดงามกว่าทุกวัน ส่วนบุตรชายนั้นสวมอาภรณ์สีดำสนิท ปักด้วยด้ายสีทองเป็นลวดลายอสรพิษ
ฮ่าวหรานเลื่อนมือไปตบบ่าบุรุษร่างสูงใหญ่ข้างกาย เพื่อปลอบประโลมหาใช่ตำหนิติเตียน
"อย่างไรเสียเจ้าอย่าได้ชื่นชอบงานสนุกสนานรื่นเริง แผดเผาทุกสิ่งเช่นท่านแม่ของเจ้า หากไม่มีเหตุจำเป็น ก็อย่าได้ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนบ่อย ๆ ก็แล้วกัน"
"ท่านพ่อโปรดให้อภัยข้า วันหน้าวันหลังข้าจะระวัง ข้าจะไม่ใช้พลังปีศาจอีก"
"ข้าไม่ได้ห้ามเจ้าไม่ให้ใช้ เพียงแต่เจ้าต้องรู้จักที่จะควบคุมมัน พลังนี้คือชีวิตของเจ้าเทพอู่เฉิน เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เพื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์"
"ข้ามองไม่เห็นว่าพลังแห่งการทำลายจะมีประโยชน์อันใด"
"พลังของเทพหรือปีศาจล้วนมีอำนาจในตัวของมัน เจ้ายังเข้าไม่ถึงพลังแห่งหยิน พลังแห่งความมืดและการทำลาย เจ้าจึงไม่เห็นว่ามันมีประโยชน์"
เทพอู่เฉินรับฟังการอบรมสั่งสอนจากบิดาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และจริงดังนั้น ตัวเขาไม่สามารถเข้าถึงสัจธรรมของพลังหยิน เขาไม่เคยเห็นประโยชน์ของพลังแห่งการทำลายแม้สักน้อย
ใบหน้าคมคายมองออกไปข้างนอก ถัดจากบานประตูสลักลายมังกรที่เปิดอ้ากว้าง ท้องฟ้าแจ่มใสสว่างไสวกว่าในเทวโลกชั้นน้ำ พื้นที่โดยรอบปกคลุมด้วยไอหมอก เรือนของบิดามังกรตั้งอยู่เหนือพื้นดิน ล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นดิน ภพภูมินี้อยู่ระหว่างภพภูมิลับแลและสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เทพอู่เฉินยังคงคิดถึงนาง... ผู้อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ...
หนึ่งสตรีผู้งดงามประหนึ่งธิดาบนสวรรค์ หนึ่งสัตว์อสูรกำลังเที่ยวชมดอกไม้ใบหญ้าหลากสีสัน หมู่วิหคเหินหน้าตาแปลกประหลาดต่างจากโลกมนุษย์ยังมีอินทรีพูดได้ สมบัติหลายสิ่งในเรือนบิดามังกรน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับอาเป้ยผู้ไม่เคยเหยียบเยือนเมืองเทพ นางดูสดชื่นแจ่มใส สนใจใคร่รู้ไปเสียทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งเรือนไม้สีแดงรายล้อมรอบด้วยนทีสีทองสลับไปกับสีมรกต หมู่มัจฉาแหวกว่ายอยู่ข้างใต้เรือนแห่งนี้ นางวิ่งเล่นไปทั่วกับพยัคฆ์อัคคีของนาง
ตรงข้ามกันกับบุรุษเทพปีศาจ...
ถึงแม้ว่าเขาจะได้ตัวนางกลับมา นางยอมกลับมาพำนักอาศัยใต้อาณัติของเขาอีกครั้ง ความรู้สึกเศร้าหมองเกาะกุมจิตใจเทพอู่เฉินอยู่ทุกชั่วขณะ
一见如故
พึ่งพานพบแต่รู้สึกรู้จักกันมานาน
ความรู้สึกที่มีต่อนางแต่คราแรกพบสบตาบนผืนน้ำสีมรกตบนเทวโลก สตรีนางหนึ่งเหยียบยืนบนอุ้งมือใหญ่โอฬาร ด้วยแววตากล้าหาญสมเป็นนาง
การได้ค้นพบความจริงครานี้ไขข้อข้องใจหลายอย่าง แต่ทว่า...
'อาเป้ย... บัดนี้ข้าเป็นเทพปีศาจผู้ไม่เหมาะสมกับความรัก ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้า...'
"ข้ากำลังสงสัยว่า... เจ้าจะบังคับจับกุมนางไว้เพื่อการใด นางอยากไปก็ให้นางไป เจ้าควรมอบอิสระให้นาง"
ถ้อยคำของบิดาเรียกให้หลุดพ้นจากภวังค์ เทพอู่เฉินจึงละสายตาจากสตรีเบื้องหน้า
"อาเป้ย... นางงดงามถึงเพียงนี้ ไม่มีทางที่นางจะรอดพ้นภยันตรายในภพภูมิเทวโลก นางจะไปกินนอนที่ใด จะไปซุกตัวหลบฤดูเหมันต์อันหนาวเหน็บที่ใดหากมิใช่เรือนข้า แม้แต่หยาดฝนหยดลงบนกายนางก็อาจจะทำให้นางไม่สบายตัวได้ ไหนจะเหล่าปีศาจ บุรุษเทพตั้งมากมาย เพียงพบนางต่างก็หมายปองนาง แต่นางแสนจะไร้เดียงสา ไม่รู้จักสัญชาติบุรุษ"
"เรือนข้ายังว่าง ข้าดูแลนางให้ดีไหมเล่า เจ้ายังมีภาระหน้าที่การงานต่างจากข้าผู้ถูกปลดจากการงานของเทพทุกอย่าง ข้าเป็นบุรุษเทพซึ่งไว้วางใจได้อย่างแน่นอน"
"ไม่ได้ ข้าเกรงว่านางจะทำตัวไม่งาม ท่านอาจถูกคำติฉินนินทาจากเหล่าเทพ... ท่านพ่อ..."
"ข้าเป็นผู้ปลีกวิเวก พ้นจากการเป็นเทพมานานแล้วจึงไม่ถือสาผู้ใด ข้าอยู่เรือนนี้ออกจะสุขสบาย ไร้เรื่องเป็นทุกข์เป็นกังวลใจ เจ้าดูซี... กระทั่งต้นไม้ดอกไม้ในเรือนข้า ท่านราชาแห่งสวรรค์ยังนำเมล็ดพันธุ์มาให้ด้วยตนเอง นางอยู่เรือนข้า นางคงสุขสบาย"
ถ้วยชาในมือซึ่งถูกวางลงบนจานรองถ้วยปรากฏกลุ่มควันสีดำ เทพอู่เฉินเพิ่งปลดปล่อยพลังปีศาจในร่างอสรพิษไปมาก ถูกยั่วยุด้วยถ้อยคำของบิดา จำต้องใช้ความพยายามสงบจิตสงบใจด้วยการไม่พูดตอบแม้สักคำเดียว ทว่าท่าทีโกรธขึ้งบึงตึงจนมือสั่น ขบฟันกัดกราม พาลพาให้บิดามังกรหัวเราะออกมา
"ฮ่า ๆ เทพอู่เฉิน คิดหรือว่าข้าไม่รู้ ลูกชายข้า... ข้ารู้ว่าเจ้าน่ะคิดอะไร แต่เจ้ารู้หรือไม่ นางเป็นเพียงสมบัติของเทพปีศาจ เป็นเครื่องบรรณาการจากมนุษย์ นางไม่ได้มีอายุยืนนานเช่นพวกเราเหล่าเทพ"
ถ้อยคำของบิดาในเรื่องซึ่งเขาไม่รู้มาก่อน ฉีกหน้าผู้เป็นเจ้าของสมบัติเทพปีศาจ สิ่งที่เทพมังกรพูดจึงไม่น่าเชื่อถือสำหรับเขา
"เป็นไปได้อย่างไรท่านพ่อ ท่านเอาสิ่งใดมาพูด?"
"เพราะนางมีลมหายใจ มีจิตวิญญาณ มิใช่สมบัติทั่วไป เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง กายทิพย์ของนางจะสูญสลายกลายเป็นเถ้าควัน เช่นเดียวกับสมบัติของท่านแม่ของเจ้า"
เทพอู่เฉินส่ายหน้าไปมา มันจะเป็นไปได้ยังไง! มือกระแทกวางถ้วยชาลงบนโต๊ะสลักมุกในเรือนบิดาแล้วหันไปพูดย้ำ "ท่านพ่อ... ข้าเป็นครึ่งปีศาจแต่ท่านเป็นเทพ ข้าอยู่กับท่านแม่มาโดยตลอด เครื่องสังเวยจากมนุษย์ก็ตั้งมากมาย ข้าไม่เคยพบสมบัติชิ้นใด..."
"ฟังข้าให้ดี เทพอู่เฉิน เจ้าต้องฟังพ่อ" ในน้ำเสียงเข้มขึ้น ฮ่าวหรานไม่อยากบอกเรื่องนี้กับบุตรชายนัก ทว่าเป็นภาระหน้าที่หนึ่งเดียวซึ่งเขาต้องรับผิดชอบ
นี่เป็นความจริง...
"ข้าเคยพบเห็นมาก่อนตอนข้าลงไปเผชิญด่านเคราะห์ ได้อยู่กินกับนางเฟยอี๋บนโลกมนุษย์ ตอนนั้นข้าเริ่มเกิดความสงสัยว่านางไม่ใช่สตรีธรรมดาเมื่อนางได้รับบรรณาการจากเพื่อนบ้าน ครั้งหนึ่งเป็นสุนัข อีกครั้งหนึ่งเป็นสตรีข้ารับใช้ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไม่อยู่เป็นการถาวร ไม่นานก็หายไป อาเป้ยคงเป็นเช่นเดียวกัน แต่หากเป็นบนเทวโลก... ข้าให้เต็มที่ไม่เกินหนึ่งร้อยราตรีกาล"
เปลวไฟลูกหนึ่งปรากฏขึ้นนัยน์ตาสีแดงฉาน เทพปีศาจส่ายหน้าไปมาอย่างเชื่อหู
ไม่… นี่ไม่ใช่เรื่องจริง!