Chapter 31 - 11-1 迷路的人 มนุษย์ผู้หลงทาง

"...มาถึงภพภูมิลับแลทั้งที ข้าว่าควรถือโอกาสไปพบแม่เฒ่าผู้ทรงศีลที่เหล่าอสูรพูดถึงดูสักครั้ง ข้าใคร่อยากรู้อนาคตในกาลหน้าของข้านัก เหลียนเหลียน เจ้าเป็นผู้รู้เรื่องราวของเทวโลกมากกว่าข้าควรให้ความช่วยเหลือข้า"

อาเป้ยหันไปทวงถามความช่วยเหลือเจ้าตัวเล็กบ้างด้วยความที่นางเป็นฝ่ายดูแลมันมาตลอด ขณะกระโจนกายไปข้างหน้า ทั้งสี่ขาของพยัคฆ์อัคคีเคลื่อนไหวว่องไว ไม่ทิ้งห่างจากนางมากนัก กายของมันพลันหายไปดังความไวแสง จากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง เป็นนางเสียอีกต้องใช้วิทยายุทธ์ซึ่งฝึกปรือมาชั่วชีวิตเร่งตามมันให้ทัน

สมเป็นสัตว์อสูรในตำนาน พยัคฆ์อัคคีแข็งแกร่งดังเช่นเทพอู่เฉินเคยบอกกับนางว่ามันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงคลายเหงาบนโลกมนุษย์ นางไม่จำเป็นจะต้องอุ้มกอด ร้องเพลงกล่อมมันเยี่ยงนั้น

"เดิมทีภพภูมิลับแลเป็นสถานที่ของผู้ทรงศีลผู้บำเพ็ญเพียร แสวงหาทางไปสู่นิพพานภูมิ แม่เฒ่าคงอยู่ละแวกนี้ หากข้าจำไม่ผิด ที่พักอาศัยของนางไม่ไกลจากใต้ต้นจื่อเถิง"

"ดีล่ะ... หลังจากที่ข้าได้คำตอบของข้าแล้ว ข้าจะหาสถานที่เงียบสงบบำเพ็ญเพียร ไม่เช่นนั้นก็หาเรื่องบันเทิงใจทำไปเรื่อยเปื่อยประสาข้า"

"...หลังจากนั้นเล่า เจ้ามีแผนการอย่างไร?"

"ข้าอาจหาสักหนทางติดต่อท่านแม่ของข้า บอกกับท่านว่าข้าสบายดี ไม่ต้องห่วงใยข้า"

"ข้ากำลังหมายถึงเทพอู่เฉิน เจ้าจะทำอย่างไรกับท่าน?"

"ชีวิตของข้าไม่จำเป็นต้องมีเทพอู่เฉิน ข้าไม่ใช่สมบัติเทพปีศาจอีกต่อไป ข้าอาจใช้คมกระบี่กรีดใบหน้าของข้าแก้ไขปัญหานี้ เมื่อใดข้าไม่เป็นสมบัติอันงดงาม ดันรูปลักษณ์อัปลักษณ์ไปเสีย เทพอู่เฉินคงไม่มาไยดีข้าอีก"

"เทพอู่เฉินไม่มีวิสัยที่จะสนใจผู้ใดนัก ท่านเป็นเทพผู้รักสงบ ข้ามีความเห็นว่าท่านคงจะละความพยายามตามหาตัวเจ้าแล้วกลับเรือนของท่านไปเอง... เจ้าไม่ควรทำลายใบหน้าอันงดงามของเจ้า..."

ดวงตาสว่างใสของอาเป้ยเปล่งประกาย นางลอบมองพยัคฆ์อัคคีตัวน้อยอย่างชื่นชม ดีใจที่มันห่วงใยนาง

กายพยัคฆ์ห่อหุ้มด้วยเปลวอัคนีลุกโชติช่วง ข้ามผ่านสายนทีสีครามลำธารอันงดงาม อัคคีรอบกายมันก็พลิ้วไหวดังเปลวเทียนทว่าไม่มีวี่แววจะดับมอดลง นางกระโดดข้ามต้นไม้นานาชนิดหลากหลายสายพันธุ์ในป่าทึบ มันยังปฏิบัติตนเป็นผู้นำทางที่ดี

การที่นางได้โลดแล่นในยุทธจักรกับเหลียนเหลียน พอจะทำให้ลืมเลือนเรื่องเศร้าหมองลงบ้าง นางยังได้ยินพยัคฆ์อัคคีเล่าว่าอาศัยอยู่ภพภูมินี้มาก่อนย้ายถิ่นฐานไปพร้อมมารดา จึงชำนาญเส้นทางพอสมควร

รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าหวานงาม เมื่อมิตรภาพระหว่างอสูรตัวน้อยดื้อด้านทำเย่อหยิ่งจองหองกับนางมาโดยตลอด เลื่อนขั้นขึ้นมาในอีกระดับ

"วันนี้เจ้าพูดเยอะนะเหลียนเหลียน ข้าดีใจที่เจ้ายอมรับในตัวข้า... ข้าขอบใจ..."

ไม่ทันขาดคำดี!

อสุนีบาตฟาดลงบนยอดไม้ที่หักหล่นลง เฉียดใบหน้าของนางไปนิดเดียว เจ้าตัวเล็กวิ่งเร็วไปสักหน่อยจึงเกือบพลาดตกลงบนพื้นดินข้างล่าง นางฟาดฝ่ามือใช้เวทสีทองพันธนาการมันเอาไว้แล้วดึงมันเข้ามาในอ้อมแขน ปล่อยมันให้เป็นอิสระอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่ต่างคนจะออกวิ่งต่อไปโดยไม่หยุดพักสักพริบตาเดียว เหลียนเหลียนหันมาเตือนนาง

"แย่แล้ว! อาเป้ย เทพอู่เฉินผงาดกรงเล็บรอฉีกร่างเจ้าอยู่ข้างบนนั้น ท่าทางเตรียมพร้อมสังหารเจ้าทีเดียว เราต้องรีบไปให้เร็วกว่านี้"

"เจ้าก็พูดเกินไปเหลียนเหลียน... ข้าเคยพบเทพอู่เฉินในร่างอสรพิษไม่รู้ต่อกี่ครั้งกี่หน... ไม่มีเรื่องใดให้ต้องหวาดกลัว"

อาเป้ยยังคงใจเย็น ทว่าเพิ่มความเร็วขึ้นอีกเมื่อเหาะเหินขึ้นเวหา นางเงยหน้าขึ้นมองอสุนีบาตฟาดลงมาใส่พรรณพฤกษา กระโจนกายไปข้างหน้าด้วยการเหยียบกิ่งไม้แล้วพุ่งตัวออกไปในลักษณะสลับฟันปลา เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงอุปสรรค

"ปีศาจจำแลงกายกลับร่างเดิมเมื่อใดก็ย่อมได้ แต่จะไม่ปล่อยพลังปีศาจออกมา เจ้าดูนั่นสิ ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉานดังโลหิต หมายความว่าท่านกำลังใช้พลังปีศาจของนางเฟยอี๋ เทพอู่เฉินเวลานี้อาจเผาทั้งลับแลภูมิเพราะเจ้าคนเดียว..."

อาเป้ยตกใจหน้าตาตื่น เรื่องเผา! ตามองเปลวอัคคีลุกลามไปทั่ว นางยังต้องคอยระวังให้เจ้าตัวเล็กด้วย

"ไม่ใช่พลังของท่านรึ!? ตกลงว่าเป็นเทพหรือเป็นปีศาจแน่"

"ก็ครึ่งเทพครึ่งปีศาจยังไง"

"นั่นไงเล่า... แปลว่าเป็นปีศาจน่ะสิ! ทำไมพวกเจ้าเยินยอยกย่องท่านว่าเทพอู่เฉิน"

"ก็ท่านเป็นเทพมากกว่าเป็นปีศาจ เจ้าเข้าใจอะไรยากนักหนา!"

"ไม่ใช่ ๆ ตอนนี้ท่านกลายเป็นปีศาจเฟยอี๋ไปแล้ว! ก็เห็นอยู่ว่านี่ปีศาจไม่ใช่เทพ! ท่านจอมปีศาจกำลังแผดเผาผืนป่าแห่งนี้"

"อ้อ ใช่ เผาเจ้ากับข้าไปด้วย เราสองจะได้ตายโดยไม่มีแม้ดินกลบฝัง ข้าล่ะปวดหัวกับเจ้า! อาเป้ย... เจ้าอย่ามัวแต่พูด เจ้าวิ่งเร็ว ๆ เร็วเข้า"

พยัคฆ์อัคคีขยับเท้าทั้งสี่ของมันออกวิ่งอย่างสุดกำลังไม่สนใจนางอีก ขณะที่เปลวอัคคีลูกใหญ่ตามหลังมารวดเร็วเกินความคาดหมาย เทพอู่เฉินดูจะโกรธนางจริง ๆ อย่างที่นางไม่คาดคิดมาก่อน เสียงเข้มขรึมดุดันคอยเอ่ยเรียกชื่อนางอาเป้ย ๆ บังคับข่มขู่นาง

"อาเป้ย! เจ้าอยู่ที่ใดไม่ได้ทั้งนั้นโดยไม่มีข้า เจ้าต้องกลับมา"

เทพปีศาจส่งเสียงโวยวายบนท้องนภา ทว่ากลับจะย่างสดนางกับเจ้าเหลียนเหลียนในป่าลึก! ทั้งที่ท่านเป็นคนเอ่ยปากไล่นางให้ไปให้พ้นท่านเสีย แม้แต่เปลวอัคคีมากมายนั้นยังคงอยู่ข้างหลัง ต้นไม้ใบไม้หักหล่นลงมาให้นางต้องหลบซ้ายขวาอยู่ขณะ

ในที่สุดนางก็มาจนสุดทาง ปลายเท้าของนางสะดุดลงเหยียบหินก้อนสุดท้าย เบื้องหน้าเป็นพื้นพสุธาอันเวิ้งว้าง ปกคลุมด้วยหมอกเมฆา

"ที่นี่แหละ..."

"นี่มันหน้าผา!"

พยัคฆ์อัคคีไม่พูดอะไรต่อ มันกระโดดลงจมหายไปในกลุ่มหมอก หายไปต่อหน้านาง จึงหันคอมองซ้ายขวาอย่างลังเลใจ แต่ในเมื่อมีทางเลือกมากมายเสียเมื่อไร นางจำต้องกระโดดลงเหวตามมันไป