"เทพอู่เฉิน... ไยท่านทำร้ายจิตใจข้า ย่ำยีข้าจนไม่เหลือแม้ศักดิ์ศรี ท่านเพิ่งมีสัมพันธ์กับข้ากลับหมางเมินข้า"
"ห้วงนิมิตของปีศาจและอสูรไม่ใช่ความจริง เป็นเพราะจิตใจฟุ้งซ่านหมกมุ่นในราคะตัณหาจึงสร้างโลกอีกใบขึ้นมา ในแรกเริ่มก็ยังจะไม่ใช่ปัญหา สามารถทำลายมันได้"
"เจ้าเป็นอสูร รู้เรื่องพรรค์นี้ดี เพียงแต่เจ้ายังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องความรู้สึกของบุรุษและสตรี..." ริมฝีปากสั่นระริกเม้มปิดสนิทแน่นพลันคลายออก "เทพอู่เฉินเป็นบุรุษคนแรกของข้า ต่อให้เป็นนิมิตหรือความจริง ข้าก็ยินยอม... เป็นของท่าน ข้ามีความรู้สึกต่อท่านมากมายนัก ข้าจึงเสียใจเช่นนี้"
นางเอาเรื่องเอาความกับพยัคฆ์อัคคีทั้งน้ำตานองหน้า มันไม่เข้าใจนางเลย ไม่มีวันที่มันจะเข้าใจ...
"ข้าถึงได้บอกเจ้าว่าเป็นภาพลวงของปีศาจ เจ้าเข้าใจอะไรยากนักหนานะอาเป้ย"
"ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน ข้าคงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับปีศาจใจดำอย่างท่านไม่ได้อีก หัวใจของข้าอาจแหลกสลายเสียก่อนที่ข้าจะได้สิ้นลมหายใจไปตามธรรมชาติ ข้าเจ็บข้าปวด... ตรงนี้... ข้างในอกข้า... เทพอู่เฉิน ข้าเกลียดหน้าท่านนัก"
นางไม่เลิกคร่ำครวญจนพยัคฆ์อัคคีสะบัดศีรษะใส่นาง มันแสนจะเอือมระอานางเพราะนางพูดไม่รู้ความ! ไม่สมเป็นนางเลย นางเป็นสตรีเฉลียวฉลาด ไม่เคยทำตัวไร้เหตุผลร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดหย่อนเช่นนี้
กว่าอาเป้ยจะตั้งสติกลับมาเพื่อหาหนทางออก เมื่อนางคงไม่อยากวนเวียนอยู่ในถ้ำพร้อมความเจ็บปวด กับอสูรตัวน้อยตนนี้ นางจึงปาดน้ำตาบนแก้มร้อนผ่าว พลันนึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์
'เหนื่อยก็พัก... เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะพัก มิใช่ว่าล้มเลิก'
นางนั่งลงบนแท่นหินใหญ่ พักเหนื่อยสักครู่หนึ่ง หลับตาลงนิ่ง ๆ ใช้ความคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไป ไม่นานนัก เพียงนึกถึงแสงสว่าง เมตตาของท่านอาจารย์ผู้นำทางแห่งแสงให้เสมอ อาเป้ยลุกขึ้นเดินไม่กี่ก้าว นางพบแสงประหลาดสะท้อนขึ้นมาจากเบื้องล่าง
ก็นางมัวแต่มองไปข้างหน้าโดยไม่ได้มองบนซอกพื้นเล็ก ๆ ยังไงเล่า นางจึงไม่เห็นมัน
"นั่นอะไร?"
พยัคฆ์อัคคีตะโกนออกมาอย่างดีใจ "เรารอดแล้วอาเป้ย! เราพบประตูทางออกไปเทวโลกแล้ว แต่จะเชื่อมต่อไปที่ใดนั้นข้าคงไม่รู้"
กว่าเทพอู่เฉินจะฉุกใจคิดได้ว่าพูดจารุนแรงกับนาง ก็สายไปเสียแล้ว นางเสียใจมากมายเท่าไร สำหรับเขาคงเท่ากัน
นัยน์ตาคู่คมจ้องมองภาพเหล่านั้นผ่านดวงตาของพยัคฆ์อัคคี นางเฝ้าคร่ำครวญว่าเขาใจไม้ไส้ระกำนักหนา ส่งเสียงร้องไห้เสียดังลั่นถ้ำ ไม่มีทางที่เขาจะไม่ได้ยิน แต่เพียงหานางไม่พบจนนางกระโดดเข้าไปในหลุมกลมสีฟ้าประกาย โดยไม่คิดถึงชีวิตของตนเลย
เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึไงอาเป้ย!
เทพอู่เฉินบริภาษนางในใจ สีหน้าท่าทางเกรี้ยวกราด จิตใจรุ่มร้อนคราคิดถึงนาง
ผิวละเอียดราวหยกขาวของนางไร้รอยแผล ให้สัมผัสนุ่มนวลไปทั่วทุกอณู ส่งกลิ่นหอมเย้ายั่วอย่างมีเอกลักษณ์จนสามารถรับรู้ได้ว่าเป็นนาง แม้กลิ่นของมวลบุปผานานาชนิดบนเทวโลก หาได้มีกลิ่นใดหอมทัดเทียมเปรียบเนื้อนางได้แม้สักน้อย
สุ้มเสียงครางหวานราวเสียงพิณวิเศษบนสรวงสวรรค์ ใบหน้าพริ้มพรายยามถูกสัมผัสร้อนแรง เร้าอารมณ์บุรุษถึงเพียงนั้น ไม่มีทางที่เทพปีศาจผู้นี้จะลืมเลือน การได้มีสัมพันธ์เพียงครั้งกับนางแม้เป็นนิมิตของปีศาจ ประกอบกับความฝันของนางเอง ราวกับว่านางมีชีวิตอยู่ในลมหายใจ
ขนาดครึ่งอสรพิษยังคิดทำมิดีมิร้ายกับนาง ปีศาจอสูรตนอื่นหรือจะปล่อยให้นางรอด!
"ขืนปล่อยเจ้าไปเผชิญชีวิตเพียงลำพัง ทั้งเทพทั้งปีศาจได้แห่กันมาหาเจ้าน่ะสิอาเป้ย เจ้าจะได้สานสัมพันธ์ประหลาดกับปีศาจสมใจเจ้าแน่..."
ตอนนี้นางยังเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหลบหนี ยิ่งคิดก็น่าโมโห ทั้งวาจาร้ายกาจของตน ทั้งความดื้อรั้นของนาง
เทพอู่เฉินข้ามผ่านประตูแห่งเทวโลกตามหลังนางมาอย่างทันท่วงที จึงตกลงในสถานที่เดียวกัน ทว่านางคงรับรู้ได้ จึงเร่งฝีเท้าไปให้เร็วกว่าเดิม
ก็นึกว่าจะเป็นที่ใด...
โสตประสาทสัมผัสรับรู้ถึงสถานที่อันอุดมสมบูรณ์ เหนือทุ่งหญ้าเขียวขจี ใบหน้าเข้มเครียดก้มลงมองหมู่มวลบุปผาหลากสีสัน ขยับปลายจมูกสูดดมกลิ่นหอมอ่อนของมัน เพื่อตามหากลิ่นของสตรีนางหนึ่ง เมื่อไม่เป็นผลจึงกลายร่างเป็นปีศาจอสรพิษอีกครั้ง
เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งกว่าในร่างเทพเสียอีก หากว่าใช้พลังปีศาจเพื่อตามหานาง
เทพอู่เฉินมีพลังของนางเฟยอี๋ ปีศาจอสรพิษผู้แข็งแกร่งที่สุดในทุกภพภูมิ พลังของนางเทียบเท่าพลังของราชาแห่งสวรรค์แต่เป็นพลังในด้านตรงข้ามกัน เป็นพลังอันมืดสนิทมีไว้เพื่อทำลายล้าง นางมีพลังมากมายมหาศาล
เทพอู่เฉินมีส่วนเดียวที่เหมือนบิดาคือกรงเล็บมังกร พลังมังกรดันมีไม่มากนัก ต้องบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก ฝึกปรือเพื่อเข้าถึงพลังแห่งเทพมังกร เรียนรู้การใช้เวทเซียนของฝ่ายเทพ ถึงแม้ว่าทุกครั้งปล่อยพลังออกมาจะกลายเป็นสีดำไปเสียหมด เขายังคงไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
นัยน์ตารุธิระของปีศาจอสรพิษกำลังมองหาสมบัติของตนจากน่านฟ้า เพลิงอัคนีเผาผลาญอยู่ภายในดวงเนตรอันน่ากลัวแปรเปลี่ยนเป็นพลัง
สัมผัสรับรู้ทุกสรรพสิ่ง...
ตรีเนตรเปรียบเสมือนขุมพลังของจ้าวอสรพิษ
แม้แต่วิหคบนท้องฟ้า ฤๅษีผู้นั่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขาสูงชัน ผีเสื้อ มด แมลงตัวเล็ก ๆ ใต้พสุธาอันสมบูรณ์ แม่น้ำลำธารมีหมู่มัจฉาแหวกว่ายอย่างสำราญใจท่ามกลางธรรมชาติ
สตรีนางหนึ่งตั้งใจขยับเท้าก้าวกระโดดขึ้นเวหาเคียงข้างเจ้าพยัคฆ์อัคคีอย่างสุดกำลัง
ด้วยเนตรแห่งปีศาจคู่นี้ นอกเสียจากมองเห็นนาง ยังเห็นบิดามังกรอยู่ห่างไปไม่กี่ภพภูมิเทวโลก
'ก่อนอื่นต้องจับตัวนางกลับมา ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอันใด ข้าจะได้บอกเรื่องนี้กับท่านพ่อด้วยตนเอง'
เทพอู่เฉินคิดแน่วแน่ในร่างปีศาจอสรพิษ พลังสีดำหุ้มอยู่เต็มรอบกาย กรงเล็บมังกรผงาดกางในเวหาสีคราม ตราบจนกระทั่งสาดประกายตาแดงฉานลงบนพื้นหญ้าเบื้องล่าง
'ดอกหมู่ตานดอกเหมยกุ้ยฮวาหลากสีสัน เบ่งบานเช่นนี้ ช่างสวยงามยิ่งนัก...'
กระนั้น เทพปีศาจกลับทำให้บุปผชาติละลานตาจมหายไปในเปลวอัคคี
เมื่อนัยน์ตารุธิระพาลพาให้นภากว้างขวางทอประกายดั่งสีโลหิต เสียงคำรามของอสรพิษสร้างอสุนีบาตฟาดลงบนแมกไม้ ปรากฏเพลิงอัคคีลุกท่วมไปอย่างรวดเร็ว
เทพอู่เฉินไม่สามารถควบคุมพลังได้เช่นเจ้าของพลังที่แท้จริง ที่ผ่านมาก็แทบไม่เคยใช้มันเลยสักครั้ง เขาคงได้แต่หวังว่าจะจับตัวนางกลับมาได้เสียก่อนเนตรอัคคีปีศาจเผาผลาญไปทั่วทุกแห่งหนบนเทวโลกภพภูมินี้...