Chapter 29 - 10-2 无情的恶魔 ปีศาจไร้หัวใจ++++++

แก้มแดงก่ำราวลูกตำลึงสุกทำให้บุรุษเทพเลือดขึ้นหน้า! นัยน์ตาก้าวร้าวบันดาลโทสะ หวงแหนนางแม้แต่กับตนเอง

เทพอู่เฉินต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่แตะต้องนาง ไม่... แม้แต่จะมองหน้านาง เมื่อผลัดเกล็ดสีนิลใหม่แล้วกลับร่างเป็นบุรุษเทพ นั่งพิงแผ่นหลังไว้กับก้อนหินที่ซ้อนกัน รับรู้ได้ถึงพลังเวทประหลาดอันนำพาอารมณ์ร้อนรุ่มกำหนัด

มันน่าจะมาจากไอหมอกเหล่านี้เป็นแน่...

ภายในถ้ำอับชื้นไร้หนทางออกปรากฏไอควันสีขาวลอยละล่องไปทั่ว เพียงสูดดมเข้าไปก็สามารถทำให้ทุกสรรพสิ่งหลับใหลในห้วงนิทรา ขนาดเทพปีศาจผู้แข็งแกร่งยังได้รับผลกระทบ ด้วยความที่จิตใจในร่างอสรพิษเดิมทีเป็นปีศาจแห่งไฟ เรื่องราคะก็ไม่ได้น้อยไปกว่าปีศาจอสูรตนไหนจึงสร้างนิมิตขึ้นมา

มีเพียงพยัคฆ์อัคคีตัวน้อย มันยังอยู่ในวัยเด็กบริสุทธิ์จึงล้มตัวลงนอนหน้าตานิ่งเฉย ต่างจากสตรีอีกหนึ่งนาง เป็นผู้อยู่ในอายุวัยที่มีสามีได้

อาเป้ยขยับขาที่ชนชิดติดกันของนาง ส่งเสียงครางหวานออกมาอย่างไร้สำนึกรู้ พลันสะดุ้งตื่นมองบุรุษเทพปีศาจ นางยังคงหอบหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อม

"นั่นเป็นเพียงนิมิต ไม่ใช่โลกความจริง ข้าไม่ควรใกล้ชิดเจ้าอีกต่อไปอาเป้ย ครึ่งหนึ่งของทั้งร่ายกายและจิตใจข้าเป็นปีศาจอสรพิษ เจ้าควรอยู่ให้ห่างจากข้า"

อาเป้ยปรือตามองเทพปีศาจผู้เกือบจะได้เสียกับนางในนิมิต นางได้สติกลับมาบ้าง เมื่อมองสีหน้าเคร่งเครียด ครบถ้วนด้วยสติสัมปชัญญะของท่าน แสนจะน่ากลัว...

นางกลัวว่าเทพอู่เฉินจะหมางเมินนางอีก นางคงรับเรื่องนี้ไม่ไหว

"แต่ข้า... ข้า... ไม่มีคนมาคอยกวนใจข้า ข้ารู้สึกว่ามันช่างเงียบเหงา..."

"ข้าไม่ใช่มิตรสหายที่จะคอยเที่ยวเล่นกับเจ้า ข้าเป็นบุรุษเทพปีศาจ ครึ่งหนึ่งก็ยังฝักใฝ่ในราคะตัณหาเช่นปีศาจ ข้าจำต้องบำเพ็ญเพียรให้มากเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้น มิอาจล่วงเกินสตรีด้วยกระแสจิตเยี่ยงนี้"

"ข้าไม่เคยนึกรังเกียจท่านแม้สักครา ไม่ว่าท่านจะเป็นเทพหรือปีศาจ ข้ายินดีตามใจท่าน ขอเพียงให้ข้าได้อยู่เคียงข้างท่าน ได้นั่งพูดคุยกับท่าน ข้าไม่ปรารถนาในสิ่งอื่นใด..."

"เจ้าจะเสียใจอาเป้ย เพราะว่าข้าไม่ชอบพูดคุย ข้าไม่เคยชื่นชอบการสนทนากับสตรี โดยเฉพาะเจ้า... ไปให้พ้นสายตาของข้าเสีย... ข้าจะไม่เข้าใกล้เจ้าเกินสามย่างก้าว..." เทพอู่เฉินพลันลุกขึ้นยืน ด้วยความตั้งใจแน่วแน่แม้ต้องทำร้ายจิตใจนาง

"ต้องรีบหาทางออกจากถ้ำประหลาดนี้ให้เร็วที่สุด เจ้าปลุกเหลียนเหลียนขึ้นมา"

นัยน์ตาคู่คมฉายประกายมาดมั่นเย็นชา ตรงกันข้ามกับดวงตากะพริบปรือ ค่อย ๆ เจิ่งนองหยาดน้ำตาเพราะท่าทางไร้เยื่อใยของบุรุษเทพ

เมื่อเจ้าของร่างสูงตรงหน้าหมุนกายไปจากนาง ใบหน้าแดงก่ำก้มลงมองพื้นหินพร้อมหยาดน้ำตามากมาย

อสรพิษร้ายเพิ่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาง ทว่าไม่ได้สนใจในตัวนาง แม้เพียงสักเล็กน้อยก็ยังไม่มี...

"เทพอู่เฉิน... ไยท่านจึงโหดร้ายกับข้าซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ ข้าถูกบังคับจับตัวมาสังหารทั้งที่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าไม่เคยเข่นฆ่าหรือคิดร้ายต่อผู้ใด ข้ามีเมตตาอย่างสม่ำเสมอ แล้วท่าน... ทำเยี่ยงนี้กับข้า... ไม่ต่างจากข้าเป็นเพียงสิ่งของ"

อาเป้ยลุกขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มแดงก่ำ จิตใจอ่อนโยนของนางไม่ใช่หินเยี่ยงเทพผู้แสนเย็นชาหยาบกระด้าง ก็คงไม่แปลกหากนางจะรู้สึกเจ็บปวด

นางพึ่งได้รับสัมผัสแสนเร่าร้อนอ่อนหวานจากอสรพิษตนหนึ่ง ผู้ทำให้นางแสนเป็นสุขราวร่างกายล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์ หากพอนางลืมตาตื่นจากนิทรา ทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวง

นิมิตภาพอันหอมหวานและแสนอบอุ่นเป็นเรื่องลวงหลอกนางทั้งหมดทั้งเพ!

"ท่านปีศาจไร้หัวใจ... ก็ดี... ในเมื่อท่านไม่มาใส่ใจในตัวข้าอีกต่อไป ข้าจะไปอยู่ของข้า จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็เป็นชีวิตของข้า" เสียงหวานสั่นเครือพูดกับความเวิ้งว้าง อาเป้ยก้มตัวลงอุ้มพยัคฆ์อัคคีด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ ใบหน้าเศร้าหมองของนางสะท้อนเข้ากับนัยน์ตาของเหลียนเหลียนเมื่อมันลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี

 

อาเป้ยเดินวนเวียนในถ้ำทางคดเคี้ยว มีทางแยกมากมาย นางคอยเหลียวมองซ้ายขวา เยื้องย่างไปอย่างเงียบเชียบและระมัดระวังตัว แต่ไม่ว่าจะไปทางซ้ายหรือขวานางก็กลับมาทางเดิม มองหินที่ซ้อนกันเป็นรูปร่างก้อนเดิม ไร้วี่แววของหนทางออก

นางรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรงทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในเมืองเทพ นางยังคงฝืนร่างกาย ปลอบใจตนว่าไหว

นางไม่รู้ว่าที่นางเหนื่อยล้าเพราะถ้ำแห่งนี้หรือเป็นเพราะการเสียน้ำตามากมายโดยใช่เหตุ

"อาเป้ย... ข้าไม่เห็นประโยชน์ในการเสียน้ำตา เจ้าคร่ำครวญพอใจเจ้าหรือยัง?"

พยัคฆ์อัคคีคอยถามด้วยความไม่เข้าใจว่านางเป็นอะไร ปีศาจอสูรไม่มีทางเข้าใจมนุษย์ และด้วยความเป็นเด็กของมันก็ยากเกินจะพยายามทำความเข้าใจ

มันเพียงรู้สึกไม่สดใสในยามไม่พบนาง มันคงต้องติดตามนางไปทุกแห่งหน

"ข้าเห็นว่าเจ้ากำลังวิ่งหนีเทพอู่เฉิน ไม่รู้ด้วยเหตุใด เรือนของท่านแสนเงียบสงบ เจ้ากินดีอยู่ดีมีชีวิตสุขสบายนัก วันดีคืนดีเจ้ากลับทำตัวเป็นสตรีโง่"

อาเป้ยหลุบตามองกับคำว่า 'โง่เขลา' นางผ่อนลมหายใจออกมา

"เจ้าไม่ควรวิ่งหาความตายเหมือนสตรีโง่เขลาผู้มีความรัก ท่านแม่ของข้าเคยพูดเรื่องนี้"

"ข้าไม่รู้ ข้ายอมรับว่าข้าโง่ แต่ข้าจะไปตามทางของข้า หากว่าเจ้าไม่ไปกับข้า เจ้าก็ไปตามทางของเจ้า หลังจากที่ข้าหาทางออกจากถ้ำนี้ได้เราแยกทางกัน เจ้าไม่ต้องมานับบุญคุณอันใดกับข้า ข้าช่วยเหลือเจ้าเพราะข้าเป็นผู้มีเมตตา"

"ข้าซ่อนเร้นกายอยู่ใต้กระโปรงของเจ้า ชีวิตของข้ายังมองเห็นความปลอดภัยเสียกว่า ลำพังข้าไปไหนในสภาพนี้คงไม่รอด ต่อให้ข้ากลับไป เทพอู่เฉินคงไม่ต้อนรับข้า"

"ท่านก็ไม่ต้อนรับข้า ท่านเพิ่งขับไล่ข้าให้ไปให้พ้นสายตาของท่านเสีย เจ้าหลับอยู่เจ้าจึงไม่ได้ยิน"

นางพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร น้ำตาก็พาลไหล ขอบตาบวมช้ำของนางปรากฏร่องรอยความโศกเศร้า หัวไหล่สั่นเทา สองขาไร้เรี่ยวแรงก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้ทิศทาง เบื้องหน้าทัศนียภาพอันพร่าเลือนเพราะน้ำตามากมายของนางขึ้นเอ่อคลอในดวงตา นางมองไม่เห็นอนาคตของตนเองด้วยซ้ำ