ในวสันตฤดูเดือนยี่ เวียนบรรจบครบรอบทุกสิบสองปี ปีที่มนุษย์จะเข้าใกล้โลกของเหล่าทวยเทพมากที่สุด ทั่วทุกแห่งหนของเมืองรายล้อมรอบด้วยแม่น้ำทอดยาวสุดตา ประดับประดาด้วยโคมไฟสีดำแดงห้อยลงมาในระดับเท่า ๆ กัน สลักตัวอักษร 平安 píng ān หมายความว่าสันติสุข
จอมยุทธผู้เดินทางไปทั่วหล้าผู้หนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า 'ดินแดนแห่งสุวรรณ พื้นดินชุ่มชื้น ผืนหญ้าเขียวชอุ่ม ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล เพาะปลูกพืชพันธุ์ชนิดใดออกดอกผลอย่างงดงาม ซ้ำยังไม่เคยเกิดภัยพิบัติใหญ่มาตลอดในรอบหลายศตวรรษ ชาวประชาสงบร่มเย็น ภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองมากความสามารถ มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
'เมืองเจิ้นกัน'
ท่ามกลางท้องนทีสีมรกต สะอาดใสจนเห็นตัวปลานานาชนิดกำลังแหวกว่าย ทางเดินเท้าทั้งสองฝั่งทำมาจากอิฐ สลับไปกับพื้นดินทราย ที่พักอาศัยของชาวบ้านส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากไม้สนจีน
เมืองแห่งสันติสุขในปีนี้จัดงานเฉลิมฉลองขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนล้วนแต่งตัวด้วยสีดำสลับแดง สมราคาฐานะความเป็นอยู่ ทั้งโรงเตี๊ยม ร้านค้าขายอาหาร ตลอดจนหนทางเดินมีตุ๊กตาเจ้าสาวในชุดสีแดงสดและผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีดำ ถักทอด้วยมือ ห้อยติดคู่กับโคมไฟ ป้ายร้านค้าของชำต่าง ๆ ตกแต่งตามธรรมเนียมพิธีการบวงสรวงเทพเจ้างู
'สีดำ' เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อท่านเทพผู้มีร่างเป็นสีดำสนิท
'สีแดง' นอกจากสื่อความหมายถึงนัยน์ตาสีโลหิตของท่านเทพหลงเหนียนแล้วยังหมายถึงงานมงคลวิวาห์ การหลั่งเลือดเนื้อเสียสละเยี่ยงวีรสตรีของเจ้าสาว
"เจ้าสาวท่านเทพหลงเหนียนพร้อมหรือยัง?"
สุ้มเสียงเด็ดขาดเรียกถามองครักษ์ ท่านเจ้าเมืองสวมชุดเกราะสีดำสนิทคาดด้วยผ้าคาดเอวสีแดง อาภรณ์นักรบของท่านเฉกเช่นเดียวกับประชาชนในเมืองและเหล่าทหาร ยืนรายเรียงในโถงกว้างขวางโอ่อ่า
"โลกมนุษย์อยู่ใกล้เทวโลกเพียงเอื้อมมือ เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ ปีนี้ฤกษ์ดีนัก เป็นปีนักษัตรใหญ่ งูทองอันศักดิ์สิทธิ์ การเป็นพันธมิตรกับเทพจึงเป็นเรื่องสำคัญ เชื่อเถอะว่าจอมยุทธจากทั่วยุทธภพ ปีศาจอสูร แม้กระทั่งเทพเซียนจะต้องมาพึ่งพาอาศัยใบบุญจากข้า เจ้าไปเตรียมการให้พร้อม..."
"ขอรับใต้เท้า!"
องครักษ์ตอบรับด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง เห็นด้วยว่าเมืองเจิ้นกันจะได้รับการอวยพรจากเหล่าทวยเทพเป็นแน่แท้ พวกเขาพบนางในห้องแต่งตัวกับสาวใช้ ไม่มีเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด องครักษ์หนุ่มกลับมาพบเจ้าเมือง
"นางพร้อมแล้วใต้เท้า แต่นางขอให้นางได้บอกลามารดา ท่านอาจารย์ที่เลี้ยงดูนางมา"
"ให้นางไป"
เจ้าเมืองหลงอี้จินไม่ใช่ชายแก่ใจไม้ไส้ระกำ ในวัยหกสิบสามปียังเป็นผู้ปกครองเมืองที่มีคุณธรรม ยิ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ สันติสุขมิได้ได้มาด้วยสองมือเปล่า ทุกสรรพสิ่งรางวัล ย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน
เจ้าสาวของเทพหลงเหนียนในปีนี้ได้รับการคัดเลือก โดยคำสั่งของท่านเจ้าเมืองเอง
ประการแรกให้เป็นสตรีผู้ถือพรหมจรรย์ ประการที่สองห้ามมิให้มีเชื้อสายมาจากภูตผีปีศาจ ประการสุดท้าย จำต้องเป็นสตรีผู้มีรอยปานแดงที่ไหนสักแห่งบนร่างกายเป็นรูป 'งูใหญ่'
การจับสตรีนางหนึ่งมาเป็นเครื่องสังเวยแด่เทพครบถ้วนทุกประการ มิใช่เรื่องง่ายดาย
นายทหารร่างกำยำหลายสิบคนยังคงรอรับคำสั่งอยู่บริเวณด้านหน้าโรงเตี๊ยม องรักษ์หนุ่มเดินกระฉับกระเฉงมาก้มศีรษะยกมือทำความเคารพท่าน
"ประทานโทษใต้เท้า นางล่ำลามารดาของนางเรียบร้อยดี ข้าน้อยแลเห็นว่าอาจารย์ของนางจะไปรอส่งที่ท่าเรือ ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?"
"ส่งคนไปดักรอที่หน้าเรือ อย่าปล่อยให้หลวงจีนนอกรีตนั่นมาขัดงานมงคลของบ้านเมืองโดยเด็ดขาด พิธีส่งเครื่องสังเวยต้องไม่มีคำว่าผิดพลาด!"
"ข้าน้อยรับคำสั่ง!"
องครักษ์ตอบรับอย่างเข้มแข็งสมชาติชายผู้เป็นนักรบด่านหน้า เจ้าเมืองหลงอี้จินสะบัดพัดเหล็กสีแดงเพียงครั้ง เรือไม้ลำเล็กก็เข้าประจำที่
เรือพายต่อด้วยไม้กระดานแผ่นยาวจำนวนสามแผ่นประกอบเข้าด้วยกันเป็นลำเรือ เรือลำนี้วาดด้วยพู่กันดำลวดลายประณีต
ภาพสตรีใบหน้าสวยสดงดงามประหนึ่งนางสวรรค์ สวมอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงเคียงข้างอสรพิษสีดำ กายายิ่งใหญ่โอฬารคับนภาในยามราตรี
บนเรือนั้นโปรยด้วยกลีบดอกโบตั๋นและดอกเหมย เฉกเช่นเรือลำนี้กำลังจะมุ่งหน้าไปสู่งานวิวาห์แด่ทวยเทพอย่างแท้จริง
ในแววตาแน่วแน่มาดมั่นจ้องมองไปเบื้องหน้านทีอันกว้างใหญ่ของเมืองเจิ้นกัน ด้วยความหวังว่าจะได้พบเทพผู้ยิ่งใหญ่ ได้รับพรอันศักดิ์แห่งสายน้ำ ระหว่างเตรียมส่งมอบตัวเจ้าสาวให้แทนบิดามารดาของนาง
เจ้าสาวคนงามบัดนี้สวมรองเท้าสีแดง ชุดสีแดงดั่งโลหิตของนางโดดเด่นแตกต่างจากผู้อื่น ไม่มีทางที่ท่านเทพหลงเหนียนจะมองไม่เห็นนาง
มือเรียวเล็กจับชายกระโปรงตัวสวยชายลากยาวให้ยกสูงขึ้น เพื่อเดินลงบันไดโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ดวงตาคู่สวยส่องประกายมาดมั่นมองผ่านผ้าคลุมหน้าผืนบาง บดบังทัศนียภาพให้เลือนลางลง นางจึงมีสาวใช้ทั้งสองคนขนาบอยู่ซ้ายขวาคอยประคองและบอกทางให้ แม้ว่านางจะมั่นใจในทุกย่างก้าวของตนดีว่านางจะไม่ก้าวพลาดก็ตาม
"ไปเถิด บัดนี้ก็ถึงเวลาของเจ้าแล้ว เจ้าจะได้ไปอยู่กับเหล่าทวยเทพ เพื่อเป็นเกียรติยศแก่บ้านเมืองและบิดามารดาของเจ้า การที่เจ้าเป็นสตรีจิตใจกล้าหาญยอมเป็นผู้เสียสละในวันนี้ ขอให้เจ้าจงภูมิใจ ข้าเองก็จะไม่ลืมเจ้าเช่นกัน... อาเป้ย"
"ท่านคงไม่ลืมข้าแน่ล่ะใต้เท้า ข้าทราบดีว่าเส้นทางนี้มิใช่ไปเป็นเจ้าสาวของทวยเทพแต่อย่างใด ข้ากำลังจะไปเป็นอาหารงูต่างหาก"
ท่านเจ้าเมืองมีสีหน้าไม่พอใจ แต่ไม่ได้บริภาษว่านางทำตัวเสียมารยาท ยิ่งนางหัวเราะเยาะเย้ยใส่แม่น้ำอันกว้างไกลเบื้องหน้า
"ฮ่า ๆ ท่านเทพหลงเหนียน เกรงว่าข้าจะเรียกชื่อท่านผิดไป ข้าควรต้องให้เกียรติเทพผู้ปกปักรักษาบ้านเมือง กำลังจะกลืนข้าลงท้อง ขออภัย ๆ"
'อาเป้ย' ไม่มีความเป็นกุลสตรีมากมายนัก ด้วยความที่นางอยู่เยี่ยงบุรุษมาตลอดลมหายใจนาง นางแสนกล้ำกลืนฝืนปฏิบัติตนเป็นหญิงในยามนี้ จึงเมินหน้าหนีท่านเจ้าเมืองแล้วเดินไปอย่างสมศักดิ์ศรี ริมฝีปากคู่งามเชิดรั้นและยังคงยิ้มหยัน
ก็คงไม่แปลก หากว่านางจะไม่พึงพอใจ มีผู้ใดบ้างเล่าอยากปลิดชีพตนเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง
นางไม่เห็นด้วยกับการส่งเครื่องสังเวยแด่เทพ นางไม่เคยยินยอม! นางเพิ่งอายุสิบแปดปีไม่กี่วันมานี้โดยที่นางไม่เคยได้มีชีวิตเป็นของตนเองเลย นางไม่เคยได้รับปิ่นปักผมเยี่ยงสตรี นาน ๆ ครั้งนานนางจะได้กินอาหารดี ๆ แล้วนี่มันเรื่องอะไร!
นางถูกจับตัวมาโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่มีผู้ใดอธิบายสิ่งใดให้นางฟังแม้กระทั่งท่านอาจารย์ของนางยังทำได้เพียงก้มหน้ารับชะตากรรม เมื่อไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งท่านเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่
กว่านางจะรับรู้ความจริงถึงสถานการณ์ของตน ก็ตอนเงี่ยหูฟังสาวใช้สนทนากัน ท่านเจ้าเมืองสั่งให้บ่าวรับใช้บำรุงบำเรอนางด้วยอาหารชั้นเลิศนานาชนิด ราวกับว่าจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายในชีวิตของนาง ให้สาวใช้มาอาบน้ำให้นาง ขัดสีฉวีวรรณให้นางจนเนื้อตัวนางสะอาดหมดจด
ทั่วทั้งตัวนางยังถูกอบร่ำให้มีกลิ่นหอมกรุ่นด้วยสมุนไพร เครื่องเทศตุ๋นยาจีนที่ทำให้น้ำซุปอร่อยเข้มข้นขึ้น มีสรรพคุณในการรักษาโรค บำรุงสุขภาพได้ดียิ่งนัก เวลานี้ตัวนางน่าจะมีรสชาติอร่อยเหาะ ดีต่อสุขภาพของท่านเทพอยู่ไม่น้อย
ท่านเจ้าเมืองผู้สูงศักดิ์ผู้ปกครองแคว้นทั้งสิบหกแคว้น ทั้งที่ปกติจะมีธุระยุ่งวุ่นวายตลอดเวลา ยังอุตส่าห์มาส่งนางด้วยตนเอง พร้อมทั้งทหารองครักษ์ผู้เป็นจอมยุทธฝีมือเก่งฉกาจหกนาย ถืออาวุธครบมือเพื่อมาคุ้มครองนางไปส่งให้ถึงมือท่านเทพ
มิใช่ว่าอยากมาส่งนางหรอกกระมัง กลัวนางจะหนีไปกลางทางเสียมากกว่า
"ฮึก... ฮือ... ลูกแม่ ทำไม... เจ้ากลับมา... ทำไม... ฮือ..."
เสียงร้องไห้ระงมตามหลังนางมา นางเหยียนส่งเสียงกรีดร้องอย่างเสียสติ นั่งร่ำไห้ตัวขดงออยู่บนพื้น ใบหน้าสดสวยแดงก่ำเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา อาเป้ยจึงหันหลังกลับไป ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
"ลูกใช้ชีวิตเยี่ยงบุรุษมานาน ขอให้ลูกได้ทดแทนบุญคุณแผ่นดินสักครั้งเถิดท่านแม่ อย่าร้องไห้เพราะลูก ตื่นเช้ามากินข้าวให้ครบมื้ออย่างที่เคยทำตอนลูกไม่อยู่ วันนี้ลูกลาก่อน... ท่านแม่..."
"ฮือ... ลูกแม่... อาเป้ย ๆ!"
หญิงนางโลมคนงามผู้มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของเมืองเจิ้นกัน หากกระโดดลงน้ำเพื่อปลิดชีพตนได้คงทำไปแล้ว เป็นเพราะถูกขวางเอาไว้ด้วยกระบี่ด้ามยาวกั้นกลางระหว่างนางและบุตรสาว ด้วยฝีมือของทหารองครักษ์
และเมื่อเครื่องสังเวยถูกนำตัวไป นางเหยียนทำได้เพียงคุกเข่าคร่ำครวญเบื้องหลัง หรี่กระบอกตาแสบร้อน มองตามแก้วตาดวงใจของนางก้าวขึ้นเรือไปตาย!