日进斗金 ยื่อจิ้นโต้วจิน
ขอให้ได้รับชัยชนะ เงินทองไหลมาเทมา
金玉满堂 จินอวี้หม่านถัง
ขอให้ร่ำรวยเงินทอง ทองหยกเต็มบ้าน
เสียงโห่ร้องสรรเสริญจากชาวบ้านดังลั่นไปทั่วเมือง ไม่นานนัก พวกเขาก็ชะโงกหน้าออกมาปิดหน้าต่างประตูทุกบาน ตะโกนออกมาจากภายในบ้านตนแทน ด้วยความเคารพยำเกรงเทพจนตัวสั่น บ้านไหนมีลูกเด็กเล็กแดงคงไม่อยากจะให้เห็นภาพนี้
เจ้าสาวรึ? น่าขันสิ้นดี!
อาเป้ยยิ้มหยันใต้ผ้าคลุมหน้าผืนบาง ซึ่งสามารถมองทะลุผ่านเห็นโลกภายนอกได้ไม่ชัดเจนนัก นางไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวโดยเด็ดขาดเพราะจะถือเป็นลางร้าย
นางใช้วิชาตัวเบากระโดดลงบนเรือ เหยียบยืนอย่างมั่นคงด้วยรองเท้าถักสานสีแดงอย่างดีของนาง
เมื่อเรือลำน้อยแล่นออกจากฝั่งด้วยแรงผลักขององครักษ์ที่พลิกฝ่ามือ ใช้พลังภายในดันสายน้ำ เสียงผู้คนป่าวร้องตะโกนด้วยความยินดี เว้นเพียงมารดาของนางที่กำลังคร่ำครวญปานขาดใจอยู่บริเวณท่าเรือ อาเป้ยเหลียวคอมองร่างสั่นเทาบนพื้นที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ เป็นครั้งสุดท้าย ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอหยาดน้ำตา ด้วยความสงสารมารดาจับใจ
นางจะยอมทำเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนของท่านแม่ก็แล้วกัน
นางคิด พลันหันกลับมายืนตรงอย่างสง่าผ่าเผย ทำความเคารพเทพเจ้าในแบบของนักปราชญ์ ยกฝ่ามือขึ้นเก็บปลายนิ้วโป้ง ก้มศีรษะลงคำนับเทพทั้งสี่ทิศเริ่มจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้แล้วจบที่ทิศเหนือ
การส่งสตรีพรหมจรรย์เป็นเครื่องสังเวยแด่เทพ เป็นเรื่องที่ทำทุกสิบสองปี ตามปีนักษัตรซึ่งท่านเจ้าเมืองเลือกที่จะบูชาแค่เทพหลงเหนียนเพียงเทพเดียวเท่านั้น
ท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินสืบสานงานสำคัญมาจากบรรพบุรุษ ด้วยความเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกได้ถือกำเนิดขึ้น และพัฒนาไปข้างหน้า ต้นเหตุทั้งมวลมาจาก 'น้ำ' ท่านจึงเลือกบูชาเทพแห่งน้ำเสียมากกว่าเทพแห่งการเกษตร[1] และเทพปฐมกษัตริย์ห้าธัญพืช[2]
นางมีความคิดว่าแสนแปลกประหลาดพิสดาร บูชาเทพด้วยคนเป็น ๆ ทำไปเพื่ออะไร แถมมีสตรีกล้าหาญลงเรือมาก่อนนางถึงสิบสองคน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตกลับมา
ใช่เพียงเท่านั้น ท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินได้กำชับให้นางล่องเรือผ่านสายน้ำตามทิศทางลมทะเล เพื่อความเป็นสิริมงคล ให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข ทั้งที่เมืองเจิ้นกันก็สงบร่มเย็นดีกว่าเมืองที่นางจากมาเสียอีก
เหตุผลท่านไม่เข้าท่าเลยสักนิด! เกรงว่านางจะเอาชีวิตมาทิ้งเปล่า ๆ น่ะสิ
อาเป้ยถอนหายใจออกมา นางหันหน้าไปทางทิศเหนือ หลับตาลงตั้งสติ เหยียดฝ่ามือออกชนชิดติดกัน จรดปลายนิ้วโป้งไว้กลางอกอย่างนักพรต อีกข้างนั้นกำลูกประคำของขวัญจากอาจารย์นางไว้มั่น ทันใดนั้นเอง นางได้ยินเสียงตะโกนก้องดังทั่วฟ้า
"อาเป้ย! ชะตาฟ้าลิขิตมิอาจฝืน แต่สำหรับข้า..." ปลายเสียงที่เงียบไปปรากฏแสงสีเหลืองทองผุดวาบขึ้นมา จากการวาดฝ่ามือสั้น ๆ ทว่าทรงพลัง กระทบลงบนร่างของเจ้าสาวกลางลำน้ำ
"จะฝืนบ้างก็ได้... ฮ่า ๆ"
เสียงหัวเราะร่าเริงดังต่อเนื่องจากอีกฝั่งของแม่น้ำ เหล่าทหารนับสิบซึ่งประจำการอยู่รอบแม่น้ำทั้งสองฝั่งพยายามจะเข้าไปจับกุมตัวหลวงจีนนอกรีต
อาจารย์ฮุ่ยหมิงสวมอาภรณ์สง่างาม ในชุดนักบวชสีดำคาดสีเหลืองส้ม เพื่อไว้อาลัยและให้เกียรติแด่เจ้าสาวของทวยเทพ มือข้างหนึ่งกำลูกประคำสีขาวมุก เปล่งประกายสว่างไสวด้วยพลังแห่งหยาง
เซียนพรตระดับปรมาจารย์มิได้กลัวเกรงทหารองครักษ์ของเจ้าเมืองหลงอี้จิน ถีบฝ่าเท้าหนีขึ้นอากาศ วาดลีลาวิทยายุทธ์สูงส่งด้วยท่วงท่าสง่างาม ประหนึ่งการร่ายรำส่งศิษย์เอกผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา เป็นทั้งลูกศิษย์และข้ารับใช้ท่านมาตลอดชีวิตของนาง
พร้อมกันนั้น คลื่นน้ำขยับระลอกใหญ่ บอกถึงการปรากฏตัวของเทพ ทหารองครักษ์จึงหยุดการจับกุม วิ่งไปคนละทิศคนละทาง บางคนรีบหาที่กำบังด้านหลังกำแพง เคาะประตูที่พักซึ่งแน่นอนว่าตามธรรมเนียมแล้วจะไม่มีใครเปิดประตู
เจ้าสาวกลางลำน้ำเงยหน้าขึ้นมองแสงสีทองอร่ามราวดวงอาทิตย์ในยามราตรี แสงสว่างสุดท้ายเหนือศีรษะของนาง
"ข้าเชื่อว่าการเสียสละของเจ้าเพื่อบ้านเมืองครั้งนี้จะไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจิตวิญญาณของเจ้าอยู่ที่ใด จงจำไว้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ข้า อาจารย์ฮุ่ยหมิง! ข้ามีเมตตาต่อเจ้า จะนำทางแห่งแสงสว่างให้เจ้าเสมอ"
"ขอบคุณท่านอาจารย์ บุญคุณนี้ที่ท่านชุบเลี้ยงศิษย์มา อาเป้ยไม่มีวันลืม ขอบคุณที่มาส่งข้า!"
นางตะโกนก้องสุดเสียงด้วยความภาคภูมิใจ คงมิใช่เพราะการเป็นเครื่องสังเวยแด่บ้านเมือง หากเป็นเพราะนางได้เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงมาตลอดชั่วชีวิตของนาง ฉับพลันนั้นเอง โลกของนางก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด
อาเป้ยหาได้ล่วงรู้ชะตากรรมข้างหน้าของนาง เมื่องูตัวใหญ่ยักษ์ความสูงเสียดฟ้าที่มีเกล็ดบนลำตัวเป็นสีนิลสนิท ผงาดกางกรงเล็บแหลมคมบนเท้าทั้งสี่ข้างลักษณะคล้ายอุ้งมือมังกรขึ้นมาจากผืนน้ำ อ้าปากงาบนางเข้าไปในคำเดียว
นั่น...
เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเทพ แต่ก็เป็นไปแล้ว นางมองว่าเหมือนปีศาจงูเสียมากกว่า! ขนาดอาจารย์ฮุ่ยหมิง ผู้บำเพ็ญพรตจนเป็นเทพเซียนได้ยังเผ่นป่าราบ โบกมือล่ำลานางเป็นที่เรียบร้อย สภาพของนางหรือจะเหลือ...
เรือไม้ลำเล็กที่จิตรกรเอกบรรจงวาดอย่างสุดฝีมือกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ละลายหายไปเหมือนถูกเผาไหม้จากสายพิรุณพิโรธที่ร้อนจัดจนถึงจุดเดือด แต่นับว่ายังดี ท่านเทพหลงไม่กลืนนางลงท้อง ยังไม่นิยมเคี้ยวอาหารอันโอชะอย่างนาง หรือเป็นเพราะท่านมีเพียงเขี้ยวแหลมคมสองข้างซ้ายขวา นางมองไม่เห็นว่าท่านจะมีฟันสำหรับบดอาหารเยี่ยงมนุษย์
สถานที่มืดมิดแห่งนี้อากาศร้อนอบอ้าว กลิ่นก็ไม่ค่อยดีนัก น่าอึดอัดไม่น้อย เสียงเสียดสีของพิษสีเหลืองที่เดือดพล่านกระทบกับเขตอาคมของอาจารย์ฮุ่ยหมิง ได้กางเอาไว้เป็นเกราะกำบังให้นาง
นางระลึกถึงบุญคุณท่านอาจารย์ผู้มอบแสงสว่างให้กับนางเสมอมา แม้ในครานี้ ท่านยังชี้หนทางรอดให้นาง
เสียงน้ำจากภายนอกเป็นระลอกคลื่นสูงมหึมาทำให้รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน เมื่อนั่งหลับตาเพ่งจิต ตั้งสมาธิให้มั่น นางพอที่จะควบคุมสถานการณ์โคลงเคลง กระเด็นไปมาเหมือนลูกบอลกลิ้งในขวดแก้วได้ ถึงไม่รู้ว่าอยู่ในปากงูนานเท่าไร
กระทั่งมาถึงแหล่งน้ำที่ไหนสักแห่ง จากการสัมผัสได้ถึงเสียงระลอกคลื่นสาดกระจาย กายอสรพิษโผล่พ้นขึ้นเหนือน้ำ นางอาศัยจังหวะที่ท่านเผยอปาก ลอดช่องเล็ก ๆ ถีบตัวเองออกมาในท่านอนหงาย สะบัดปลายเท้ากระโดดขึ้นอากาศ ถือวิสาสะเหยียบบนอุ้งมือหยาบซึ่งมีเล็บแหลมคมราวอุ้งมือของมังกร กระตุกดึงผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวโยนทิ้งไป
ตาสบตาใต้แสงจันทร์มืดสลัว เทพผู้ยิ่งใหญ่ท่าทางประหลาดใจ ยกนิ้วอันโอฬารขึ้นเพื่อพิจารณา
นางเป็นมนุษย์ สตรี ตัวเล็กกว่าดวงตาสีแดงอันน่ากลัวของท่านเสียอีก
"เจ้า... ยังมีชีวิตอยู่หรือ?"
"ท่านเทพหลงเหนียนจะแสดงความยินดีกับข้าไหมเล่า สงสัยว่าข้าหนังเหนียวไปสักหน่อย"
"เครื่องสังเวยที่ข้าพากลับมาทั้งสิบสองชีวิตเหลือเพียงเถ้ากระดูก พวกนางไม่สามารถทนพิษจากน้ำลายข้าได้ ไม่คิดว่าปีนี้... เจ้าเมืองหลงอี้จินจะส่งเซียนหญิงมา... หรือจะเป็นไปได้ว่า... คิดเป็นกบฏ ต่อต้านเทพ..." ปลายเสียงข่มขู่หญิงตรงหน้า นางยกฝ่ามือขึ้นปราม
"เดี๋ยวก่อนท่านเทพหลงเหนียน เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกัน ข้าเป็นบุตรสาวของแม่นางเหยียน เมื่อท่านแม่คลอดข้าแล้วพบว่าข้ามีรอยปานแดงรูปงู จึงส่งข้าไปอยู่ตีนเขาวันเทียนหลงกับท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิง ข้าได้รับการสั่งสอนวิทยายุทธ์มาเล็กน้อยเท่านั้น ข้ามิได้รู้เรื่องอะไรมากมายเลย ตัวข้ามิอาจนับว่าเป็นเซียนด้วยซ้ำ"
รอดตายมาทั้งที อาเป้ยไม่อยากให้พวกเขามีปัญหา นับว่านางจิตใจงดงามนัก นางคิดเข้าข้างตัวเอง ยืดแผ่นหลังตรงเอามือไพล่หลังอย่างหาญกล้า
"มนุษย์เช่นเจ้าล้วนโป้ปด วิชาเกราะกำบังของเจ้าต้องแข็งกล้าเทียบเท่าเทพเซียน จึงสามารถรอดชีวิตจากพิษของข้า"
"เป็นจริงดังท่านว่า หากอาจารย์ฮุ่ยหมิงมิได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ลำพังตัวข้า หากกางเกราะกำบังเองก็คงไม่รอด เชื่อเถิดว่าข้าพูดความจริง ท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินไม่เคยคิดคดทรยศต่อท่าน ออกจะเทิดทูนเหล่าทวยเทพด้วยซ้ำไป มิฉะนั้นท่านจะส่งเครื่องสังเวยในทุกสิบสองปีเพื่อการใด"
[1] เทพเฉินหนง 神農 เทพแห่งการเกษตร
[2] เทพอู๋กู่เซียนตี้ 五穀先帝 ปฐมกษัตริย์ห้าธัญพืช