ผู้มาเยือนหายตัวไปราวสายลมพัดผ่าน เทพหลงเหนียนหันมาเอาเรื่องนาง
"ข้าสั่งให้เจ้า..."
"ข้าเบื่อนี่ ข้าไม่ใช่นักโทษทำไมท่านต้องขังข้าเอาไว้ด้วยล่ะ ข้าแค่หาสักหนทางคลายเหงา ไหนจะแขกเหรื่อท่านก็ชอบทำเสียงดัง สู้ให้ข้าออกมาอัดปีศาจสักตนหน่อยจะเป็นไรไป ต่อให้ข้าบาดเจ็บหรือตายยังดีเสียกว่าอยู่เฉย ๆ ในคุกใต้ดินของท่าน"
นางพูดฉอด ๆ ทั้งมือและรอบคอมีรอยเลือดไหลซึมตามแนวกระบี่ ทั้งที่นางไม่ได้คิดจะมาอัดใครหรอกแค่มาเดินเล่นของนาง เทพหลงเหนียนจำเป็นต้องพูด
"ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ให้เจ้าออกมาเที่ยวเล่น เจ้าจะออกมาข้างนอกไม่ได้ หากข้าไม่อนุญาต"
"แต่นี่ก็เรือนของท่านมิใช่หรือ? เหตุใดเทพผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยงเทพหลงเหนียนไม่สามารถสร้างความสงบในบ้านของตนได้ ทำไมถึงร้อนเป็นไฟเช่นนี้เล่า"
"เป็นธุระของข้า เจ้าเป็นเพียงผู้อาศัย... ชั่วคราว"
"ผู้อาศัยชั่วคราวเพียงเดินเที่ยวเท่านั้น ท่านจะขังข้าไว้ไม่ให้เห็นแสงตะวันเลยหรือยังไง"
นางเป็นคนดื้อรั้นมาแต่ไหนแต่ไร แม้เป็นข้ารับใช้ นางไม่เคยได้รับอนุญาตให้เดินหลังค่อม ก้มศีรษะให้ผู้ใด ภายใต้คำสั่งของท่านอาจารย์ อาเป้ยได้รับการอบรมเคี่ยวเข็ญมาให้นางมีศักดิ์ศรี นางบอกข้อนี้กับพวกเขาด้วย
ดวงตาลุ่มลึกของนาง แม้ร่างกายบาดเจ็บยังคงหยิ่งผยองก้าวร้าว ลำพองตนต่อหน้าบุรุษเทพทั้งสาม คงไม่มีใครชอบนางนัก ถึงนางเพิ่งกอบกู้สถานการณ์วันนี้ได้ก็ตาม
"ข้าว่านางผู้นี้อาจโกหกท่าน นางบอกกับท่านว่าไม่ใช่เซียน นางกลับรู้เวทเซียน วิชาลับของสำนักเทียนหลง ต่างจากจอมยุทธทั่วไป" บ่าวรับใช้ร่างกำยำพูดขึ้นมา แต่อาเป้ยเชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้นมั่นใจ
"ข้าก็จำมาจากอาจารย์ข้า"
"อาจารย์เจ้า... หากว่าเป็นตาเฒ่าฮุ่ยหมิงอย่างที่ข้าคิด ข้าไม่เคยได้ยินว่าท่านมีศิษย์เป็นสตรี สำนักเทียนหลงไม่รับสตรีเข้าร่วมการใด ๆ ทั้งสิ้น"
"ข้าเป็นข้อยกเว้นเป็นศิษย์คนโปรด หากว่าข้าได้รับอันตราย อาจารย์ข้าจะมาเยือนที่แห่งนี้อย่างแน่นอนต่อให้เป็นเทวโลกก็ตาม"
อาเป้ยได้ทีคุยโม้โอ้อวดอย่างที่นางไม่มีโอกาสได้ทำมาก่อน แม้ว่ามันคงเป็นไปได้ยาก การเดินทางมาเทวโลกไม่ใช่เรื่องที่เซียนจะทำได้ง่าย ๆ และก็ไม่ใช่เทพเซียนทุกคนที่จะทำได้ นางไพล่มือไว้ข้างหลังนางด้วยท่าทีองอาจ
"ท่านจะทำไมล่ะ? หรือว่าท่านอยากพบอาจารย์ข้า"
"ไม่มีผู้ใดอยากพบตาเฒ่านั่น แต่ข้าเชื่อแล้วล่ะว่าเจ้าเป็นศิษย์เจ้าหลวงจีนนอกรีตเพราะเจ้าพูดจาคล่องแคล่ว ยืดเยื้อมากความพอกัน"
"ข้าเองก็เชื่อว่าท่านเป็นศิษย์เทพหลงเหนียน พวกท่านเอาแต่ใช้กำลังเข้าสู้ ไม่คิดหาหนทางใช้ปัญญาเข้าต่อรองกับศัตรู ไม่มีวิถีแห่งนักปราชญ์"
"เจ้า... ว่าข้าโง่รึ!" บุรุษร่างกำยำ ลูกสมุนของเทพงูเริ่มชี้หน้านางผู้ไม่เจียมตนเอาซะเลย
"ข้ายังไม่ได้พูดว่าท่านโง่เง่าเสียหน่อย แต่ข้าขอเสียมารยาททีเถอะ อาจารย์ข้าพร่ำสอนเรื่องเมตตากรุณา การมีมารยาท ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ซึ่งพวกท่านน่ะไม่เห็นจะมี ข้าขอถามจริง ๆ ว่าพวกท่านเคยให้เกียรติผู้ใดหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ เทพ หรือว่าปีศาจ หากไม่เคย นั่นหมายความว่าพวกท่านไม่เคยมีเกียรติ"
"นี่เจ้า!"
แม้เป็นสตรีตัวเล็กนิดเดียว อาเป้ยมิได้กลัวเกรง จึงเริ่มเปิดศึกปะทะวาจาคารม เป็นศึกที่รู้แพ้รู้ชนะได้ไม่ยาก
เทพหลงเหนียนเริ่มจะเอือมระอากับนาง เสียงโหวกเหวกโวยวายของลูกสมุนงูทั้งสอง ตาคมหลุบมองลำคอเพรียวระหง โลหิตไหลทะลักออกจากบาดแผลจนนางต้องยกมือขึ้นกดต้นคอของนางเอาไว้ โดยไม่เลิกโต้แย้งด้วยเหตุผลมากมายของนาง
นางเป็นผู้มีวาจาร้ายกาจนัก ซ้ำร้ายยังดื้อด้าน ไม่ยอมอ่อนน้อมด้วยอีกต่างหาก!
เทพหลงเหนียนส่ายหน้าไปมา พลิกฝ่ามือใช้เวทที่มีลักษณะเป็นกลุ่มควันดำดึงตัวนางเข้าหา มือข้างหนึ่งกระชับเอวนางไว้ไม่ให้ดิ้นหนี
อาเป้ยเบิกตากว้างตกใจ ละล่ำละลัก "ท่านเทพหลงเหนียน! ข้าไม่ได้มีความหมายจะล่วงเกินท่าน ข้าแค่เป็นคนพูดตรงไปตรงมาเท่านั้น ข้าขออภัย!" นางยกมือคารวะ เทพหลงเหนียนกลับรีบปัดมือนางออกอย่างรำคาญ จับเอวนางแน่นเต็มฝ่ามือ เอวของนางเล็กมากแค่กำมือเดียว
"ข้าจะรักษาแผลให้เจ้า เจ้าตกใจอะไร?"
ใบหน้านางเห่อร้อน แดงไปถึงใบหู นางกำลังถูกล่วงเกินแม้ท่านเทพจะแค่รวบเอวนางไว้ ยกฝ่ามือขึ้นปล่อยไอเย็นจาง ๆ ผ่านมาถึงคอนาง ทำให้แผลของนางประสานกัน ริมฝีปากของนางสั่นเทาไม่รู้ด้วยเหตุใด
"ทะ... ท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงสั่งไม่ให้ข้าเข้าใกล้บุรุษเกินสามย่างก้าว ข้าจะต้องระวังตัว... แล้ว ๆ ท่านควรขออนุญาตข้าก่อน... จับตัวข้ารักษาหรือทำอะไรก็ตาม ข้ารอให้แผลหายเองได้ท่านเทพหลงเหนียน... ช่วยปล่อยข้า..."
"ปีศาจนั่นเพิ่งจะกอดคอเจ้าอย่างสนิทสนมทีเดียว นับเป็นบุรุษด้วยหรือไม่?"
"เหตุสุดวิสัย นับไม่ได้ ท่านเทพหลงเหนียน..."
เทพหลงเหนียนนึกขันนางขึ้นมาว่านางคิดอะไรไม่เข้าท่า แสยะยิ้มตรงมุมปาก
"ข้าไม่ใช่เทพผู้น่ากลัวเกรงถึงเพียงนั้น ข้าเสกฟ้าฝนทำลายโลกมนุษย์ไม่ได้ ท่านพ่อข้าเป็นชนเผ่ามังกรบนสวรรค์ ท่านแม่ข้าเป็นปีศาจอสรพิษ ข้าชื่ออู่เฉิน" พูดจบ บาดแผลที่ได้รับการดูแลอย่างดีด้วยพลังเพียงเล็กน้อยจากฝ่ามือเทพ จางหายไปจนเหลือเพียงขีดสีแดงจาง ๆ บุรุษเทพจึงปล่อยนางให้เป็นอิสระ
"ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกข้าว่าเทพอู่เฉินได้"
"ท่าน... เทพอู่เฉิน?"
"ใช่แล้วล่ะอาเป้ย ข้าคือเทพอู่เฉิน หาใช่เทพหลงเหนียนเยี่ยงมนุษย์กล่าวอ้าง ข้าคงเป็นบุรุษผู้ไร้เกียรติเป็นอย่างมาก จึงไม่ได้บอกเจ้าว่าไม่มีเทพหลงเหนียนบนเทวโลก ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดชื่อเทพหลงเหนียน"
ในน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงต่างจากวันแรก บอกความจริงกับนาง อาเป้ยหน้าตะลึงมองเทพปีศาจรูปงาม
หายนะมาเยือนนางแล้วยังไงเล่า! ทั้งหยกพันปี ท่านเทพหลงเหนียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มนุษย์เข้าใจ ดันเป็นครึ่งเทพครึ่งปีศาจชื่ออู่เฉิน 宇辰 Yǔ chén
หากเป็นเช่นนี้... ชะตาชีวิตอันแสนอาภัพของนางจะเป็นอย่างไรต่อไป
"แล้วท่านเพิ่งจะมาบอกข้าเนี่ยนะ!"
ข้ารับใช้ผู้ถูกบริภาษว่าไม่มีมารยาท เริ่มปฏิบัติดีกับสตรีผู้พักอาศัยชั่วคราว ยังเล่าให้นางฟังว่าเทวโลกตอนนี้สถานการณ์ยุ่งเหยิง เทพและปีศาจไม่ลงรอยกัน จากดินแดนสมัครสมาน มีบาดหมางกันบ้างแต่ก็ไม่มากเท่านี้ กลายเป็นว่าต่างฝ่ายเริ่มแบ่งพรรคพวก เทพผู้ทรงศีลอย่างแรงกล้าถูกก่อกวนจากปีศาจและอสูร จนไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้
สำหรับภพภูมินี้คือเทวโลกชั้นที่หนึ่ง ภพภูมิบาดาลทิศประจิมปกครองโดยผู้เฒ่าเต่าผู้มีอายุร่วมหมื่นปี หรือที่หลายคนเรียกกันว่าใต้เท้าจีกง
ภพภูมินี้นับว่าใกล้เคียงกับโลกมนุษย์ เทพและปีศาจมีกายหยาบ มีเลือดเนื้อร่างกายใกล้เคียงมนุษย์ ทว่ามีอายุยืนยาวเยี่ยงเทพในทุกภพภูมิ เทพอู่เฉินถูกส่งให้มาอยู่ที่เรือนนี้ไม่กี่สิบปี เพื่อสงบศึกเทพและปีศาจให้อยู่ร่วมกันให้ได้ หลังจากที่ราชาแห่งสวรรค์มีความเห็นว่าควรส่งผู้เป็นครึ่งเทพครึ่งปีศาจลงมาจัดการช่วยเหลือใต้เท้าจีกงอีกแรงหนึ่ง จึงให้ท่านมาพักอาศัยในเทือกเขาทิศอุดร ไม่ไกลจากเรือนเทพเจ้าแห่งสายน้ำทิศประจิม
ทว่า... เทพและปีศาจไม่เคยอยู่ร่วมกันได้มาแต่สมัยไหน
หากไม่เป็นเพราะเทพอู่เฉินเป็นบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของทั้งเทพและปีศาจ มีแนวโน้มว่าอาจจะสานสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายได้ หากไม่สามารถทำได้ อย่างน้อย ๆ ไม่ให้ต้องสังหารกัน ไม่ให้ปีศาจไปรบกวนเทพมากนัก ต่างฝ่ายต่างอยู่ ไม่ระรานกันก็ยังดี
"แล้ว... มนุษย์เช่นข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร? ทำไมท่านต้องคาบเครื่องสังเวยกลับมา"
"ท่านอู่เฉินได้รับคำทำนายจากแม่เฒ่าเมื่อครั้งไปบำเพ็ญเพียร เรื่องเจ้าสาวของมนุษย์ผู้เป็นเครื่องสังเวยท่านมีเพียงหนึ่งเดียว นางจะนำมาซึ่งความสงบ แต่ก็อาจทำลายตัวท่านและเทวโลกได้เช่นกัน"
อาเป้ยเบิกตากว้าง นางว่านางขอกลับไปหาบน้ำอยู่วัดอย่างเดิมกับหลวงจีนหัวล้านเสียยังจะดีกว่า! ยิ่งลูกสมุนงูพยายามยัดเยียดข้อมูลหลายอย่างเข้าสู่สมองนาง นางยิ่งเวียนหัว
"อีกเรื่องหนึ่ง... หากท่านอู่เฉินไม่ไปเอง การจะให้ท่านแม่ของท่านไปรับเครื่องสังเวย... เฟยอี๋ เจ้าเคยได้ยินตำนานของนางหรือไม่?"
"จะเกิดอุทกภัยใหญ่ แม่น้ำแห้งเหือด ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทุกที่แห้งแล้งหากนางปรากฏตัว"
"ใช่ และที่สำคัญที่สุด เจ้าถูกกลืนลงท้องอย่างแน่นอน ต่อให้เจ้าจะมีเกราะกำบังของอาจารย์ฮุ่ยหมิงก็ไม่อาจรับประกันว่าเจ้าจะรอด หากเจ้ารอด นางจะสังหารเจ้าทันทีที่มาถึงเทวโลก"
"เอ้า... ทำไมนางจะต้องสังหารข้าด้วยเล่า ข้าไปทำอะไรให้นาง" อาเป้ยโวยวาย
"เฟยอี๋ นางเป็นปีศาจอสรพิษผู้ทรงพลังมาก นางถือกำเนิดมาจากไฟกัลป์ในนรกภูมิชั้นลึกสุด เมื่อนางถูกราชาแห่งสวรรค์กักขังเอาไว้ วันหนึ่งนางหลุดรอดออกมา จึงไปล่อลวงท่านเทพสวรรค์คราวเผชิญด่านเคราะห์ให้เกิดกามารมณ์ จนได้ถือกำเนิดครึ่งเทพครึ่งปีศาจขึ้น การกระทำของนางล้วนแล้วแต่ไร้เหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น นางทำเพราะชื่นชอบสนองอารมณ์คึกคะนองของตน"
"เอ้อ... ข้าเข้าใจแล้วล่ะ"
ปัญหาครอบครัว... ปัญหาเรื่องการควบคุมสติอารมณ์ ยากจะแก้ไข นางเฟยอี๋คงเป็นพวกอยากทำอะไรก็ทำ ไม่ใคร่สนใจผู้ใด อยากฆ่าก็ฆ่า
นางถอนหายใจพลางทิ้งตัวนอนลงบนที่นอนของนาง บ่าวงูยืนอยู่ข้างเตียงนาง กลัวจะถูกนางกล่าวหาว่าไม่มีมารยาทอีกจึงถาม
"ไม่มีคำถามรึ?"
"ไม่มี ๆ ข้าปวดหัวกับพวกท่านเหลือเกิน ข้าว่าข้านอนดีกว่า"
อาเป้ยปัดมือไปมาไม่ถามต่อ ถึงแม้ว่านางจะไม่ลืมเรื่องที่ตนได้รับรู้ความจริง การที่พวกเขาเริ่มให้เกียรตินางหลังถูกนางบริภาษว่าเสียใหญ่โต นางจึงถามชื่อบ่าวทั้งสองเสียหน่อย
บ่าวงูสองพี่น้องของท่านเทพอู่เฉิน ตนหนึ่งชื่อซื่อหยูอี้น่าจะมีอีกร่างเป็นงูขาว ส่วนเซียวอี้หรู บุรุษร่างใหญ่กำยำคงจะเป็นงูเขียว
นางถามแค่พอเป็นมารยาท แล้วนางก็นอนหลับตา ประสานมือไว้บนหน้าท้อง