Chapter 9 - 3-2 寻求和平的神 เทพผู้แสวงหาความสงบ

นอกจากเหล่าเทพแห่งสายน้ำจะได้รับข่าวอันไม่น่าภิรมย์เรื่องมนุษย์เครื่องสังเวย บรรดาปีศาจแค่มาทักทาย หาเรื่องก่อกวนใต้เท้าจีกงเสียมากกว่าต่อสู้จริงจัง ไม่ทันได้แพ้ราบคาบหรือหมดสภาพก็พากันหนีไปเสียแล้ว

อย่างปักษา ยักษา สัตว์อสูรสุนัขสามหัวอยู่ตระกูลจำพวกลมคงกลับไปฟื้นพลังที่เทวโลกชั้นฟ้าหรือนรกภูมิของตน น่าจะไม่เดินทางมาอีกสักพัก

เทวโลกในแต่ละชั้นไม่ใช่คิดจะมาก็มา หากมิใช่ถูกส่งมาโดยอำนาจแห่งราชาสวรรค์ ปีศาจผู้ทรงพลังเช่นเฟยอี๋และตนอื่นซึ่งมีไม่มากนัก ต้องรอเวลาประตูระหว่างภพภูมิเปิด ต่อให้เป็นเทพผู้ปกครองเทวโลกชั้นใหญ่ทั้งสาม

ชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นน้ำ

ยังไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ต้องใช้พลังเวทมหาศาลในการเดินทางข้ามภพภูมิเทวโลกแต่ละครั้ง ขนาดใต้เท้าจีกงเองไม่ใคร่จะเดินทางข้ามภพภูมิบ่อยครั้งหากว่าท่านไม่มีธุระจำเป็นต้องไปจริง ๆ

บริเวณตั่งนั่งไม้สนแดงกลางเรือน ใต้เท้าจีกงได้ชื่นชมวิทยายุทธ์ของบุตรชาย จนญาติทางฝ่ายภริยาเดินเข้ามาสนทนาเรื่องเทพอู่เฉิน จึงมีท่าทางสงสัยใคร่รู้

"เครื่องสังเวยผู้รอดชีวิตเป็นศิษย์ตาเฒ่าฮุ่ยหมิงอย่างนั้นรึ?"

"ใช่แล้วใต้เท้า ท่านซื่อหยูอี้แจ้งข่าวข้ามาว่านางเป็นศิษย์ลับ ๆ ของสำนักเทียนหลงจึงไม่มีใครรู้จักนาง อีกเรื่องหนึ่ง เทพอู่เฉินกำลังจะเข้าจำศีลในราตรีนี้"

งูจำศีลคืองูลอกคราบดี ๆ ปีศาจอสรพิษเข้าสู่สภาวะร่างกายอ่อนแอมากที่สุด เทพอู่เฉินมีกายครึ่งหนึ่งเป็นปีศาจ หากท่านถูกรบกวนไม่ว่าด้วยเหตุใด ปีศาจน่ารำคาญอย่างนางเฟยอี๋คงต้องมา

บุตรชายผู้ฝักใฝ่ฝ่ายเทพไม่ชอบนิสัยของมารดานัก เทพทั้งหลายต่างรู้ในข้อนี้

ก็ไม่มีผู้ใดชอบนางแม้แต่ปีศาจด้วยกันเอง

"ประหลาดจริงท่านหลิ่งฟาง เหตุใดจึงไม่มีสารทางน้ำส่งข่าวมาว่าท่านจะจำศีล"

"ข้าคิดว่าด้วยวิสัยของท่านอู่เฉิน ไม่ใคร่จะรบกวนผู้ใด ใต้เท้าจีกงงานล้นมือ ทั้งปัญหาภายในภายนอก งานดูแลโลกมนุษย์ จัดการกับปีศาจอสูรก็น่าเหนื่อยหน่าย"

"ท่านพ่อท่านแม่... ข้าขอคำอนุญาตไปปกป้องเรือนท่านอู่เฉินสักสามราตรีกาล ข้าคิดว่าสมควรไป" บุรุษเทพแห่งท้องทะเล บุตรชายคนโตยกมือคารวะ

เทพหลิ่งฟางผู้มีศักดิ์เป็นอาห่าง ๆ เห็นด้วยและบุรุษเทพอีกสี่ก็เห็นพ้องต้องกัน บุตรชายคนเล็กของใต้เท้าจีกงคงไม่ปล่อยให้พี่ชายไปตามลำพัง

"ข้าขออาสาไปร่วมด้วยอีกแรง ไปเอาหน้าคนเดียวได้ยังไงเล่าท่านพี่"

"พวกเจ้าทั้งสองจงไป ระวังตัวด้วยลูกชายข้า"

ใต้เท้าจีกงให้คำอนุญาตด้วยน้ำเสียงขึงขัง เลื่อนมือขึ้นลูบเคราหงอกขาว ก่อนจะหันไปวานขอให้บ่าวประจำเรือนและเทพชั้นผู้น้อยช่วยกันจัดการซ่อมแซมพื้นหินด้านหน้า ซึ่งถูกทุบจนแตกกระจาย

เหล่าเทพใช้เวทในการซ่อมแซมสิ่งของ รักษาอาการบาดเจ็บให้กัน โดยส่วนใหญ่แล้วพลังเวทของเทพโดยกำเนิด เทพเซียนซึ่งมาจุติในภพภูมินี้จะมีเวทเป็นแสงสีเขียวหรือสีฟ้า

ต่างจากอู่เฉินผู้มีไอเวทเหมือนมารดา จึงไม่เชิงว่าเป็นเทพด้วยซ้ำ แต่ท่านได้รับการให้เกียรติว่าเป็นเทพแห่งสายน้ำอีกหนึ่ง บนเทวโลกต่างเรียกท่านว่า 'เทพอู่เฉิน' 'ท่านอู่เฉิน' เพราะบุรุษเทพปีศาจผู้นี้รักสงบ สุขุมเยือกเย็น มีเมตตากรุณา มีเหตุและผลในการใช้ชีวิตเฉกเช่นบิดาผู้เป็นเทพเจ้ามังกรบนเทวโลกชั้นฟ้า

"ท่านหลิ่งฟาง ข้าขอรบกวนท่านทีเถิด ช่วยส่งข่าวให้นางเฟยอี๋ด้วยว่าไม่ต้องลำบากมาเยี่ยมเยียนลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ภพภูมิบาดาลเราไม่อยากจะต้อนรับนาง"

"ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งใต้เท้าจีกง บุตรชายทั้งสองของท่านอาสาไปทางนั้นแล้วทางนี้ให้ข้าจัดการ"

บุรุษเทพสูงวัยกระโจนลงน้ำ ปรากฏเป็นหางทรงครึ่งวงกลมสีนวลสวยเหมือนหางของม้าน้ำ ซัดคลื่นขนาดใหญ่สาดกระเซ็นขึ้นสูงกลายเป็นวงเวท เพื่อสร้างหลุมน้ำวนในการเดินทางไกล โดยมีบุตรชายทั้งสองของเทพผู้เฒ่ากระโจนกายลงไปในคลื่นน้ำ เดินทางไปในอีกเส้นทางหนึ่ง

ใต้เท้าจีกงหมดธุระไปเรื่องหนึ่งแล้วยังมีงานอีกมากมาย เคียงข้างภริยาเทพแห่งทะเลนอกทิศประจิม นางฟางเหนียง ภริยาของท่านมีสีหน้าเป็นกังวล

"ท่านพี่จะทำอย่างไรต่อไป มีอะไรให้ข้าช่วยแบ่งเบาหรือไม่ ข้าไม่เคยเกี่ยงงานปกป้องเทวโลก ข้ายินดีเสียสละเพื่อส่วนรวม"

"ภริยาข้า น้ำใจเจ้างามนัก แต่ข้าเกรงว่าจะไม่รบกวนเจ้า ข้าขอลองติดต่อสหายเก่าดูเสียก่อนให้รู้ความแน่ ว่าเรื่องมันเป็นไปเป็นมาอย่างไร"

"ท่าน... รู้จักเซียนนักพรตนั่นด้วยหรือ?"

ใต้เท้าจีกงหัวเราะร่า

"ไอ้หลวงจีนเฒ่ากับข้าน่ะ รู้จักกันเป็นอย่างดี"

 

เวหากลิ่นหอมกรุ่นใต้ผกามาศหลากสีสัน ลูบผ่านแก้มนวลผ่องอย่างอ่อนโยน ให้ความรู้สึกสงบร่มเย็นยิ่งนัก อาเป้ยเงยหน้าขึ้นมองดอกเหมยร่วงหล่นลงจากพรรณพฤกษาสูงใหญ่ แผ่ฝ่ามือออกรับกลีบบุษบันสีหวานนุ่มนวล ชื่นชมมันด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

นางลืมตาตื่นมาชมจันทร์ใกล้รุ่งฟ้าสาง หลังผล็อยหลับไปทั้งที่จะไม่นอนก็ได้ นางไม่รู้สึกง่วงนอนหากไม่ออกแรงทำอะไรให้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ท้องไม่หิวเหมือนกระเพาะถมไม่เต็ม รับประทานผลไม้ อาหารในเทวโลกเพียงย่อยสลายหายไปเสียเฉย ๆ

รุ่งอรุณนี้นางสะบัดชายอาภรณ์เบา ๆ สามารถเสกสรรสิ่งต่าง ๆ ได้ดั่งใจ นางใช้เวทเซียนในการเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดแจงทรงผมให้สวยงาม ติดเครื่องประดับเป็นช่อดอกไม้สีขาวเล็กจิ๋วซึ่งเบ่งบานอยู่เป็นกลุ่มบนศีรษะของนาง

นางมอบรางวัลให้กับตนเอง ด้วยความที่นางไม่มีโอกาสใช้วิชาเซียนบ่อยนักหากไม่ใช่ช่วงเวลาของการฝึกฝนในยามราตรี นางก็ต้องทำทุกอย่างด้วยสองมือเหมือนชาวบ้านทั่วไป เพื่อปกปิดสถานะของตนเอาไว้

ตั้งแต่ขึ้นมาอาศัยบนเมืองเทพ นางแค่กะพริบตา สามารถเสกเวทสั่งการได้สมใจ เวทอะไรที่ว่ายาก เวลานี้ราวกับว่านางเป็นผู้มีพลังขึ้นมาในระดับเทพเซียนผู้ได้รับพลังจากเทพบนสวรรค์

ผู้คนที่นี่ยังไม่มีใครนับว่านางเป็นภริยาท่านอู่เฉิน ก็เท่ากับว่านางมิได้ออกเรือน นางเป็นเครื่องสังเวยผู้รอดชีวิต ดวงวิญญาณที่มีกายทิพย์อันวิเศษประเภทหนึ่งบนเทวโลก

ดีเสียจริง! โชคชะตาฟ้าเข้าข้าง ใจดีกับนาง ได้เที่ยวเล่นแล้วยังไม่ต้องมาปรนนิบัติสามี นางได้รับอิสรภาพอย่างสมบูรณ์แบบ มันเป็นสิ่งที่นางถวิลหามาตลอดลมหายใจของนาง

ซื่อหยูอี้ บ่าวคนสนิทของเทพอู่เฉิน ส่งเสื้อผ้าอาภรณ์สีดำให้ตั้งแต่เมื่อวาน ยามนี้กลับมองนางด้วยสายตาไม่เข้าใจ อะไรทำให้นางใจเย็นถึงเพียงนี้

"ท่านอู่เฉินไม่ได้ห้ามเจ้าไม่ให้ออกมา แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะได้รับอันตรายเมื่อศัตรูมาเยือน"

"ข้ารึ? ท่านพูดกับข้ารึ" นางหันไปถาม แต่ไม่ยอมให้เขาตอบ โบกมือไปมา "คิดมากน่า... ท่านซื่อหยูอี้ก็... เรือนอันงดงามของเทพอู่เฉินออกจะเงียบสงบเท่านี้ ศัตรูที่ไหนจะมาเล่า ข้าว่าไม่มี..."

ตูม!

พสุธาหินอันแข็งแกร่งซึ่งเรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นทางเดินเข้าเรือนด้านหน้าเกิดหลุมขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตบางอย่างหล่นลงมาจากฟากฟ้าอย่างรุนแรง อาเป้ยกระโดดหลบอย่างทันท่วงที ปลายเท้าของนางเหยียบยืนอยู่บนสะพานไม้

ทางด้านหนุ่มร่างอ้อนแอ้นในฝั่งตรงกันข้ามกับนางอยู่ใกล้พื้นหินนั้นมากที่สุด หลังจากที่หลบหลีกการโจมตีไปได้อย่างฉิวเฉียด ซื่อหยูอี้ใบหน้าซีดเผือด ก้มลงมองพื้นอันสวยงามของเทพอู่เฉินถูกทำลายไม่มีชิ้นดี

"พวกเจ้า! บังอาจนัก"

ไม่ทันไร เซียวอี้หรูตามมาสบทบพอดี สองพี่น้องงูขาวและงูเขียวเกรี้ยวโกรธเป็นอย่างมากด้วยความที่ตนรักษาคำพูดเอาไว้ไม่ได้ จึงเข้าห้ำหั่นกับพลธนูในร่างยักษา เทพชั้นผู้น้อยในเรือนอีกห้าถึงหกเข้ามาร่วมวงด้วย

อาเป้ยหันไปทางสัตว์อสูรหนึ่งตน...

พยัคฆาสีขาวร่างกายห่อหุ้มด้วยเปลวอัคคี มองหน้านางอย่างหยิ่งผยอง เขี้ยวแหลมคมยาวยื่นออกมาพ้นปาก เยื้องย่างเข้ามาหานาง ผู้ออกจะประหลาดใจและตื่นเต้นเสียมากกว่าหวาดกลัว

"พยัคฆ์อัคคี... ข้าเคยอ่านจากตำราเล่มหนึ่งว่าท่านกินเนื้อมนุษย์ด้วย อย่ากินข้าเลยนะ ข้าไม่อร่อยแน่นอน หากว่าท่านไม่เชื่อ ลองถามท่านอู่เฉินได้ ข้าอยู่ในปากงูมาก่อน เห็นว่าข้าจะไม่อร่อยจริง ๆ"

"เจ้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปเมื่อมาเยือนเทวโลก กายของเจ้าคือสมบัติของเทพอู่เฉิน แต่ข้าไม่สนใจเจ้า ข้าต้องการหยกพันปี"

"ท่านต้องการหยกพันปีไปเพื่อการใด?"

"ไม่ใช่เรื่องของเจ้า"

"มันต้องเป็นเรื่องของข้าซี ข้าเป็นผู้พักอาศัย จะให้ข้ากิน ๆ นอน ๆ อยู่เฉย ๆ ทำตัวเปล่าประโยชน์[1] ได้ยังไง ข้าเห็นว่าท่านดูจะเป็นอสูรที่พูดจารู้เรื่อง ท่านลองตรึกตรองดูว่าเราควรพูดคุยกัน หรือจะสู้กันเสียให้หมดแรงทั้งสองฝ่าย"

"เจ้า! บังอาจบุกรุกทำลายอาณาจักรเทพ"

กลายเป็นเทพที่พูดจาไม่รู้เรื่อง งูเขียวคนพี่ดึงกระบี่ออกจากคมฝักแล้วเข้าต่อสู้ บ่าวลูกสมุนอีกห้านายเป็นงูออกมาปกป้องเรือน

ด้วยวิสัยของปีศาจพอได้กางกรงเล็บก็คงจะไม่ฟังนางอีกต่อไป

ต่างฝ่ายเข้าห้ำหั่นกันด้วยความโกรธแค้น ฝ่ายหนึ่งอยากได้หยกพันปี อีกฝ่ายหนึ่งปกป้องที่พักอาศัยด้วยการทำลายมันเสีย

ส่วนตัวนาง... ไม่เอาด้วยดีกว่า นางขี้เกียจฟาดฟันกับใคร

"เชิญท่านทั้งหลายตามสบาย ข้าไปก่อนล่ะ สู้กันให้หมดเรี่ยวแรง ฆ่าให้เกลี้ยงนะ"

[1] สำนวน : ทำตัวเปล่าประโยชน์ 吃白飯