Chapter 11 - 4-2 阿贝的计划 แผนการของอาเป้ย

นางยิ้มแล้วจึงพูด "ข้าขออภัย แต่อาจารย์ข้าพร่ำสอนเรื่องการมีมารยาท หากผู้ใดถามคำถามข้า ข้าควรต้องตอบให้ชัดเจนเท่าที่ข้าทราบ แถมตัวข้ายังมิใช่สตรี มิใช่ภรรยาของผู้ใด ข้าอยู่เยี่ยงบุรุษมาทั้งชีวิต บนโลกมนุษย์ข้ามีป้ายชื่อเด็กชาย เป็นข้ารับใช้นักพรต ตัวข้าไม่เคยมีแม้โอกาสจะได้ปักปิ่นผมเยี่ยงสตรีด้วยซ้ำ"

นางยังอวดป้ายชื่อบุรุษของนางว่าอาเป้ย ซึ่งมีสีแตกต่างไปตามแคว้นที่อาศัยให้เทพดูเสียด้วย ทว่าเหล่าเทพคงไม่ได้สนใจ ถือโอกาสพักเอาแรงระหว่างทุกคนหันมองนางเป็นตาเดียว

ในเมื่อนางเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่มีผู้ใดชิงชังนาง อย่างมากคงแค่รำคาญใจเท่านั้น อาเป้ยถีบขาทะยานขึ้นอากาศ​ เหยียบลงบนพื้นหินหน้าพยัคฆา

นางเกิดมีความคิดว่าสัตว์อสูรตนนี้เฉลียวฉลาดกว่าตนอื่น น่าจะพูดจารู้เรื่อง

"ข้าว่าท่านเอาเวลาไปตามหาหยกพันปีเสียดีกว่า ในเมื่อท่านอู่เฉินให้คำอนุญาตแล้ว ท่านบอกด้วยตัวท่านเองว่ามันอยู่บนเกาะเทพอุดรแห่งนี้ ยังฝากข้าเป็นธุระมา ทั้งเทพและปีศาจ เชิญตามอัธยาศัย" นางก้มศีรษะทำความเคารพทั้งสองฝั่งอย่างนักปราชญ์ ผู้มีปัญญาเป็นที่ตั้ง ต่างฝ่ายจึงสงบสติอารมณ์ลงเพราะคารมของนาง

"ข้าเอง... อยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรจะทำ นึกอยากยลโฉมเจ้าหยกพันปีว่ามันจะงดงาม วิเศษถึงเพียงไหน พวกท่านถึงแย่งชิงเหลือเกิน ข้ามีความเห็นว่าหากผู้ใดเป็นฝ่ายเจอมันก่อน ค่อยประลองยุทธ์กันอีกครั้งหนึ่งว่าใครสมควรได้เป็นเจ้าของมันดีหรือไม่?"

นางพูดได้ดี! ในที่สุดก็สามารถเกลี้ยกล่อมปีศาจได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าฝั่งเทพอาจไม่เห็นด้วยกับนางนัก กลับทำได้เพียงมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

 

ปีศาจหลายตนมีนิสัยใจเร็วด่วนได้ จึงรีบไปตามหาหยกพันปีบนเกาะแห่งนี้

ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเรื่องสูญเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ปีศาจต่อสู้กับเทพไป ไม่เคยรู้แพ้รู้ชนะ อย่างมากก็เสมอตัว สู้แยกย้ายกันไปตามหาสมบัติล้ำค่าคงดีเสียกว่า ปีศาจและอสูรส่วนหนึ่งพยายามตามหาเทพอู่เฉินเพื่อเอาความเรื่องหยกพันปีให้ได้ในเรือนของท่านแต่ไม่พบเจอผู้ใด อีกส่วนก็แยกย้ายไปในเทือกเขาทิศอุดร

"จะซ่อนหินต้องซ่อนไว้ในหิน"

"เหนือเขายังมีเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า"

"เริ่มต้นดี ลงท้ายก็จะดี"

แต่ละถ้อยคำของนางเต็มไปด้วยคารมคมคาย บาดใจเหล่าอสูรยิ่งนัก

แต่นางเพียงพูดไปอย่างไร้แก่นสาร ไม่มีสาระใด ๆ ทั้งสิ้น นางตามไปให้ความช่วยเหลืออสูรด้วยการชี้ไปคนละทาง

เหล่าอสูรพวกนี้ไม่มีสมองหรืออย่างไร ถึงได้ไม่ทันเล่ห์กลนาง จะมีพยัคฆ์อัคคีที่ฉลาดกว่าตัวอื่นเสียหน่อย แต่ก็ยังไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของนางอยู่ดี

เทือกเขาแห่งทิศอุดรกว้างใหญ่ไพศาล นางเหาะเหินเดินอากาศ ใช้วิชาตัวเบาผลัดวิ่งไปเคียงข้างเทพแห่งสายน้ำทั้งสองผู้ขออาสาตามมาคุ้มกันนาง เพราะบ่าวงูและเทพแห่งสายน้ำทิศประจิมที่เหลือจะร่วมมือกันเก็บกวาดเรือนเทพอู่เฉินให้กลับมาสะอาดงดงาม ซ่อมแซมพื้นหิน พรรณพฤกษาที่ล้มตายไปด้วยเวทแห่งการฟื้นฟูรักษา

อาเป้ยคิดว่านางไม่ได้ใช้กำลังเกินตัวมากไป นางไม่ได้ช่วยเหลือพวกเขาในการซ่อมแซมเรือน นางก็หาทางวิ่งเล่นของนางไป นางหยุดแวะแหล่งน้ำแห่งหนึ่ง เอามือกวักดูว่ามันปลอดภัยหรือไม่ ก่อนจะดื่มมันด้วยการกรีดปลายนิ้วรินใส่ใบไม้สีเขียวเสียก่อน

อย่างน้อยนางพยายามจะปฏิบัติตนเยี่ยงสตรี เมื่อนางได้เป็นสตรีสมใจนางแล้ว ส่วนเรื่องระยะห่างของบุรุษ นางยังคงระมัดระวังไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้นางเกินสามย่างก้าวตามคำสั่งของท่านอาจารย์

"เจ้าเป็นสตรีฉลาดรอบคอบ สง่างามสมเป็นนักปราชญ์ ถึงจะเป็นข้ารับใช้ ข้าไม่อยากจะเชื่อหากไม่พบแม่นางด้วยสองตาตนเอง"

เทพเฟยหลิงยังคงจับจ้องใบหน้างามหมดจดด้วยนัยน์ตาเปล่งประกายสีมรกต ดวงตาอันเป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสายน้ำ ไล่สายตามองผิวขาวลออผ่องบนหลังมือ บนลำคอเพรียวระหงดูงามสง่า ในเมื่อเมืองฟ้านี้มีสตรีมากมายให้ชื่นชมเสียเมื่อไร

ร่างบอบบางของนางช่างน่าทะนุถนอม เอวคอดเล็กคาดด้วยเชือกในชุดสีดำ ถักทอด้วยลวดลายของอสรพิษซึ่งมีเท้าทั้งสี่และกรงเล็บเช่นเทพมังกร เป็นอาภรณ์ที่มีผู้เดียวบนเทวโลก ปิ่นปักผมลวดลายดอกไม้ ตรงกลางเป็นมุกสีดำสนิท ของหายากจากทะเลลึกแห่งทิศอุดร

เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก...

ทุกอย่างบนเรือนร่างงามของสตรีตรงหน้า เป็นสมบัติของเทพอู่เฉิน

"ท่านคงต้องเชื่อ ข้าเป็นข้ารับใช้ท่านอาจารย์ นักพรตผู้ทรงศีล แต่ข้าทำงานด้วยศักดิ์ศรี อาจารย์ฮุ่ยหมิงไม่อนุญาตให้ข้าก้มหัวให้ผู้ใด ท่านกำชับนักหนาเรื่องการทำงานตรงไปตรงมา"

"ข้าเห็นด้วยกับเจ้า เจ้าพูดจาฉะฉาน คารมคมคาย"

เทพฟางหรงเอ่ยปากชมตามเทพแห่งสายน้ำผู้พี่ โดยไม่ละวางตาไปจากใบหน้านิ่งเฉย ริมฝีปากคู่งามเคลือบสีชมพูแดงปานกลีบดอกไม้แรกแย้มบาน แม้นางจะมีตราลักษณะคล้ายงูไฟตรงกลางหน้าผาก อันบ่งบอกว่านางเป็นสมบัติของเทพปีศาจอสรพิษ

"ท่านเชยชมข้ามากไป"

อาเป้ยบ่ายเบี่ยงคำเยินยอนั้น นางยืนอยู่ระหว่างกลางบุรุษเทพรูปงามทั้งสอง ซึ่งเอาแต่จ้องนางไม่เลิก นางรู้ตัวจึงก้าวถอยออกอย่างระวังตัว เป็นเรื่องบังเอิญนัก หางตานางดันเหลือบมองไปบนผิวน้ำ

เงาของเทพฟางหรงบดบังแสงอาทิตย์อยู่ สะท้อนลงน้ำปรากฏเป็นรูปทรงประหลาด คล้ายว่าจะเป็นหินใต้น้ำจึงเห็นเป็นเช่นนั้น นางขมวดคิ้วเขาหากัน ก้าวเข้าไปใกล้ ๆ สายน้ำสีมรกต

"มีอะไรหรือ? แม่นาง..."

"ข้าว่าเงาบนผืนน้ำนี้คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นรูปบ้าน... ไม่น่าจะใช่บ้านของเทพอู่เฉิน"

"เหมือนเรือนของท่านพ่อข้า มีต้นไม้ไม่มากแต่เต็มไปด้วยสระบัว ล้อมรอบนั้น"

"เป็นจริงด้วยท่านพี่ ประหลาดนัก แม่น้ำสายนี้ไม่น่าจะมีหินที่ประกอบกันได้เป็นรูปร่างเรือนของท่านพ่อไปได้ มันเรียงตัวกันอย่างพอดีเสียจริง"

เปรี้ยง!

เสียงอัสสุนีบาตดังก้องไปทั่วนภาลัย ประหนึ่งพิรุณกริ้วหากจะตกลงมาสักหยดหย่อมก็ไม่มีแม้สักหยดเดียว บุรุษเทพรีบก้าวถอยจากสตรีของผู้อื่น หลังจากที่หน้าผากแทบจะชนกันเพราะเฝ้ามองเงาในแหล่งน้ำ

อาเป้ยเงยหน้าขึ้นมองฟ้าจึงหันไปบอกเทพแห่งสายน้ำ "ท้องฟ้าแปรปรวนยังกับว่ามิใช่เทวโลกยังไงยังงั้น ข้าว่าเรารีบกลับกันดีกว่า"