ปัญหาใหญ่ทว่าหากชักช้าไปจะไม่ทันกาล พยัคฆ์อัคคียอมปล่อยลูกของตนออกจากหน้าท้อง สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อย
กายพยัคฆ์ที่ห่อหุ้มด้วยเปลวอัคคีครึ่งหนึ่งถูกพิษสีเขียว หนอนพิษชอนไชจนเห็นกระดูก นัยน์ตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมันเอ่อคลอหยดน้ำใส มันไม่แม้จะส่งเสียงร้องออกมา
เหล่าเทพถึงจะไม่ชอบสัตว์อสูรสักเท่าไร อดไม่ได้ที่จะสงสารเวทนาเจ้าพยัคฆ์ตัวกระจ้อยร่อย
"ตำราเล่มหนึ่งกล่าวว่าสัตว์อสูรจำพวกพยัคฆาไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็นเป็นอันขาด นิสัยของท่านช่างคล้ายคลึงกับตัวข้านัก..."
"ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า"
เทพอู่เฉินเอ่ยขึ้น ชิงลงมือนำหน้า วาดวงเวทสีดำเสกสายน้ำเป็นระลอกคลื่น ดึงแผ่นน้ำขึ้นสูงเพื่อจัดการกับมัจฉาก้าวร้าวให้ขาดอากาศหายใจไปเสีย ไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้สักน้อย
ใต้เท้าจีกงรีบปราม "ระวังด้วยเทพอู่เฉิน ดอกบัวสีทองจะขาดน้ำหล่อเลี้ยงรากไม่ได้เป็นอันขาด จะแห้งตายในทันที"
"ข้าว่าไม่ง่าย... ต้องร่วมใจเป็นหนึ่ง"
อาเป้ยสะบัดปลายเท้า กระโดดข้ามอากาศไปยืนถัดจากเทพอู่เฉินในระยะห่างพอสมควร เพื่อมองทิศทางน้ำในอีกด้านหนึ่ง เทพแห่งสายน้ำทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน รีบไปยืนคนละทิศ ทั้งสี่มุมสระบัว ประสานสายตาเข้าหากันโดยรอบบริเวณ
ทั้งสามบุรุษเทพและหนึ่งเซียนหญิง วาดวรยุทธ์คนละสายวิชา ช่วยกันโจมตีมัจฉาดุร้าย ซึ่งปรากฏตัวออกมามากมาย นับได้เป็นร้อย ๆ ตัว
ฟันแหลมคมไล่กัดน้ำอย่างบ้าคลั่ง พวกมันพยายามปกป้องดอกบัวสีทองไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ได้แม้สักน้อย ต่อให้เป็นสายน้ำที่มันอยู่อาศัย สาดกระเซ็นออกเป็นสาย กลายเป็นหยดหย่อม คมกริบราวใบมีด
พวกมันพร้อมพลีชีพเพื่อปกป้องดอกบัวสีทอง
ชลธารอันเงียบสงบซึ่งถูกบังคับจากบุคคลภายนอก ผู้ใช้พลังภายในดันสายน้ำให้กลายเป็นใบมีด เหล่ามัจฉาเริ่มล่วงรู้ว่ามีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสีส้มนับหลายสิบตัวและสีขาวอีกจำนวนมากจึงกระโดดออกมานอกอาณาเขตเพื่อโจมตี แต่พอออกมานอกสระบัวก็ถูกสังหารด้วยน้ำรูปทรงแหลมทะลวงเข้ากลางลำตัว
ศพมัจฉาเกลื่อนกลาด ทว่าสังหารไปสักเท่าไร ก็ยิ่งงอกเงยออกมาใหม่ หากนำมาประกอบอาหารอาจเลี้ยงใหญ่ได้ทั้งเกาะเทพทีเดียว
"นานเท่าไรที่เรือนข้าไม่ครึกครื้นเอิกเกริก เต็มไปด้วยเทพเซียนเยี่ยงนี้ ดี ๆ ข้าชื่นชมพวกท่าน วิทยายุทธ์เป็นเลิศ นับเป็นบุญตาของข้ายิ่งนัก"
ใต้เท้าจีกงยืนหัวเราะชอบใจ ชื่นชมเหล่าเซียนอยู่เคียงข้างภริยาของท่าน
แม้นบ่อน้ำกำลังจะไร้เหล่ามัจฉา ยังเหลือค่ายกลอีก ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่
เทพอู่เฉินเร่งทำเวลา ลงมืออย่างระวัง ใช้ช่องว่างของหมู่ปลาแทรกเข้าไปตัดเฉือนรากบัวแข็งแกร่ง
อาเป้ยคาดการณ์ว่าเทพสักคนหนึ่งคงสามารถนำดอกบัวออกมาจากบ่อพร้อมกับสายน้ำ หล่อเลี้ยงดอกบัวสีทองไว้ไม่ให้มันตาย
ปัญหาอยู่ที่ตัดรากบัวสักกี่ครั้ง กลับประสานเข้าด้วยกันเช่นเดิม
"รากบัวสีทองหยั่งลึกลงไปถึงค่ายกล สายน้ำเกรี้ยวกราดไม่ให้ความร่วมมือ"
อาเป้ยได้ยินเทพอู่เฉินพูดดังนั้นก็ใจเสีย นางหันไปมองลมหายใจรวยรินของพยัคฆ์ตัวน้อย ตัดสินใจใช้อาวุธชิ้นสุดท้ายของอาจารย์ฮุ่ยหมิงซึ่งนางได้แอบนำติดตัวมาด้วยตอนลงเรือ แอบซ่อนเอาไว้บนข้อมือนางเหมือนเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง
นางพลิกฝ่ามือและปลายนิ้วทั้งสอง หมุนตัวครั้งหนึ่งเพื่อปลดลูกประคำสีน้ำขาวราวมุกสว่างใสออกจากข้อมือ ด้วยท่วงท่าสง่างามราวการร่ายรำ คุกเข่าข้างหนึ่งลงแตะพื้น วาดฝ่าเท้าตีลังกา ซัดพาคลื่นน้ำระลอกใหญ่ไปพร้อมลูกประคำ
ลูกประคำหยางสลักด้วยอักขระสีทอง ฝ่าฝูงมัจฉาไป เมื่อถึงใต้น้ำก็ขยายใหญ่ด้วยตัวของมันเพื่อทุบค่ายกล ทว่าทันใดนั้นเอง อาการเจ็บปวดราวถูกกริชคมปักเข้ากลางอก ทำให้นางทรุดลงไปกองกับพื้น
"อาเป้ย...!"
เทพแห่งสายน้ำผู้พี่ปรี่เข้ามาประคองร่างบาง กระชับนางไว้ในอ้อมแขน นางไม่สามารถที่จะต่อสู้ได้อีก โลหิตไหลทะลักออกจากริมฝีปากนางราวสายน้ำ
"ลูกประคำหยางของตาเฒ่าฮุ่ยหมิง ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะใช้ได้ในร่างนี้ เจ้าเป็นสมบัติของเทพอู่เฉินผู้มีพลังด้านหยิน พลังแห่งความมืดและการทำลาย เจ้าจะต้องใช้พลังร่วมกัน พร้อมกัน ทั้งหยินและหยาง เพื่อรักษาสมดุลในกาย หรือเจ้าจะใช้เพียงพลังด้านมืดเท่านั้น"
"กายเทพมิใช่ถาวรยั่งยืน แม้นเป็นอมตะ ก็ดับสิ้นลงได้เช่นกัน"
ใต้เท้าจีกงลูบเคราหงอกขาว ยืนชมเหล่าเซียนวาดวิชา ชิงดอกบัวสีทองอย่างตั้งใจ ไม่สนใจนางด้วยซ้ำ ยังส่งเสียงหัวเราะคล้ายเสียงของอาจารย์ฮุ่ยหมิง
"ท่าน... อาจารย์"
"ใช่ที่ไหนกันเล่าอาเป้ย ข้าใต้เท้าจีกง แต่เสียงคลับคล้ายคลับคลาใช่ไหม?"
ก็ไม่แปลกว่าทำไมถึงเป็นมิตรสหายกันได้ โดยทั่วไปแล้วไม่มีผู้ใดคบหานักพรตเยี่ยงท่านนัก
อาเป้ยไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนหากว่าใต้เท้าจีกงไม่บอกนาง จะบอกให้เร็วกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้!
ธาตุหยินหยางในร่างกายต่อต้านกันเกินกว่าร่างบอบบางของนางจะรับไหว ยิ่งธาตุหลักในร่างของนางบัดนี้ ต้นกำเนิดมาจากปีศาจผู้ทรงพลังมาก อาจถึงขั้นทำลายเทวโลกราบคาบได้ทั้งชั้น นางจึงหมดสติไปในอ้อมแขนของเทพแห่งสายน้ำ
ไม่มีผู้ใดทันสังเกตสายตาอีกคู่หนึ่ง นัยน์ตาสีโลหิตทอประกายกร้าว แม้ไม่เหลียวคอมองทั้งสอง เพ่งสติอยู่กับการดึงดอกบัวสีทองออกมาให้จงได้
เทพอู่เฉินวาดวงเวทสีดำขนาดใหญ่ หลายเท่าตัวของลูกประคำหยาง อาวุธเวทของนักพรตระดับปรมาจารย์ ไม่อาจเทียบเท่าเทพผู้มีพลังปีศาจเต็มกายยามบันดาลโทสะอย่างแรงกล้า เมื่อสำเร็จลุล่วงการตัดรากบัว
บรุษรูปงามพลันกลับกลายเป็นปีศาจอสรพิษกายายิ่งใหญ่โอฬาร เอ่ยวาจาบันดาลโทสะเสียงดังคับฟ้า
"ปล่อยมือจากนางเสียเทพเฟยหลิง นางมิใช่ธุระกงการอะไรของท่าน นางเป็นสมบัติของข้า!"