Chapter 19 - 7-1 第三只眼睛 ตรีเนตร

พื้นที่โดยรอบบริเวณได้รับการเติมเต็มด้วยมวลบุปผาหลากสีสันละลานตา เหล่าบุปผชาติอันงดงามล้วนบานสะพรั่งไม่ต่างจากพระราชวังของฮ่องเต้ในวสันตฤดูบนโลกมนุษย์

ปทุมมาลย์กลับมามีไอเย็นปกคลุม หมู่มัจฉาน้อยใหญ่ล้วนคืนชีพชีวัน ด้วยเวทฟื้นฟูของเหล่าเทพแห่งสายน้ำ และเทพชั้นผู้น้อยในเรือนเทพอู่เฉินเดินทางมาทิศประจิม ร่วมใจกันทำให้พวกมันกลับมาสวยงามดังเดิม

ส่วนใหญ่เป็นฝีมือเทพ เพราะเทพปีศาจไม่ถนัดงานฟื้นฟู จะทำได้ก็เพียงเล็กน้อยไม่ถึงครึ่งมือเทพชั้นผู้น้อยด้วยซ้ำ ท่านอู่เฉินปลดปล่อยเวทเซียนของเทพมังกรแห่งการฟื้นฟูออกมายามใด ไร้ซึ่งความมั่นใจ ถึงไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะท่าน เพราะไม่ใช่วิสัยของเทพผู้มีจิตใจอันบริสุทธิ์ ดีงาม

เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าท่านอู่เฉินมีพลังทำลายของมารดามากกว่าพลังเทพ

เทพฟางหรงและเทพเฟยหลิงยืนอยู่ในฝั่งขวาของเทพอู่เฉิน ทางด้านหลังของบุรุษเทพทั้งสาม เหล่าเทพมากหน้าหลายตาและบ่าวรับใช้ในเรือน เริ่มแยกย้ายกันไปเมื่อจัดการงานเรียบร้อยดี

"สตรีต้องห้ามอาจทำให้เกิดสงคราม บนโลกมนุษย์พึงมี ข้าพอเข้าใจในคำทำนายของแม่เฒ่า และข้าว่าพี่ใหญ่ไม่ควรยั่วโทสะเทพอู่เฉิน"

"ข้าเปล่ายั่วโทสะผู้ใดเสียหน่อยฟางหรง เจ้าคิดไปเองทั้งนั้น"

"ข้าไม่อยากจะพูดซ้ำซากในเรื่องเดิม เพื่อเห็นแก่มิตรไมตรีระหว่างข้าและใต้เท้าจีกง ทั้งพวกท่านทั้งสอง นางเป็นเพียงสมบัติชิ้นหนึ่งในเรือนข้า แค่พูดจาได้ยิ้มได้ อย่างไรก็หาใช่สตรีต้องห้ามที่จะทำให้เกิดสงคราม"

เทพอู่เฉินอธิบายอย่างไร้ความรู้สึกใดในสีหน้าเรียบเฉย

เทพแห่งสายน้ำผู้พี่เข้าหน้าเทพอู่เฉินไม่ติดตั้งแต่ถูกต่อว่าต่อหน้าฝูงชน กระทั่งตอนนี้ เทพเฟยหลิงยังเฝ้าชื่นชมอาเป้ย ทว่าคงทำได้เพียงชื่นชมเท่านั้น ครั้นจะไปชะโงกหน้าดูอาการของนางผ่านหน้าต่างยังถูกกีดกัน จะขอเป็นเพียงมิตรสหายก็ยังไม่สามารถเป็นได้

"นางเป็นหนึ่งในสมบัติของข้า เป็นเครื่องสังเวยซึ่งมนุษย์มอบให้ข้า หาใช่สตรีเทพไม่ พวกท่านควรเลิกยุ่งกับเรื่องของนางเสีย"

"ข้าคิดว่านางเฉลียวฉลาด มีคารมคมคายเป็นเลิศ นางจิตใจดีมีเมตตา ตัวข้าพบสตรีเทพมาไม่น้อย แต่อาเป้ย... นางงามจากภายใน... ใบหน้าขาวผ่องของนางงดงามหมดจดดังสตรีในภาพวาด ข้าแลเห็นดอกบัวสีขาวเบ่งบานในเรือนท่านพ่อมาแต่ยังเล็กนัก วันหนึ่งข้ากลับมีความคิดว่าดอกบัวเหล่านั้น ไม่ยิ้มแย้มสดใสเท่าอาเป้ย ข้าว่าพวกมันไม่งดงามที่สุดอีกต่อไป"

เทพเฟยหลิงเอ่ยคำชื่นชมนางด้วยการมองไปข้างหน้ายกพัดเหล็กสีเขียวอ่อนพัดไปมา ท่าทางเหมือนพูดคุยกับอากาศ ไม่แม้แต่ประจันหน้ากับคู่สนทนา ประจวบเหมาะพอดี นางฟางเหนียงและอาเป้ยมาได้ยินเข้า มารดาแห่งสายน้ำไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายผิดใจกันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เห็นจะต้องสั่งสอนบุตรชาย

"เทพเฟยหลิง เจ้าจะเอ่ยคำเยินยอสตรีเยี่ยงนี้มิได้เป็นอันขาด ข้าขอเตือนเสียก่อน โดยเฉพาะอาเป้ย นางเป็นสมบัติเทพปีศาจ"

"ข้าขออภัยเถิดท่านแม่... คำก็สมบัติเทพ สองคำก็สมบัติเทพ ข้ามองว่านางเป็นเซียนหญิงผู้มีจิตใจงดงาม นางมีเมตตากรุณาเหมือนอาจารย์ของนาง นางมิใช่สมบัติของผู้ใด"

 อาเป้ยไม่สะทกสะท้านกับคำชื่นชม แต่จะยกมือคารวะหรือขอบคุณเทพเฟยหลิงก็คงไม่งาม นั่นเท่ากับเป็นการรับคำเยินยออย่างยินดี

เมื่อนางหันไปทางเทพอู่เฉิน กลับจ้องมองนางยังกับจะเข้ามาหักคอนางทิ้งเสียตรงนี้ ทั้งที่นางก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ยืนหายใจเฉย ๆ กลับกลายเป็นความผิดได้

"อาเป้ย... นางเป็นสมบัติของเทพอู่เฉิน เชื่อแม่เถิด เจ้าทั้งสองลองมองดูให้ชัด จะได้ตาสว่างเสียที"

ฟางเหนียงเป็นผู้ไขข้อข้องใจให้ทุกฝ่าย ด้วยการวาดฝ่ามือเบา ๆ บนหน้าผากของอาเป้ยปรากฏสีแดงฉาน

"สิ่งนั้นเรียกตรีเนตร นางเห็นสิ่งใด เทพอู่เฉินจะมองเห็นสิ่งที่นางมองเห็นผ่านหน้าผากของนางราวกับว่าเป็นดวงตาที่สามของท่าน ตรีเนตรเป็นสิ่งซึ่งมีเฉพาะเครื่องสังเวยเทพปีศาจ ตรีเนตร..." นางเงียบไปเพราะไม่อยากแพร่งพรายเรื่องสำคัญ ไม่มีผู้ใดรู้มากนักบนเทวโลก มารดาแห่งทิศประจิมเหลียวคอมองไปทางเทพอู่เฉินด้วยท่าทางไม่พอใจ

"มีเพียงปีศาจเท่านั้น ชื่นชอบการรับเครื่องบรรณาการเป็นสิ่งมีชีวิตจากโลกมนุษย์ พึงพอใจกับเครื่องบรรณาการ การหลั่งเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์โดยใช่เหตุ โดยธรรมเนียมแล้วเหล่าเทพของเราไม่มีผู้ใดทำ"

"ข้าจำเป็นต้องทำ เป็นคำสั่งจากเบื้องบน หากข้าไม่ไปรับเครื่องสังเวย มนุษย์อาจเกิดปัญหาใหญ่ ข้าไม่สามารถบอกเรื่องนี้กับใคร"

เทพอู่เฉินไม่ใช่ผู้เจรจาเก่งนัก ในขณะที่ท่านให้ความเคารพเทพเจ้าแห่งสายน้ำเสมอมา โดยเฉพาะใต้เท้าจีกงและนางฟางเหนียงด้วย นางฟางเหนียงเองก็ไม่ใคร่อยากถือสาเอาความเทพปีศาจผู้นี้

"เอาล่ะ ลูกชายข้า ไหนบอกข้ามาซิ เจ้าอยากได้ภริยาผู้มีดวงตาของชายอื่นจ้องมองเจ้าอยู่ตลอดเวลารึยังไง?"

เทพเฟยหลิงยืนนิ่งอึ้งไป ไม่จำเป็นต้องจินตนาการภาพใดต่อหากต้องมีชีวิตคู่เช่นนั้น ก็คงไม่ต่างจากนรกบนดิน! ด้วยความเข้าใจความหมายของสมบัติเทพปีศาจอย่างถ่องแท้ พาลเบือนหน้าหนีไปไม่มองนางอีก

เป็นเทพฟางหรงเบิกตากว้างมองดวงตาบนหน้าผากของนาง เห็นว่ามันมีลักษณะเหมือนนัยน์ตาของเทพอู่เฉินในร่างปีศาจอสรพิษ

"มิน่าเล่า! เทพอู่เฉินถึงได้รู้เห็นทุกอย่างในระหว่างจำศีล ท่านมองผ่านตรีเนตรนั่นเอง ฟ้าผ่านั่นก็เป็นฝีมือท่าน"

"บุรุษไม่ควรมองสตรีด้วยสายตาเสน่หา หากมิใช่ภริยา แถมข้าเคยได้ยินมาจากสตรีนักพรตนางหนึ่ง นางไม่เข้าใกล้บุรุษเกินสามย่างก้าว"

อาเป้ยไม่ได้ฟังเทพต่อปากต่อคำกันเลย นางกลอกตาขึ้นมองบน ยกมือจับหมับเข้ากลางหน้าผากเหมือนตบแมลง

"ชะ เช่นนี้... ทะ... ท่าน เทพเห็นข้ายามผลัดเปลี่ยนอาภรณ์หรือไม่!"

"ข้าไม่ใช่เทพผู้มีนิสัยเลวทรามต่ำช้า ด่านเคราะห์สตรีบนโลกมนุษย์ข้าก็ผ่านมามาก แต่เกรงว่าข้าจะบังเอิญเห็น... โดยไม่ได้ตั้งใจ"

อาเป้ยยกมือปิดป้องกอดกุมร่างกายของตนเองอย่างหวงแหน มองเทพปีศาจอย่างประทุษร้าย ยกความผิดให้ท่านไปทั้งหมด ใบหน้าของนางแดงก่ำไปถึงใบหูด้วยความโกรธและอับอาย ถึงนางจะไม่ได้พูดออกมาก็ตาม

เทพอู่เฉินไม่ทันได้ชี้แจ้งเรื่องนี้ให้เข้าใจ สมบัติเทพปีศาจก็วิ่งเตลิดไปอย่างไร้ทิศทางเยี่ยงสตรีวิปลาส ส่งเสียงตะโกนร้องโวยวายหน้าผากข้า ๆ!