"อืม... ข้าว่าข้าคงเบื่อท่านแล้วล่ะ เทพอู่เฉินไม่มาเชยชมสมบัติของท่านเอง ข้าคงจะช่วยอะไรท่านไม่ได้หากว่าข้าเป็นฝ่ายเบื่อหน่ายในตัวท่าน"
นางพูดจบเท่านั้น! พยัคฆ์อัคคีผู้ไร้เดียงสาพลันถูกพายุสีดำลูกใหญ่พัดกระเด็น กลิ้งตุบลงบนพื้นหญ้า กลุ่มควันเวทสีดำดึงหลังนางจนเสื้อคลุมตัวนอกเกือบจะหลุดปลิวไปกับสายลม
บ่าวงูทั้งสองหน้าตาตื่นกับภาพที่เห็น เทพชั้นผู้น้อยเดินผ่านมาก็รีบหนีไปกันเสียหมด เมื่อสองขาของนางลอยพ้นจากพื้น อาภรณ์ชั้นนอกจะหลุดมิหลุดแหล่ มือหยาบกร้านจับคอเสื้อด้านหลังของนางเอาไว้อย่างฉุนเฉียว
"เมื่อครู่นี้เจ้าพูดอะไร?"
"หูท่านมีปัญหาไปแล้วหรือยังไง ไยท่านต้องถามข้าซ้ำซากเป็นครั้งที่สองด้วย"
"เจ้า... เป็นสตรีน่าเกลียด"
"ท่านเยินยอข้าว่างดงาม"
"งามเพียงใบหน้าและจิตใจของเจ้า แต่เจ้าชอบทำตัวน่าเกลียด ไม่สมเป็นสตรี เจ้ายังมีความคิดที่ไม่ดี เอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาใส่หัวข้า"
"ข้าเปล่าเสียหน่อย ข้าเพียงคิดว่าท่านควรระวังตัว ข้าประสงค์ดีต่อท่านจึงเตือนท่าน ยิ่งท่านนั่งอยู่ผู้เดียวลำพัง ถึงเป็นเทพก็เป็นไปได้ว่าอาจเจอวิญญาณอาฆาตเข้า ข้าเกรงว่าผีนางสิบสองตนนั้นจะมาเยือน..."
"อาเป้ย... ข้าขอสั่งห้ามไม่ให้เจ้าพูดถึงพวกนางอีก!"
เสียงเข่นเขี้ยวของเทพอู่เฉินเงียบไปเท่านั้น ตรงมุมปากหนาหยักได้รูปปรากฏเขี้ยวคม นัยน์ตาเปล่งประกายสีแดงเยี่ยงปีศาจ ทว่าอาเป้ยยังหาได้กลัวท่านแม้สักน้อย นางเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง
"เช่นนั้นข้าไม่รบกวน เชิญนั่งบำเพ็ญเพียรต่อเถิด เทพอู่เฉินสัมผัสนิพพานเมื่อใด อย่าลืมแวะมาบอกข้าด้วย ข้าจะสวมชุดเจ้าสาวมาแสดงความยินดีกับท่าน จัดงานเฉลิมฉลองให้ยิ่งใหญ่ว่างานส่งเครื่องสังเวยของเจ้าเมืองหลงอี้จีนซะอีก"
"อาเป้ย! เจ้านี่มัน!"
เทพอู่เฉินโมโหนางจนหน้าแดงก่ำแล้วตอนนี้ แต่นางไม่ใคร่ใส่ใจเหมือนตั้งใจมายั่วโทสะท่านเต็มประดา ก็สมใจนางแล้วล่ะ นางลุล่วงสำเร็จผลของนาง ตราบจนนางได้รับอิสรภาพ เดินเอามือไพล่หลังไปในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ข้างหนึ่งหล่นลงจนเห็นไหล่กลมกลึง นางยังไม่ยอมสวมใส่เสื้อผ้าให้ดี
แล้วคนนั่งบำเพ็ญเพียรก็ตบะแตก ต้องตามไปสะบัดมือตีอากาศครั้งหนึ่ง จัดการเสื้อผ้าของนางให้กลับมามิดชิดปิดเนื้อหนังมังสา ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยโทสะแรงกล้า
"ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเทพอู่เฉินมีวิบากกรรมหรือไม่ เป็นจุดประสงค์ข้อที่หนึ่งของข้า... ข้อที่สอง... ข้าจะหาสักหนทางหนีไปเที่ยวแถว ๆ นี้แหละ"
รอยยิ้มมาดมั่นบนใบหน้าสวยหวานทำให้เจ้าเหลียนเหลียนสงสัย มันยังว่ากล่าวตักเตือนนางว่าไม่ควรออกไปไหนทั้งสิ้น ด้วยเกรงว่านางจะก่อเรื่องอะไรอีก
แต่จะให้นางทำอย่างไร หาทางติดต่อมารดาบนโลกมนุษย์ก็ไม่ได้ นางไม่ได้รับอนุญาตจากเทพอู่เฉิน ครั้นจะนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียงก็น่าเบื่อหน่าย
หลายวันมานี้เทพอู่เฉินไม่สนใจนาง หลังจากที่นางไปยั่วโมโหท่านกลับเดินมากำชับนางเรื่องการแต่งตัวให้เรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องสวยสง่า ไม่มีเหตุจำเป็นก็อย่าได้สวมอาภรณ์ที่เผยให้เห็นเนื้อหนังมังสาขาว ๆ ของนาง ในเมื่อนางแทบไม่ได้ออกไปไหน วัน ๆ อยู่แต่ในเรือนของท่าน
นางพยักหน้ารับทราบ แต่ขอพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ให้ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนางบ้างว่าอยากจะสวมอาภรณ์สวยงาม หรือว่าวันไหนนางอยากสวมใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ
"เจ้าจะไปไหน? อาเป้ย... เจ้าไม่ควรออกนอกอาณาเขตของเรือนนี้ ข้าไม่อยากมีปัญหากับเทพอู่เฉิน ท่านไม่ชอบหน้าข้า เจ้าก็รู้"
"เจ้าจะกลัวอะไรกันเล่า เทพอู่เฉินแท้จริงแล้วเป็นเทพผู้มีเมตตา ท่านเพียงหยอกเจ้าเล่นเท่านั้น ครานี้ข้ารับปากว่าข้าจะปกป้องเจ้าเอง"
พยัคฆ์อัคคีดูไม่สดใสนัก มันไม่เคยเห็นด้วยกับความคิดของนาง ขนาดว่าตอนนี้มันต้องอยู่หน้าห้องนอนเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้นอนกับนางอีก เทพอู่เฉินผลักมันกลิ้งตุบลงพื้นอย่างไม่พึงพอใจ นางก็ยังบอกว่าท่านหยอกล้อเล่นเป็นกิจวัตร
อาเป้ยนั่งยองลง เลื่อนมือไปลูบเปลวไฟสีน้ำเงินเพื่อปลอบประโลม
"เหลียนเหลียน... เจ้าอย่าเศร้าไป ชีวิตล้วนไม่ยั่งยืน ต่อให้ยืนนานเยี่ยงในเมืองเทพ เจ้าก็ไม่ควรจมปลักกับความเศร้าหมอง วันสองวันก็เพียงพอแล้วสำหรับความเศร้า ตอนนี้เจ้าอยากทำอะไร เจ้าจงทำ หาความบันเทิงใจ ความสุขให้กับตัวเจ้าเอง เจ้าอยากไปจากเทือกเขาอุดรแห่งนี้เมื่อใด เจ้าจงไป..."
"ข้าจะไปที่ไหนได้ ตัวข้าเวลานี้แสนจะอ่อนแอยิ่งกว่าลูกแมวบนโลกมนุษย์..."
พยัคฆ์อัคคีตัวน้อยคิดสับสนกับชีวิตของมัน ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป มันไม่ได้รับการต้อนรับในสถานที่แห่งนี้แต่มันไม่กล้าที่จะออกไปเผชิญโลกกว้าง ในขณะที่มันได้รับการปลอบประโลมทุกวันจากอาเป้ย ผู้มีทักษะในการพูดจาจรรโลงใจได้เสมอ
"ข้าเองไม่เคยจะได้อยู่กับท่านพ่อท่านแม่ ข้าอยู่กับหลวงจีนนักพรตมาทั้งชีวิต ข้าทำงานงก ๆ แต่เช้าจรดค่ำ ไม่เคยจะได้แต่งตัวสวยงาม ข้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าประหนึ่งร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง วันหนึ่งข้าก็ถูกท่านเจ้าเมืองจับตัวมาสั่งสังหารอีก ข้าว่าชีวิตของข้าอาภัพไม่แพ้เจ้าหรอก"
แล้วนางก็สร้างกำลังใจให้เจ้าพยัคฆ์อัคคีลุกขึ้นเดินตามนางได้สำเร็จ ถึงการเดินเล่นของนางในแต่ละวันจะขัดใจท่านเทพเจ้าของเรือนอยู่สักเล็กน้อย นางว่าวันนี้นางคงไม่ทำเสียงดังรบกวนผู้ใด หากเป็นไปได้นางจะไปหลบอยู่ด้านหลังป่าไผ่ นั่งเล่นกับเจ้าเหลียนเหลียน
บัดนี้เปลวเพลิงรอบกายของพยัคฆ์อัคคีกลับมาเป็นสีเดิมของมัน ขนาดของลำตัวยังเติบโตขึ้นเล็กน้อย ทว่ายังคงเป็นพยัคฆ์สีขาวตัวกระจ้อยร่อย เตี้ยกว่าหัวเข่าของนางอยู่ดี นางได้ยินมาจากสองบ่าวงูว่าอสูรและปีศาจเติบโตเร็วมาก ไม่มีเวลาในวัยเยาว์นานเช่นเดียวกับเหล่าเทพ เพิ่งพบกันไม่นานนัก อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นบุรุษร่างกำยำเสียแล้ว
"เจ้าดูซีว่าเวลานี้ข้าเป็นสตรีสมใจข้า แต่ทั้งมนุษย์ เทพ หรือแม้กระทั่งปีศาจกลับดูถูกข้ายิ่งนัก เอาล่ะ ในเมื่อข้ารอดชีวิตมาได้ ข้าจะหาเรื่องบันเทิงใจ หาความสุขให้กับชีวิตของข้าดีกว่า เราจะไปไหนกันดี? อ้อ... ข้าว่าข้ารู้แล้วล่ะ"
มีเพียงนางผู้เอาแต่ใจ พยัคฆ์อัคคีไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่นางกำลังจะทำนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกจากเรือนเทพอู่เฉินซึ่งเป็นข้อห้ามโดยเด็ดขาด ทว่ามันคงไม่มีทางเลือก ก็ต้องตามนางไปเงียบ ๆ เพื่อระวังหลังให้นาง