Chapter 26 - 9-2 愚蠢的女士 สตรีผู้โง่เขลา

"ข้ามีความคิดเช่นเดียวกับเจ้า แต่หลังจากที่เจ้าพิจารณามันเรียบร้อยดีแล้วเจ้าควรจะกลับไปนั่งเล่นในป่าไผ่เช่นเดิม ให้ดูเหมือนกับว่าเจ้าไม่เคยออกมานอกกำแพงเรือนเทพอู่เฉิน"

เจ้าเหลียนเหลียนถึงเป็นพยัคฆ์อัคคีเด็กไร้ความมั่นใจ มันกลับช่างบ่น ช่างจู้จี้จุกจิกเหมือนเทพอู่เฉิน คอยห้ามปรามนางไม่ให้นางไปไหนต่อไหน อาเป้ยนั่งยองลงตรงหน้าแหล่งน้ำ หันหลังกลับไปหามัน นางกำลังจะเอ่ยปากต่อว่าทำไมมันถึงไม่เข้าข้างนางเลย แล้วไม่เบื่อป่าไผ่รึยังไง ดันสบนัยน์ตาสีแดงฉานเข้าพอเหมาะพอดี

"เทพอู่เฉิน!"

บุรุษเทพในอาภรณ์สีดำยืนถลึงตามองนางอย่างเอาเรื่องเอาราว พูดกับนางด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ

"ตรีเนตรเกิดจากเวทของปีศาจ ไม่ว่าเจ้าจะเอาอะไรมาปิดทับ เจ้าไม่สามารถปิดบังสายตาของข้าได้อาเป้ย ข้ามองผ่านหน้าผากของเจ้าและมองเห็นทุกสิ่งอย่างแม้แต่ที่เจ้ากระโดดขึ้นต้นไม้นั่น หลบซื่อหยูอี้ เซียวอี้หรู เจ้าหัวเสียใส่พวกเขา ข้าก็เห็น..."

เวรกรรมอันใดของนาง! หลุดพ้นจากเทือกเขานักพรตมาได้ กลับต้องมาพานพบอาวุธเวทติดตามตัวของปีศาจ อานุภาพร้ายแรงเช่นนี้

"โธ่! ท่าน... เทพอู่เฉิน..."

 นางอุทานอย่างหัวเสีย กระตุกผ้าสีขาวโยนลงน้ำไปเมื่อมันไม่มีประโยชน์อันใดอีกยังเกะกะศีรษะของนางยิ่ง นางหลุบตามองผืนน้ำ กลบเกลื่อนความผิดด้วยการอุ้มพยัคฆ์อัคคีมานั่งบนหน้าตัก

"เจ้าควรเลิกอุ้มเจ้าเหลียนเหลียนได้แล้ว มันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงเยี่ยงสุนัขหรือแมวบนโลกมนุษย์ มันคือสัตว์อสูร แม้แต่มารดาของมันก็ยังไม่อุ้มกอดมัน ไม่ร้องเพลงกล่อมมันเหมือนที่เจ้าปฏิบัติกับมัน เจ้ากำลังทำให้มันเคยตัว หากภัยมาเยือนแก่ตัวมันในสักวันหนึ่ง ไม่มีทางที่มันจะรอดชีวิต"

"ไยท่านจึงไม่ช่วยข้าเลี้ยงดูมัน เทพอู่เฉินเป็นผู้มีประสบการณ์แก่กล้า มีเมตตาต่อปีศาจแม้แต่สองงูตนนั้นท่านยังชุบเลี้ยงมา ก็ไม่ควรจะเลือกปฏิบัติ ลำเอียงต่ออสูรตัวน้อยตนนี้ ท่านช่วยสั่งสอนข้าทีว่าข้าควรทำอย่างไร ข้าเป็นเพียงสมบัติผู้โง่เขลาบนเมืองเทพ"

นางยังลูบศีรษะมันด้วยอีกต่างหาก แม้เห็นแววตาคู่คมของบุรุษร่างสูงใหญ่บัดนี้เต็มไปด้วยโทสะ ซึ่งสงบลงในอีกครู่หนึ่ง

"วางเจ้าเหลียนเหลียนลง ให้มันเดินกลับไปเองแล้วเจ้า... ตามข้ามา"

"ไม่ล่ะ ตอนนี้ข้าขอเอาเจ้าหินพวกนั้นขึ้นมาก่อน ข้าอยากได้มัน ข้าค่อยไปนั่งคุยกับท่านทีหลัง..."

อาเป้ยวาดมือซ้ายของนางจนชายเสื้อสีดำสะบัดพลิ้วตามแรงลม นางสร้างไอเวทสีดำทำให้ผืนน้ำเบื้องหน้าขยับเป็นระลอกคลื่น

เทพอู่เฉินมีสีหน้าประหลาดใจที่นางเอาแต่ใจตนเอง แต่การฉุดกระชากลากนางกลับไป บ่าวที่อยู่ในเรือนคงมองไม่ดีเข้าไปใหญ่

เพียงเท่านี้ก็ถูกติฉินนินทาไปถึงเทวโลกชั้นฟ้าแล้ว เทพอู่เฉินตระหนักรู้แก่ใจตนว่าควรวางตัวให้ดีกว่าเดิม จึงยืนมองนางพยายามเก็บหินใต้น้ำ ด้วยการวาดมือใช้เวทหยินอย่างตั้งอกตั้งใจเหลือเกิน

"เมตตาธรรมค้ำจุนโลกของเจ้าคืออะไร ข้าเห็นเจ้ากำลังบังคับปลาตัวหนึ่งให้ลงไปหยิบหินพวกนั้นให้เจ้า"

"ข้าเรียนรู้มาจากท่านยังไง ข้าเห็นว่าท่านสามารถทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับท่าน"

นางเหน็บแนมเทพได้อย่างเจ็บแสบเรื่องที่ท่านไม่รักษาคำพูดตนเอง เทพอู่เฉินรู้สึกเสียหน้าพอสมควร เดินเข้าไปใกล้ ๆ นาง เอามือไพล่หลังก้มหน้าลงมองนาง

"ข้ากำลังยุ่งกับการบำเพ็ญเพียร เป็นเรื่องที่ข้าจำเป็นต้องทำเพื่อรักษาพลังเทพเอาไว้"

"เชิญท่านทำต่อไปซี ข้าจะขอใช้เวลาส่วนตัวของข้าบ้าง... ทำไมข้าจะเอามันขึ้นมาไม่ได้ ข้าอยากได้มันเพราะมันเป็นหินสีดำเหมือนเกล็ดของท่าน ดีล่ะ... ข้าชอบ..." นางพูดพลางหมุนข้อมือขวาเป็นวงกลม ใช้พลังของกำไลหยินหยางเข้าช่วย เพื่อให้ปลาอีกสองตัวซึ่งว่ายน้ำผ่านมาเข้าไปจัดการหินเหล่านั้น ทว่ามันกลับขยับเพียงเล็กน้อย

น้ำนิ่งสนิทและใสสะอาดแห่งนี้เชี่ยวกรากและไหลลึกกว่าที่นางคิด

"เจ้าจงระวังอาเป้ย... เวทหยินหยางเจ้ายังฝึกได้ไม่ดีนัก..."

"ได้... นี่แหละ เป็นหน้าตายามเกรี้ยวโกรธของเทพอู่เฉิน"

เทพอู่เฉินหลุบตามองมือเล็กบอบบางของนางอย่างเป็นห่วงเป็นใย นางหาได้รู้ตัวไม่ แม้แต่พยัคฆ์อัคคีบนหน้าตักนางยังไม่กล้าที่จะขยับลมหายใจของมัน ด้วยกลัวว่ามันอาจทำให้นางร่ายเวทผิดพลาดไปและเกิดอันตรายขึ้น

อาเป้ยละความพยายามลงในอีกไม่ช้า ในเมื่อนางไม่สามารถนำหินเหล่านั้นขึ้นมาจากน้ำได้ นางจึงโบกสะบัดร่ายเวทหยินหยางเล่นเสียเป็นการฝึกปรือ บังคับหมู่มัจฉาให้นำหินพวกนั้นเรียงต่อกันเป็นรูปร่าง

"ใช่แล้วล่ะ หินพวกนี้มันอยู่หน้าเรือนท่าน มันต้องเป็นรูปเรือนของท่านซี ทำไมมันเรียงกันเป็นรูปเรือนใต้เท้าจีกงได้เล่า"

"อันนี้เรือนท่าน... อันนี้... เจ้าเหลียนเหลียนยิ้มแฉ่ง"

"เจ้าเสียสติไปแล้วรึยังไง? อาเป้ย หยุดเล่นสนุกแล้วลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้"

"ข้าไม่มีอะไรทำ ข้าก็หาเรื่องเล่นสนุกไปเรื่อย ข้ารับปากท่านว่าข้าจะไม่ไปไกลเกินกว่าบริเวณนี้แล้วกัน ท่านมีตรีเนตร แอบมองข้าอยู่ตลอดนี่ ท่านจะอะไรกับข้านักหนาล่ะ"

พูดจบ นางหยุดร่ายเวททั้งขาวและดำที่ลงตัวกันอย่างพอเหมาะพอดี นางปล่อยเจ้าเหลียนเหลียนลงจากตัก เพื่อลุกขึ้นยืนเหยียดแผ่นหลังตรง ไพล่มือไว้ด้านหลังข้างหนึ่ง

ด้วยความสูงของบุรุษตรงหน้า นางต้องเงยขึ้นมองท่าน พร้อมความรู้สึกว่าตนช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดิน อยู่ดี ๆ นางก็กระโดดไปยืนอยู่บนหินก้อนหนึ่งบนธารน้ำใส

"ข้าอยากได้หินสีดำทั้งหมดตรงนี้ ข้าจะหาทางเอามันขึ้นมาและกลับไปของข้าเอง แต่หากว่าท่านจะบังคับข้าไป... ลองมาไล่จับข้าดู..."