Chapter 23 - 8-2 半个魔鬼 ครึ่งปีศาจ

"แล้วตัวของท่านล่ะ... มีวิบากกรรมหรือไม่? ท่านสังหารสตรีไปถึงสิบสองคน โดยที่พวกนางไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย พวกนางเป็นผู้บริสุทธิ์"

"คงจะมี... บ้าง... กระมัง"

เพราะลืมเรื่องของตนไปสนิท ทว่าฉุกใจนึกขึ้นได้ในเรื่องที่นางพูดขึ้นมาว่าการกระทำผิดด้วยการคร่าชีวิตเป็นวิบากกรรมอันใหญ่หลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเครื่องสังเวยต่างเหลือเพียงเศษซากกระดูก โลหะซึ่งติดร่างมากับพวกนาง น้อยชิ้นจริง ๆ จะไม่ละลายหายไปกับพิษ พวกนางแสนจะทรมาน

กเฬวรากซากศพของพวกนางเป็นภาพจำติดตาของเทพอู่เฉิน ในทุกสิบสองปีบนโลกมนุษย์

หนึ่งปีบนโลกมนุษย์เท่ากับหนึ่งร้อยปีบนเทวโลก หนึ่งร้อยปีก็เท่ากับหนึ่งพันปี เทพอู่เฉินมีหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายคือไม่ให้เฟยอี๋ลงไปรับเครื่องสังเวย ท่านจะต้องลงไปก่อนท่านแม่ และหากว่าพบนางเข้าก็จะต้องขัดขวางไม่ให้นางไปรับเครื่องสังเวย

ลำพังท่านแทบไม่เคยเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิต นอกเสียจากสัตว์เพื่อมาประกอบอาหาร นั่นก็ยังนาน ๆ ครั้ง ด้วยความที่เหล่าเทพต่างอิ่มทิพย์บนเทวโลก

"หากว่าข้าเป็นท่าน ข้าคงอยากล่วงรู้กรรมของตน เผื่อว่าพอมีหนทางแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบาได้ ให้วิญญาณของพวกนางไม่คิดอาฆาตแค้นข้า ข้าว่านางคงเจ็บปวดทรมาน แสบร้อนเพราะพิษของท่านน่าดูกว่าที่พวกนางจะตาย"

"พวกนางรู้ตนดี จึงยอมเป็นเครื่องสังเวยอย่างเต็มใจ พวกนางคิดว่าตนเป็นเจ้าสาวด้วยแผนการของเจ้าเมืองหลงอี้จิน ข้าคิดว่าท่านเจ้าเมืองน่าจะผู้ที่ต้องประสบกับเคราะห์กรรมมากที่สุด มากกว่าข้าเสียอีก"

"ข้าพูดถึงกรรมของท่านต่างหากเล่า ไม่ได้สนใจผู้อื่นเสียหน่อย วิบากกรรมท่านเจ้าเมืองก็เรื่องของท่านซี แล้วข้าว่าอีกไม่กี่ปี ประเดี๋ยวท่านก็คงจะแก่ตายแล้วกระมัง"

นางตอบแล้วลุกขึ้นเดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ พอได้พูดถึงท่านเจ้าเมืองผู้จับตัวนางมา อย่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย แต่เทพอู่เฉินยังนั่งอยู่ในห้องหนังสือเช่นเดิม ไม่ได้ตามนางไป

ก็คงจะสาแก่ใจนาง ผู้ทำให้เทพปีศาจอู่เฉินเกิดความสำนึกผิดขึ้นมาได้สำเร็จ

 

กลิ่นหอมตลบอบอวลของหมู่มวลบุปผาถูกกลบด้วยกลิ่นอาภรณ์และเส้นผมของสตรีนางหนึ่งเสียหมด เทพอู่เฉินอยู่ในร่างปีศาจค่อนข้างนาน แทบไม่ได้กลับร่างบุรุษเทพเลยตอนเฝ้าไข้นาง เมื่อกลับมาพักผ่อนในเรือนอันเงียบสงบ จำต้องใช้เวลาในการนั่งบำเพ็ญเพียรหลายวัน

ยามใดที่อยู่ในร่างปีศาจอสรพิษผู้ทรงพลัง เขาก็มีความคิดเช่นปีศาจ โมโหฉุนเฉียวได้อย่างไม่ยากนัก โมหะโทสะเข้าครอบงำจิตใจรุ่มร้อน ลุ่มหลงในเนื้อหนังมังสาความงามของอิสตรี

การกลับมาเป็นบุรุษเทพครานี้ เทพอู่เฉินเริ่มที่จะไม่พึงพอใจกลิ่นเนื้อนาง อันทำให้หัวสมองฟุ้งซ่านยากแก่การสงบจิตสงบใจ ไหนจะเรื่องที่เพิ่งถูกนางบริภาษ กล่าวถามถึงสตรีบริสุทธิ์เหล่านั้นต้องเจ็บปวดเท่าไร คงไม่แปลกที่เทพใจดีอย่างเขาจะสำนึกผิดในบาปที่กระทำลงไป

แล้วเช่นนี้จะเกิดวิบากกรรมหรือไม่? กรรมเป็นของผู้กระทำหรือผู้สั่งการ

เทพอู่เฉินนั่งตรึกตรองเรื่องนี้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ดอกเหมยบานสะพรั่งด้านหน้าเรือนไม้อันสวยงาม เข้าข้างตนเองว่าคำสั่งของเบื้องบน สั่งให้ถือดาบสังหารมนุษย์อาจไม่ใช่ความผิด พวกนางต่างหากที่จำเป็นต้องตายในฐานะเครื่องสังเวย

หรือแท้จริงแล้วเขาอาจไม่คู่ควรกับคำว่าเทพ แต่ควรเป็นปีศาจอู่เฉิน

"ท่าน ๆ..."

"เทพอู่เฉิน..."

เสียงกระซิบเรียกทำให้บุรุษเทพเปิดตาขึ้นช้า ๆ หันไปมองสตรีข้างกาย เทพอู่เฉินเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มแย้มกว่าวันก่อน กลับถอนหายใจออกมา

"เจ้ามีเรื่องอะไร? อาเป้ย"

"ข้าเห็นว่าท่านนั่งหลับตาอยู่ลำพังตั้งนาน ข้าจึงสงสัยว่าท่านนอนหลับบ้างหรือไม่ ท่านมีความฝันหรือไม่ ส่วนตัวข้าเห็นจะไม่ฝันอะไรเลยสักอย่าง"

อาเป้ยสวมอาภรณ์เป็นเสื้อคลุมตัวยาว สีชมพูเข้มอ่อนสลับไปกับสีขาว ดูสดใสราวสีสันของดอกบ๊วย ด้านในเป็นผ้าคาดอกผืนตรงยาวไปถึงตาตุ่ม ผิวละเอียดเนียนบริเวณเนินอกของนางช่างเย้ายั่วสายตาบุรุษ แต่นางหาได้รู้สึกตัวแม้สักนิด นางเพียงอยากใส่ชุดสวยงามสดใส ซึ่งมารดาแห่งสายน้ำมอบให้ แม้แต่เส้นผมที่ปักไว้ด้วยปิ่นสีทองส่งกลิ่นหอมอ่อนไปถึงท่านเทพเมื่อสายลมพัดผ่านเรือนร่างของนาง ราวกับว่านางตั้งใจยั่วยวนเทพปีศาจ ผู้ไม่เคยใกล้ชิดอิสตรีมาก่อนตลอดห้าพันกว่าปี เทพอู่เฉินจึงมองนางด้วยสายตาเย็นยะเยียบเยี่ยงนี้

"ไหนเจ้าบอกกับข้าว่าท่านอาจารย์ห้ามไม่ให้เข้าใกล้บุรุษเกินสามย่างก้าว"

"ข้าอภัยท่านอู่เฉิน! ข้าไม่ควรให้นางเข้ามายุ่มย่าม" เซียวอี้หรูวิ่งเข้ามาทันควัน เพื่อห้ามปรามแต่ว่าคงไม่ทัน อาเป้ยมองขวับด้วยท่าทางฉุนเฉียว

"ข้าไปก็ได้... ท่านเซียวอี้หรู ไม่ต้องขับไล่ไสส่งข้านักหรอก เชอะ" แล้วนางก็หันไปทางพยัคฆ์อัคคีตัวน้อย "เหลียนเหลียน เจ้าไปเที่ยวเล่นกับข้าดีกว่า"

บ่าวงูคนสนิทของเทพอู่เฉินคงไม่แปลกใจเพราะเห็นนางอุ้มเจ้าตัวน้อยมาสักพัก แต่เป็นเทพอู่เฉินเสียเอง เมื่อเท้าทั้งสี่ของพยัคฆ์อัคคีเหยียบข้ามอากาศมาหาอาเป้ย อ้าแขนรับมันเข้าหาอ้อมกอดอย่างสนิทสนม

"มันให้เจ้าอุ้มด้วยหรือ?"

"ใช่ ข้านอนกอดมันด้วย ขนของมันนุ่มราวปุยนุ่น ร่างกายของมันห่อหุ้มด้วยเปลวไฟอันอบอุ่น ข้ากล่อมมันให้หลับทุกราตรี มันจะได้ไม่โศกเศร้าอาลัยคิดถึงท่านแม่ของมันมาก" นางลูบศีรษะมันก็ทำเซื่องซึมเป็นแมวตัวหนึ่ง ไร้ความเป็นพยัคฆ์อัคคี อาจเพราะว่ามันยังเล็กนัก นางหันไปพูดกับเทพอู่เฉิน