เทพหลงเหนียนกลอกนัยน์ตาสีโลหิตไปมา แล้วจดจ้องนางเช่นเดิม
"ข้าจะส่งรายงานท่านราชาแห่งสวรรค์ตามที่เจ้าบอกข้ามาทุกอย่าง หวังว่าคำพูดของเจ้าจะไม่มาเป็นภาระแก่ข้าในภายหลัง"
สิ้นคำ อสรพิษกายายิ่งใหญ่โอฬารกลับกลายเป็นบุรุษร่างกำยำสวมอาภรณ์งดงาม เสื้อคลุมไหล่แขนยาวเป็นหนังเงามันเหมือนหนังงู ผ้าคาดเอวถักทอด้วยดิ้นทองปักลายอสรพิษ
ไยงูยักษ์น่ากลัวตนนี้จึงมีอุ้งมือมังกร? แม้แต่อาภรณ์ของท่านก็เป็นเช่นนั้น
นางขมวดคิ้วเข้าหากันในสีหน้ายุ่งเหยิง น่าแปลกสำหรับนางผู้ไม่ได้ละวางตาไปจากท่านเลยแม้สักอึดใจเดียว ขณะที่นางเพิ่งจะสูญเสียการทรงตัวเกือบร่วงลงน้ำ เมื่อท่านเทพอยู่ดี ๆ ก็แปลงกายไม่บอกนางสักคำ หากด้วยความว่องไวของนาง จึงแตะปลายเท้ากระโดดข้ามผืนน้ำไปอย่างทันท่วงทีที่เทพหลงเหนียนออกคำสั่ง
"ตามข้ามา"
บุรุษร่างกำยำวาดฝ่ามือทั้งสองออก ถีบปลายเท้าทะยานขึ้นสู่เวหา ท่านนำหน้านางไปอย่างรวดเร็วปานเทพแห่งสายลม ผ่านลำน้ำทอดยาวสุดตาในยามราตรี ดวงเดือนบนท้องนภาส่องสว่างลงมาให้พอมองเห็นหนทาง
ถัดจากพงไพรอันกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์เป็นเรือนหลังใหญ่ คล้ายจวนท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินซึ่งนางจำได้แม่นยำตอนนางถูกทหารจับตัวมา ต่างตรงที่โดยรอบนั้นโอบล้อมด้วยห้วงนทีสีมรกตเปล่งประกายระยิบระยับ พฤกษาเบ่งบานสีจัดจ้านปานสีของโลหิต ยังมีบุษบันสีชมพูหวาน สีขาวสว่างผลิบานอย่างงดงาม
ไม่น่าเชื่อว่าความงามเบื้องหน้าได้ประจักษ์แก่สายตาของนาง เคยได้ยินเพียงหญิงชราเล่าขานกันว่าเทวโลกแสนสวยงามสะอาดสะอ้าน กว้างขวางกว่าโลกมนุษย์มากนัก เป็นที่พำนักอาศัยของเทพเซียนและเหล่าเทพ
เทวโลกทั้งชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นน้ำ ยิ่งสูงเท่าไรยิ่งงดงาม เงียบสงบมากขึ้นเท่านั้น
"เจ้าโกหกข้าข้อหนึ่ง" เสียงเข้มว่า เทพหลงเหนียนหันกลับมาประจันหน้านาง ด้วยสายตาคมกริบราวมีดเฉือน "รู้วิทยายุทธ์เพียงเล็กน้อย วิชาตัวเบากลับร้ายกาจนัก เจ้าจึงสามารถไล่ตามข้าทัน"
"ข้าจำเป็นต้องตามท่านให้ทันเพราะข้าไม่อยากถูกทิ้งไว้กลางป่าต่างหากเล่า เท้าข้าร้าวระบมไปหมด ท่านเอาแต่กระโดดหนีข้า ไม่เหลียวมองสักนิดว่าข้าจะตามทันหรือไม่ จะไปรู้เรื่องได้ยังไงกัน"
ฝีปากอาเป้ยไม่เป็นรองใคร นางยกขาขึ้นถอดรองเท้ายับเยินหลังผ่านสมรภูมิมาหมาด ๆ เหลือบตามองซ้ายขวาอย่างอยากรู้อยากเห็น ทันใดนั้นเอง ท่านเทพผู้มีหน้าตาโกรธขึ้งบึ้งตึงตลอดเวลาเหาะเหินขึ้นเวหาไป นางรีบตาม ตะโกนไล่หลัง
"ท่านเทพหลงเหนียน! ได้โปรดอย่าเสกฟ้าฝนลมกริ้วทำลายบ้านเมืองข้าเลย ทุกถ้อยคำของข้าล้วนเป็นความจริง ข้ามิกล้าโกหกท่านแน่นอน"
"เป็นบัญชาสวรรค์ ข้าไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ"
นั่นปะไร! ข่าวร้ายข่าวใหญ่ของท่านเจ้าเมืองหลงอี้จิน! หากแล้วแต่บัญชาสวรรค์ แปลว่าพวกนางทั้งหลายก่อนหน้านี้ก็มาตายเปล่าน่ะสิ
อาเป้ยหน้าตาตื่นตระหนก ในขณะที่นางไม่มีโอกาสได้ไถ่ถามอะไรอีก เมื่อมาถึงหน้าประตูบานเลื่อนไม้สลักลวดลายของท้องนภา มองเข้าไปภายในห้องคับแคบมีที่นอนปูทับด้วยขนสัตว์ดูฟูนุ่ม โต๊ะไม้หนึ่งตัว เทียนเล่มใหญ่เพียงเล่มเดียวส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง
"เรือนข้าไม่ชอบที่จะต้อนรับแขก ที่พักของเจ้าคือห้องใต้ดิน ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าออกไปเพ่นพ่าน และอย่าได้ส่งเสียงรบกวนข้า"
"เดี๋ยวก่อนท่านเทพ..." นางยกมือรั้ง ทว่าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ของท่านตอนนี้ พูดไปก็จะหาว่านางเรื่องมากจึงก้าวเข้าไปในห้อง เอ่ยเสียงอ่อน
"มนุษย์ต่างเล่าขานกันว่าท่านในร่างบุรุษมีใบหน้าสีดำ มีเขี้ยวอสรพิษ กายาแข็งแกร่งเต็มไปด้วยเกล็ดอันคมกริบราวใบมีด บางคราท่านอาจมีร่างเป็นงูคู่สองตัวพันกันแต่มีศีรษะเป็นมนุษย์ บางตำราว่าท่านเป็นงูพันรอบเต่า"
คิ้วเข้มหนาขมวดเข้าหากันถาม "อย่างนั้นรึ?"
"แต่ท่าน... เอ่อ... ดูดีกว่าที่ข้าได้ยินมา... ตัวท่านเวลานี้หากได้ไปเดินเที่ยวในโลกมนุษย์ สตรีจากทั่วหล้าคงรุมล้อมท่านหน้าหลังทีเดียว ท่านเทพหลงเหนียนช่างรูปงามนัก ราวหยกสลักก็มิปาน"
ปัง!
เทพหลงเหนียนสะบัดมือฟาดเวทเซียนใส่ประตู กลุ่มควันดำยังลอยอยู่ในอากาศ เจ้าสาวในชุดสีแดงสดสวยผู้ก้าวถอยไม่ทัน ได้แต่ยืนนิ่งอึ้งตะลึงงัน เมื่อนางเพิ่งถูกปิดประตูใส่หน้า!
นางเพียงเชยชมท่านว่ารูปงาม แล้ว... นางพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ!?
อาเป้ยได้พบเทพหลงเหนียนในร่างบุรุษเพียงครั้ง นางอยากจะนับว่าครั้งเดียวเพราะครั้งแรกนั้นท่านแปลงกายแล้วหนีหน้านางไปในทันที
ครั้งที่สอง ท่านต่อว่านางโกหกข้อหนึ่ง แล้วเหาะเหินเดินอากาศไปเช่นเดิม
ครั้งที่สาม ท่านมาส่งนางหน้าห้องพัก นางถึงได้พิจารณาใบหน้าคมคายไร้ที่ติของท่าน
คิ้วเข้มหนาขนานไปกับดวงตาเรียวรี หางคิ้วยกขึ้นสูง นัยน์ตาสีโลหิตดูก้าวร้าวดุดัน ทว่าหากมองให้ดีแล้วนางว่าสวยงามดึงดูดเหล่าอิสตรีเป็นอย่างมาก จมูกโด่งเป็นสันคมรับกับสันกรามแกร่งเยี่ยงชายชาตรี ทำให้ท่านดูองอาจและสง่างาม ริมฝีปากอมแดงอมชมพูดูนุ่มนวลอ่อนหวานประหนึ่งกลีบดอกเหมยฮวา
บุรุษเทพผู้นี้รูปงามปานหยกสลัก นางหาได้เคยพบบุรุษรูปงามเท่านี้ไม่
ใช่ว่านางหลงใหลในรูปลักษณ์เทพหลงเหนียนนักหรอก นางเพียงไม่มีโอกาสชื่นชมความงามของผู้ใด ด้วยความที่นางพำนักอาศัยอยู่ในกระท่อมตีนเขาวัดเทียนหลง ปลอมตัวเป็นข้ารับใช้ชาย ลูบหน้าตนด้วยถ่านหินมาทั้งชีวิต บุรุษมากมายผู้ที่นางจะได้พบเจอมีแต่หลวงจีนหัวล้าน นักพรตเฒ่า พ่อค้าในตลาด
นางพบเห็นบุปผางาม สตรีใบหน้าสะสวยในหอนางโลม ซึ่งนางเคยแอบหนีไปเที่ยวเพราะว่าอยากพบท่านแม่บ้างนาน ๆ ครั้ง นางก็ว่างาม
การเอ่ยคำชื่นชมเป็นเรื่องดี เวลาท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงชมนางว่าทำดีมาก อวยพรขอให้นางเพียรพยายามต่อไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง นางจะมีกำลังใจทุกครั้ง
แล้วนี่นางยังไม่ตาย!
หลังทอดความคิดไม่น่าภิรมย์ไปกับบุรุษเทพรูปงามอัธยาศัยยอดแย่ นางฉีกยิ้มกว้างให้กับตนเอง เดินสำรวจห้องของตน
ที่พักอาศัยของนางคล้ายกับห้องขังนักโทษชั้นใต้ดิน ดีที่ยังมีเตียงนอนปูด้วยขนสัตว์นุ่มนิ่ม แสงลอดมาจากช่องหน้าต่างบานเล็กกว่าฝ่ามือ
คิดในแง่ดี หากเป็นฤดูเหมันต์ที่มีหิมะขาวโพลนไปทั่วทุกแห่ง ห้องนี้คงอบอุ่นเสียจนนางไม่ต้องนอนขดตัวอยู่หน้ากองไฟอย่างในกระท่อมซอมซ่อ
นางเคยลำบากกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า มือเรียวเล็กอย่างสตรีของนางแตกและหยาบกร้าน ริมฝีปากไร้ความชุ่มชื้นมีเลือดเกรอะกรังและอักเสบในฤดูหนาว ร่างกายผ่ายผอมจนเห็นกระดูกแต่มีกล้ามเนื้อ เพราะทุกเช้านางต้องหาบน้ำขึ้นไปส่งผู้ทรงศีลบนภูเขา โดยห้ามมิให้ใช้วิชาเวทแห่งวัดเทียนหลงเข้าช่วย หากอาจารย์รู้เข้าจะทำโทษนาง
นางต้องเข้าเมืองไปซื้อเสบียงอาหาร ด้วยตามธรรมเนียมนักพรตในวัดบนภูเขาสูงจะไม่ลงเขาบ่อยนัก ทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของข้ารับใช้หลวงจีน คอยอำนวยความสะดวก เพื่อที่พวกท่านเหล่านั้นจะได้บำเพ็ญเพียรอย่างเต็มกำลัง
ข้ารับใช้ก็มีนางและชาวบ้านสองสามคนมาช่วยในบางครั้ง ซึ่งนางจะได้รับค่าตอบแทนเล็กน้อย จากการสนับสนุนของเจ้าเมืองและเศรษฐีที่ขึ้นไปทำบุญ
แต่ดูเข้าสิ! นางได้ใช้เงินที่เก็บสะสมมาทั้งชีวิตเสียที่ไหน สักตำลึงนางก็ไม่ได้ไปผลาญมันในตลาด จะมาจับตัวนางทั้งที ดันไม่มีใครบอกนางล่วงหน้าสักหน่อย
"ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินท่านอาจารย์ ไม่มีใครมาคอยบ่นว่าข้าอ่อนแอกะปวกกะเปียก หาบน้ำขึ้นเขา ข้าก็บ่นไปแบกไปให้ท่านคอยเอ็ดว่าข้าเกี่ยงงาน หน้าที่ต้องเป็นหน้าที่ ข้าล่ะอยากกลับไปส่งข้าวปลาอาหารให้พวกท่านเหลือเกิน..."
อาเป้ยทิ้งตัวลงนั่งคอตกบนเตียง รู้สึกอยากทำเรื่องเดิม ๆ แม้ว่ามันจะลำบากสักแค่ไหน นางสำนึกบุญคุณท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงที่ช่วยกางเวทปกป้องเป็นเกราะกำบังให้นางรอดชีวิตมา
กระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูดัง นางพลันหันไปมองประตูเปิดอ้าออก บุรุษร่างเล็กอ้อนแอ้นหน้าขาวใส รูปงามเหมือนสตรี น่าจะเป็นข้ารับใช้ในเรือน ชายแปลกหน้าท่าทางงุนงงเมื่อพบนาง
"เอ้อ เจ้า..."
"ข้าชื่ออาเป้ย"
"นี่เจ้า!" อยู่ ๆ ก็ทำเสียงดัง จ้องนางตาเขม็งให้นางตกใจตาม
"มีอะไรล่ะ?"
"เจ้า... เจ้ารอดจากพิษของท่านได้ยังไง แล้ว ๆ ที่หน้าผากเจ้า..."
นางคว้าหมับเข้ากลางหน้าผากเหมือนตบแมลงสักตัว ลุกขึ้นไปส่องกระจกบานใหญ่ตรงมุมห้องมืดสลัว ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ อย่างสงสัยใคร่รู้
เส้นสีแดงวาดขึ้นอย่างงดงามอ่อนช้อย คล้ายลูกไฟแต่ดูเป็นรูปเป็นร่างมากกว่า ไม่รู้ว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายอย่างไร
"ทำไมถึงมีตรางูบนหน้าข้าได้ล่ะเนี่ย ว่าแต่มันใช่งูรึ ข้าว่าเหมือนกลีบดอกไม้แปะอยู่กลางหน้าข้า ดอกอะไรก็ไม่รู้ ดูไม่เป็นดอกไม้อีก..." นางทำหน้ายุ่ง หันไปทางบ่าวชายที่ยืนอยู่หน้าประตู
"เจ้านายท่านไม่ได้บอกท่านหรือว่าข้าเป็นใคร?"
"ท่านไม่อนุญาตให้ถาม ข้ามาทำหน้าที่ตามคำสั่งของท่านให้นำเสื้อผ้าอาหารมาวางไว้ในห้องใต้ดิน"
"เรียกข้าอาเป้ยเถอะ ข้าไม่ใช่คนถือตัวอะไร"
"พวกเราไม่คบหามนุษย์"
"ท่านจะเรียกข้าว่าเจ้าหรือเรียกชื่อแซ่ข้า มันต่างกันตรงไหน คบไม่คบเป็นอย่างไร ในเมื่อท่านยืนกำลังพูดคุยกับข้าอยู่"
บ่าวรับใช้เรือนเทพเริ่มเอือมระอากับนาง ยังไม่ก้าวเข้ามาในห้อง วางสิ่งของเหล่านั้นไว้บนพื้น ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
อาเป้ยคิดว่านางควรผูกมิตรกับใครสักคนในที่แห่งนี้ เผื่ออาจขอความช่วยเหลือจากใครได้ในสักวันหนึ่ง นางเอามือไพล่หลังพูด
"ข้าเอง... เป็นข้ารับใช้หลวงจีนมาก่อน ต้องทำตามคำสั่งท่านอาจารย์ทุกอย่าง แต่ดีหน่อย อาจารย์จะให้เหตุผลข้าทุกครั้ง ท่านให้ข้าหาบน้ำขึ้นเขาวันหนึ่งไม่ต่ำกว่าสิบหาบเพื่อฝึกความแข็งแรงของร่างกาย ปัดกวาดเช็ดถูเพื่อวินัยของตนเอง หุงหาอาหารให้พวกท่านทั้งหลาย เพื่อรู้จักนอบน้อมถ่อมตน รู้จักยื่นมือให้ความช่วยเหลือผู้อื่น ข้าทำมาหมดทุกงานที่ว่ายาก... บางทีท่านอาจจะมาขอคำปรึกษาจากข้าสักวันก็ได้ อ้าว..."
คนฟังเดินไปตั้งนานแล้วกลายเป็นนางพูดพร่ำอยู่คนเดียว จึงถอนหายใจออกมา
"ข้าว่าพวกท่านไม่ใช่ไม่คบหามนุษย์หรอก ไม่มีผู้ใดคบค้าสมาคมด้วยเสียมากกว่า มารยาทก็ไม่ดี"