Chapter 6 - 3-2 死亡之城 นครมรณา

 

ปีศาจสาวในอาภรณ์สีชาดลุกขึ้นจากฟูก สยายปีกหงิกงอดูไม่เป็นโครงร่าง หลังเปลี่ยนชุดจากหีบอาภรณ์ด้วยการสะบัดมือเพียงครั้ง

ร่างบอบบางของนางแทบปลิวไปกับสายลม ด้วยความที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาร่วมอาทิตย์ นางมิได้ดื่มกลืนพลังวิญญาณหลังการสู้รบกับเจ้าตำราโหด นางเดินโซเซไปทางบริเวณด้านหลังเรือนไม้ โดยไม่กล้าขัดคำสั่งเทพมรณา เพียงอยากรู้อยากเห็นประสาผู้พำนักอาศัยในเมืองมรณา

ใต้เวหาเยียบเย็นทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเหมันต์ เบื้องหน้าปรากฏเพียงความมืดมิด นางยกสองมือกอดกุมตน ริมฝีปากสีชาดสั่นระริก นางใช้เวทแห่งแสงจากฝ่ามือเป็นเครื่องนำทางแทนโคมไฟและเพื่อบรรเทาความหนาว

นัยน์ตาสีอำพันของปีศาจมองเห็นได้ไกลแม้ในความมืด นางชะเง้อคอมองถัดไปจากสวนพฤกษาขนาดเล็ก เป็นภูเขาทิศตะวันออกทอดยาวสุดตา เมืองกว้างใหญ่ไพศาลแบ่งออกเป็นแดนเหนือแดนใต้ นางพอมองเห็นเป็นเค้าโครงบ้านเรือน น่าจะเป็นที่พำนักอาศัยของเหล่ายมทูตนับแสนตน

"เจ้าจะไปไหน?" เสียงที่ดังขึ้นจากข้างหลังเรียกนางให้หันมองขวับ ถิงถิงหน้าตาตื่นตระหนก ก่อนจะตั้งสติได้ว่านางไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวบุรุษเทพ เขาไม่มีทางทำร้ายนางแน่ ตราบใดที่นางยังมีประโยชน์

"ข้ามาเดินเล่น ดูข้างหลังห้องข้า มิได้ขัดคำสั่งท่าน ไม่ได้ไปไกลเกินเรือนข้าเจ้าค่ะ ข้าจะไปที่ไหนได้"

"เจ้ารู้ก็ดี ผู้ไม่มีพลังยมทูต ไม่สามารถเปิดทางเข้าออกแดนมรณา..."

ท่าทางเอามือไพล่หลังของเขาคล้ายบอกนางว่า 'น่ารำคาญ และเจ้าไปไหนไม่ได้อยู่ดี' เทพมรณาขยับฝีเท้าเข้ามาใกล้ นางเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีชาด เอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

"ที่ข้าหยุดร้องไห้คร่ำครวญ เพราะข้าหมดแรง ข้าไม่ได้กินอะไรเลย"

เทพมรณาผายมือออก ยื่นลูกแก้ววิญญาณให้นาง เมินหน้าหนีไปอีกทาง

"ข้าไม่กิน"

"เจ้ารู้สึกดีขึ้นเมื่อไร จะได้กลับมาทำงานของเจ้า เรื่องต้นไม้วิญญาณ ข้าจะจัดการให้เจ้าในภายหลัง"

"ภพชาตินี้ของข้า เกิดเป็นปีศาจต่ำช้าบาปหนา ข้าจึงไม่รับพลังจากลูกแก้ววิญญาณ ข้าไม่สร้างวิบากกรรมใหม่ พวกเขาสมควรไปเวียนว่ายตายเกิด ข้าดื่มพลังวิญญาณจากผลของต้นไม้วิญญาณเท่านั้น"

'เจ้าปีศาจเรื่องมาก!'

ความเกรี้ยวกราดภายในใจเทพมรณาไม่ประกาศออกมาเสียทีเดียว ทว่าดวงตาคู่คมปลาบประกายดุดันสีโลหิตราวกับว่าจะเข่นฆ่านาง

"ต้นไม้วิญญาณมิอาจหาได้ง่ายดาย จะต้องเดินทางไปยังภพภูมิปีศาจ ไม่ไกลจากบ้านหลังเดิมของเจ้า อาจเป็นภพภูมิลับแล ในเทวโลกชั้นน้ำ ภพภูมิบาดาล ข้ายังไม่สะดวกไปตามหาแหล่งอาหารชั้นยอดให้เจ้า"

"ข้าเข้าใจว่าท่านเทพจำต้องเก็บพลังยมทูตไว้ใช้ในการรวบรวมดวงวิญญาณ แต่ข้าทำไม่ลงเจ้าค่ะ ท่านพาลูกแก้วในมือท่านไปส่งปรภูมิเถิด"

"หากว่าเจ้าไม่ไหว อย่ามาหาว่าข้าแล้งน้ำใจ เพราะยมทูตล้วนไม่มี..."

"ข้าจะจำคำนั้นเอาไว้" นางตอบด้วยแววตาก้าวร้าว สะบัดปีกหงิกงอราวดอกไม้แห้งเหี่ยวไร้หยาดน้ำหล่อเลี้ยงไป ให้เทพมรณาระอาใจ

--------------------------

ด้วยสัญชาตญาณปีศาจเป็นพวกรักศักดิ์ศรีจนตัวตาย โดยเฉพาะปีศาจผีเสื้อถิงถิง ผู้โปรดปรานต้นไม้แห่งวิญญาณ

ถึงแม้ว่านางทั้งหวาดกลัวและหิวโหย นางเป็นพวกมากเรื่อง ปากท้องสำคัญเท่าฟ้า นางยอมตายได้เพื่ออาหารจานเดียว นางเคยอ่านตำราเกี่ยวกับโลกมนุษย์ในเรือนใต้ จากปากต่อปาก ได้ยินมาว่ามนุษย์บนโลกก็เป็นเช่นนั้น

มนุษย์สามารถทำทุกอย่างเพื่ออาหารอันโอชะ อาหารของฮ่องเต้พิถีพิถันทุกขั้นตอน พระกระยาหารต้องประกอบด้วยเนื้อสัตว์ ข้าว อาหาร สิ่งล้ำค่า ภาชนะที่บรรจุพระกระยาหารก็ต้องไม่ซ้ำกัน แม้กระทั่งประชาชนทั่วไปยังทำกับข้าวเต็มโต๊ะอาหาร ต้อนรับการกลับมาของครอบครัว ภรรยาปรุงอาหารเพื่อบำรุงบำเรอใจสามีและลูกน้อย ในเมืองปีศาจแทบทุกเรือนมีสุราอาหารสำหรับการสังสรรค์ในยามราตรี

นางไม่กินขยะพวกนี้!

สตรีในอาภรณ์สีนิลนำผลไม้หน้าตาประหลาดมาให้นาง ซุปต้มกระดูกโรยด้วยข้าวเปลือกแห้ง ๆ รสชาติย่ำแย่ไม่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่สักนิด

โยนให้สุนัขกิน มันจะกินหรือเปล่า?

พอนางถามพวกเขาไปตามตรง เรื่องยมทูตนี่ไม่รู้วิธีการทำอาหารเลยหรือยังไง พวกเขาก็ทำหน้าตาบึ้งตึง นางบอกอย่างจริงใจว่ามันกินไม่ได้ ทำไมท่านไม่ลองกินเข้าไปดูล่ะ

ต้มแกงอาหารทั้งผัดทอด ต้มซุปยังคงวางอยู่บนโต๊ะไม้สักที่เหมือนกับห้องนอนของนางในเรือนใต้แห่งแมลงบุปผา กระทั่งกลุ่มเมฆาหยินหยางก่อตัวขึ้นกลางหอนอน บุรุษร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีนิลถักทออย่างงดงามยืนเอามือไพล่หลัง นัยน์ตาสีชาดแลดูดุดันร้ายกาจกว่าทุกวัน เกรงว่าเขาจะอารมณ์ไม่สู้ดี เมื่อการงานมากมายคั่งค้างในนครมรณา

"เจ้าคิดว่ามีข้อต่อรองกับข้าหรือ? เจ้าปีศาจผีเสื้อ"

"คิดว่ามี..." นางเชิดหน้าอย่างหยิ่งผยอง นางแน่ใจว่าเทพมรณาคงหวังให้นางเข้าไปต่อสู้กับตำราแห่งความตายอีก เพื่อยืดอายุขัยของยมทูต เขาจึงพยายามบังคับนางให้นางกินอาหาร ฟื้นฟูพลังกายแม้เพียงสักเล็กน้อย

"กินเข้าไป" เขาออกคำสั่งกับนาง มือกางตำราเล่มเก่าออก มันลอยอยู่กลางห้อง

สิ่งที่นางทำคือกระโจนกายเข้าไปในตำราทั้งในสภาพไร้ปีก หลังจากนั้นกลไกข้างในก็ทำให้นางเกือบเอาชีวิตไม่รอด นางหมดสติไปในตำรา เทพมรณาดึงนางออกมาด้วยเวทหยินอย่างทันท่วงที ก่อนที่นางจะถูกเสาต้นหนึ่งล้มทับ กรงเล็บอสุรกายตะครุบข้อเท้านางไว้ แต่มันคงจับได้เพียงอาภรณ์ขาดวิ่น

"โง่เง่าสิ้นดี!"

เทพมรณาบริภาษอย่างเกรี้ยวกราด นางลืมตาข้างหนึ่งมองเขาอย่างกวนโทสะยิ่งนัก รอยกรงเล็บของอสุรกายในตำรายังปรากฏบนลำคอเพรียวระหง ผิวขาวละเอียดมีโลหิตเกรอะกรังแม้กระทั่งตรงมุมปาก

โดยปกติแล้วเขามักยืนมองนางด้วยแววตาไร้อารมณ์ แต่เมื่อนางมีลมหายใจในร่างที่ดูไม่ได้ อาจสมใจเขาหรือไม่อย่างไร นางหาได้รู้ไม่

"ข้ายอมทำตัวโง่เง่าเพราะว่าข้าหิว ข้าอยากกินของดี ๆ ข้าผิดด้วยหรือ?"

"ข้าจะพาเจ้าไป เมื่อข้าสะสางปัญหาในแดนมรณาเรียบร้อยดี"

"เมื่อไร?"

บนใบหน้าซีดขาวราวกระดาษของนาง หวังว่าเขาควรให้ความเมตตาต่อนางบ้าง

นางคิดว่ามีข้อต่อรอง นางไม่ควรให้ท่านเทพเห็นนางเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่จะทำอะไรก็ได้

"เอาไว้ข้าจะบอกเจ้า"

"ข้าอยากกินของดี ๆ และข้าไม่ต้องการลูกแก้ววิญญาณด้วย ท่านใช้ข้าทำงานอย่างหนัก แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไร หากข้าไม่มีพลังเวทเต็มกาย ข้าก็ทำงานไม่ได้" นางกระตุกยิ้มอย่างมีลับลมคมใน พอนึกขึ้นได้ว่าเจ้านครมรณาพยายามเข้าหานางมาสักระยะ

ก่อนหน้านี้บุรุษแปลกหน้าลักลอบเข้าห้องนอนของนาง คงเพื่อยื่นข้อต่อรองกับนางว่าจะมาช่วยงานให้เขาหรือไม่ เป็นนางเสียเองไม่มีโอกาสรับสาร

มักมีเหตุการณ์บางอย่างมาขัดขวางไม่ให้นางได้พูดจา ไหนจะนางเองก็ชอบหาเรื่องออกจากเรือนไปสังสรรค์กับมิตรสหาย ไปไหนต่อไหนเรื่อยเปื่อยประสาปีศาจรักสนุก รุ่งอรุณมาเมื่อใดนางก็ไม่เคยที่จะอยู่เรือน

นางเชื่อว่าตัวนางน่ะสำคัญกับเขามากพอที่จะพานางไปสูบพลังวิญญาณแน่ เพียงแต่ว่าเมื่อไร?

ตาสบตาในห้องเงียบเชียบ นางคิดว่าเขากำลังจะให้คำตอบนาง แววตาที่แสนเยือกเย็นดันหายไปเสียเฉย ๆ ทิ้งร่างบอบช้ำของนางไว้กลางห้อง