Chereads / ไฉนข้ามาอยู่ในเมืองยมทูต / Chapter 10 - 5-2 倒霉的女人 สตรีอาภัพ

Chapter 10 - 5-2 倒霉的女人 สตรีอาภัพ

 

"ใช่แล้วล่ะ เจ้ากับพี่สาวเคยติดกับดักอสูรในภพภูมิลับแล..."

"ท่านเห็นหรือเจ้าคะ?"

"อื้ม... เจ้าเป็นผู้เสียสละ มีจิตใจดีงาม ข้าคงต้องตกรางวัลให้เจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" ไม่พูดเปล่า นัยน์ตาสีชาดหลุบมองแววตาหวาดหวั่นของนาง พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ "วัน ๆ เจ้าเอาแต่ร้องไห้เป็นปีศาจขี้แย บางคราก็ประจบประแจงเก่ง ทำงานขยันขันแข็ง เรื่องความคิดชั่วร้ายมีเพียงเล็กน้อย"

"นับเป็นวาสนาของข้า ฮือ... หากท่านเมตตาผีเสื้อน้อย ขอท่านอย่าได้ขังข้าไว้ในกรง ข้าทำงาน... ให้ท่านแล้ว ได้โปรดรักษาข้า..."

ปีศาจสาวร้องไห้คร่ำครวญอย่างเสียสติอีกครา ก้มลงมองเนื้อตัวมอมแมมบาดเจ็บ น่าอัปยศอดสู ขนาดว่าหนวดผีเสื้อของนางไม่รับรู้กลิ่น...

โดยปกติแล้วนางมักได้กลิ่นหอมอบอวลของดอกปี่อั้น [1] จากนีเทียนต้าเซิน บุปผาสีชาดชนิดนี้งอกเงยอย่างงดงามในปรภูมิ นางได้กลิ่นฉุนสุราจากท่านลุง บ้างมีกลิ่นแท่งเหล็ก กลิ่นต้นข้าวและดินโคลนเหมือนชาวนา ขึ้นอยู่กับว่าภพชาติก่อนท่านลุงเป็นอะไร

"เลิกร้องไห้เสียที ถิงถิง เจ้าลุกขึ้นมา"

"ข้า... ลุกไม่ไหว ฮือ... ข้าเป็นผีเสื้อ... ไม่ได้..."

"ถิงถิง เจ้าเงียบเสีย... ปีศาจล้วนมีกายทิพย์แข็งแกร่งกว่ามนุษย์หลายเท่า อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่ช้านานก็หาย"

พูดไปก็เท่านั้น นีเทียนต้าเซินเอามือไพล่หลังมองนาง เศร้าโศกเสียใจไม่เลิกรา ริมฝีปากสีชาดพร่ำบ่นว่านางบาดเจ็บได้ สูญสลายได้ จะตายวันตายพรุ่งก็หาได้รู้ไม่ กระนั้นนางยังเต็มใจยินดีกับการเสียสละเพื่อผู้อื่น ปีศาจอายุขัยน้อยนิดอย่างนางควรได้ออกไปเที่ยว...

 

สำหรับถิงถิงแล้ว ถึงเทพมรณาจะเคร่งครัดกฎระเบียบ แสดงทีท่ารำคาญนาง เวลาที่นางพูดจาไม่รู้เรื่องรู้ราว นางเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ นางกลับไม่รู้สึกว่าบุรุษเทพผู้นี้ไร้เมตตาธรรม

นางเริ่มมีความกล้าในการจ้องมองร่างกระดูกห้อมล้อมด้วยเพลิงกัลป์ ครั้นฉีกยิ้มยังแลดูน่าสยดสยอง นางคงปรารถนาให้เขาเป็นบุรุษเทพรูปงามเสียมากกว่า

"ข้าขอบคุณท่าน นีเทียนต้าเซินเมตตาข้า เป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว"

"ไม่ถือเป็นบุญคุณ เจ้าทำงานให้ข้า พาเจ้ามาดื่มด่ำพลังวิญญาณ..."

นีเทียนต้าเซินมองว่าเป็นการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน จะได้ไม่รู้สึกผิดที่ไปลักพาตัวนางมา บังคับให้นางเปลี่ยนวันหมดอายุขัยของยมทูตด้วยการยื่นข้อเสนอเป็นความตายของตัวนางเอง ประกอบกับว่านางไม่ดื้อรั้น เขาจึงพานางมาถึงเทวโลก

เทวโลกแบ่งแยกย่อยเป็นชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นน้ำ ยิ่งสูงเท่าไรยิ่งงดงาม เงียบสงบมากขึ้นเท่านั้น

เทวโลกชั้นน้ำอยู่ใกล้กับโลกมนุษย์มากที่สุด ในภพภูมิบาดาลมีทั้งพื้นดินและผืนน้ำ ท้องฟ้าแจ่มใส มีช่วงราตรียาวนานกว่า แสงจันทร์สีเหลืองนวล แม้กระทั่งแสงตะวันก็ทอประกายอร่ามงามราวสีของทองคำ

อุ้งเท้าเล็กจิ๋วของผีเสื้อวางพักบนอาภรณ์ลายเมฆา รอบกายนางปรากฏละอองน้ำไหลเวียนเป็นสาย ทอประกายอร่ามดั่งดวงดารา นางแสนดีใจ เมื่อเขาสั่งให้นางเข้ากรงเหล็กที่เหน็บไว้เหนือผ้าคาดเอว มาถึงที่นี่แล้วนางยังอดคิดถึงมิตรสหายเทพผู้เฒ่าแม่เฒ่ามิได้เลย พวกเขาเป็นผู้เสียสละตนเหมือนนาง

"ข้าพอเข้าใจว่าเมื่อใดที่ยมทูตไม่เพียงพอ วิญญาณหลงทางที่น่าสงสารทั้งหลายไม่อาจไปเวียนว่ายตายเกิด พวกเขาอาจถูกปีศาจกลืนกิน บางส่วนมาตกหล่นในต้นไม้แห่งวิญญาณ กลายเป็นอาหารของปีศาจ ยังมีวิญญาณส่วนหนึ่งพยายามหลบหนีการจับกุม เป็นเรื่องยุ่งยากในภายหลัง"

"อื้ม... เจ้ารู้ก็ดี จะได้ตั้งใจทำงาน"

เทพมรณาตอบนางไม่กี่คำ นัยน์ตาสีชาดจ้องมองผีเสื้อตัวเล็กใต้จันทราสว่างใสในเทวโลก นางบินไปมา โผปีกลงเหยียบผลไม้ลูกโตสีชาด

"ไม่เคยมีใครปฏิบัติดีต่อข้า เมื่อข้าปรารถนาสิ่งใด ข้าจะต้องลักลอบออกจากเรือนไปหามันด้วยตัวเอง" พูดจบ ในร่างผีเสื้อกลับเป็นสตรีเช่นเดิม ใบหน้าสดสวยแย้มยิ้ม "อ้อ... ลืมไป ข้ามีท่านฮู่โหมวเป็นมิตรสหาย เป็นพี่ใหญ่ของข้า เขาเกือบได้เป็นสามีข้า"

"จิ้งจอกเงินเป็นเหตุให้เจ้าต้องตาย"

"ท่านฮู่โหมวไม่ได้ตั้งใจ... ทำให้ข้าตาย" นางดูลังเลใจในคำพูดนั้น บุรุษเทพเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

"หมายความว่าเจ้าอยากเป็นภริยาจิ้งจอก?"

"ฮะ... อะไรนะเจ้าคะ? ท่านนี่ถามประหลาด ถ้าหากว่าข้าอยากเป็นภริยาจิ้งจอก ข้าจะกระโดดเข้ากองควันพญามัจจุราชทำไมเล่า ท่านฮู่โหมวน่ะเป็นได้เพียงมิตรสหายของข้า ต่อให้ข้าต้องไปเป็นภริยาของเขา ใจข้าก็ปรารถนาจะเป็นเพียงมิตรสหาย"

"ไยเจ้าจึงพูดมันขึ้นมา?"

"ข้าหมายถึงว่าท่านฮู่โหมวไม่คิดจะทำร้ายข้า"

"หากเป็นเช่นนั้น เจ้ายิ่งไม่ควรกระโจนกายเข้ากองควันมัจจุราช"

"ก็ข้า... ข้า..." นางอึกอักแล้วนิ่งอึ้งไป ไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร เรื่องที่นางพบเขาในห้องนอนคราแรก ใจเร็วด่วนได้ตามเขามารับทัณฑ์ทรมานทุกเช้าค่ำ โง่เง่าสิ้นดี! 

"อื้ม... จิ้งจอกเงิน... ผู้น่าสงสาร ท่านฮู่โหมวของเจ้า..."

ลมหายใจยมทูตแผ่วเบาลง ด้วยนึกเวทนาจิ้งจอกเงินผู้มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนาง ไม่น้อยไปกว่าที่เวทนาชีวิตนาง

นีเทียนต้าเซินมองเห็นความทรงจำมากมายนับหลายพันปีของปีศาจผีเสื้อ ราวกับว่าเขากำลังมองผ่านดวงตาไร้เดียงสาของนาง แม้ไม่ทันได้ดูทั้งหมดของทั้งชีวิตนางเพราะไม่มีเวลามากมายสำหรับการพิพากษา ด้วยความที่นางยังมีชีวิต มิอาจต้านทานนัยน์ตาพิพากษาได้นานนัก

ในค่ำคืนหนึ่งใต้จันทราสีชาดกลมโต สองสายตาสบประสาน หนึ่งคู่นัยน์ตาสีชาดและนัยน์ตาสีอำพัน ปีกทั้งสามของนางขยับในเวหา ชนเข้ากับปลายหางทั้งเจ็ดหางที่ทรงพลัง ฮู่โหมวเป็นปีศาจรูปงาม กลิ่นอายหยินลอยฟุ้งรอบกาย

'เจ้าจะแต่งงานกับข้าไหม? ถิงถิง เจ้ามาเป็นเจ้าสาวข้าสิ'

'ท่านบ้าไปแล้วรึไง!ข้าเป็นผีเสื้อ ท่านเป็นจิ้งจอก จะแต่งงานกันได้ยังไง ท่านรู้ไหม? ท่านต้องไปแต่งงานกับจิ้งจอกสตรี'

'ข้าอยากแต่งงานกับเจ้าจริง ๆ ไม่เอาน่า ข้าสนใจที่ไหนว่าเจ้าเป็นผีเสื้อ ข้าจะไปสู่ขอเจ้ามาเป็นภรรยา'

เสียงหัวเราะดังก้องกังวานในภพภูมิปีศาจ คลับคล้ายคลับคลากับบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ ในขณะที่ปีศาจสาวไม่ได้สนใจซะเลย นางเอาแต่ดื่มด่ำผลไม้ทีละลูกด้วยแววตาเปล่งประกาย ผลไม้ในมือนางหายไปแล้วงอกเงยขึ้นมาใหม่ ท้องนภากว้างปรากฏเมล็ดพันธุ์ร่วงหล่น

'เสียทีข้าเคยคิดว่าเจ้าอัปลักษณ์ ในเมื่อเจ้ามีความคิดสะอาดบริสุทธิ์ เจ้าเสียสละตน ไม่ชั่วร้ายเหมือนปีศาจตนไหน'

นีเทียนต้าเซินมองผ่านใบหน้างามหมดจดไป ถอนหายใจเป็นไอควันสีชาด

การมองผ่านภาพเหล่านั้นเป็นเรื่องชินชา ความงามของอิสตรีล้วนเป็นโลกมายา โดยเฉพาะปีศาจราตรี ล้วนมีใบหน้างดงามดั่งนางล่มเมือง

ถิงถิงขยับปีกลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่ทอประกาย นางหยุดยืนข้างอาภรณ์สีนิล "ข้าได้ยินมาว่าความรักของเทพนั้นบริสุทธิ์ ไร้ความหวงแหนและราคะ มีเพียงความรักใคร่ ปรารถนาดีต่ออีกฝ่าย หวังให้คู่ชีวิตได้รับเพียงความสุข... เป็นความจริงหรือไม่?"

"ข้าไม่รู้"

"ท่านเป็นเทพ"

"ก็ใช่อยู่" เอ่ยแล้วผ่อนลมหายใจอีกครา นีเทียนต้าเซินอดทนต่อปากต่อคำกับนางต่อไป นางกระโดดขึ้นต้นไม้สูงตระหง่านด้วยปลายเท้าข้างเดียว ไม่รู้ด้วยอารมณ์ไหน อยู่ดี ๆ นางส่งเสียงโวยวาย "ท่านควรต้องสงสารข้าสิ ข้าเนี่ย! เป็นปีศาจผีเสื้อที่น่าสมเพช ข้าแสนต่ำต้อย ไร้วาสนา ใครมันจะมาดวงซวยเท่าข้า ทำไมท่านไปสงสารปีศาจจิ้งจอกเล่า กรี๊ดด!"

ตุบ!

ผืนหญ้าเขียวขจีฟูฟ่องทันทีที่กระทบเวทหยินเข้าอย่างจัง สตรีในอาภรณ์งดงามนอนคว่ำหน้า ในอ้อมแขนของนางเต็มไปด้วยผลไม้ลูกกลม ๆ สีแดงสด ลูกหนึ่งยังอยู่ในปาก นีเทียนต้าเซินหลุบตาลงมองนาง

"นับตั้งแต่ข้าเป็นเทพ ก็ยังไม่เคยเห็นผีเสื้อตกต้นไม้ ปีกเจ้ามีตั้งสาม พลังเวทเต็มกาย หาใช่มนุษย์เดินดินไม่ เจ้าปีศาจผีเสื้อตนนี้ ช่างน่าสงสาร..."

นีเทียนต้าเซินอุตส่าห์กลั้นใจเอ่ยว่า 'น่าสงสาร' ทั้งที่จริงแล้วนางน่ะน่าสมเพช

ถิงถิงเงยหน้าเลอะเทอะเกรอะกรังเศษหญ้า เรือนผมดำขลับกระเซอะกระเซิง นางกัดฟันว่าตัวเองโง่เง่าเท่าไรถึงได้ตกต้นไม้ ทั้งที่นางก็มีปีก

นางสุดจะสมเพชตนเอง!

 

[1] 彼岸 ดอกปี่อั้น สัญลักษณ์แห่งความตายและการพลัดพราก อีกฟากฝั่ง - 彼 ปี่ แปลว่า อีกหนึ่งนั้น 岸 อั้น แปลว่า ชายฝั่ง