ฮู่โหมวกำลังเป็นห่วงนาง คิดถึงนาง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจดจำทุกอย่างได้ในชั่วข้ามคืนเดียว หลังการรื้อฟื้นความจำของท่านปู่หลี่หวังหยาง สลัดเกสรถอนพิษแห่งการลบเลือนของยมทูตทิ้งไปเสีย จากนั้นผู้นำตระกูลจิ้งจอกเงินก็เดินทางมาเรือนใต้แห่งแมลงบุปผา
ฮู่โหมวบอกเล่าเหตุการณ์ผ่านจิตแห่งผีเสื้อ ด้วยความหลงใหลที่มีต่อนางทำให้เขาเรียนรู้ภาษาของพวกนาง เขาถามว่านางอยู่ที่ใด นางไม่ได้ตอบคำถามนั้น นีเทียนต้าเซินชี้เกราะนิ้วแหลมคมบังคับสั่งนาง
"อย่าได้แยกเขี้ยวของเจ้าใส่ข้าอีก จะหาว่าข้าไม่เตือน เจ้าต้องทำตามคำสั่งข้าเท่านั้น"
"ข้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของท่าน ข้าบอกท่านว่าข้าจะช่วย ก็เพราะว่าข้าอยากช่วยเท่านั้น ข้าไม่จำเป็นต้องกลับไปกับท่านก็ได้ ข้าไม่ใช่วิญญาณ ข้ายังมีลมหายใจ ไม่มีเหตุให้ยมทูตต้องมาจับกุมตัวข้า"
นีเทียนต้าเซินเลิกคิ้วขึ้นมองนางอย่างไม่เชื่อหู นางหันหลังกลับไปทางต้นไม้วิญญาณ เขาจึงใช้กำลังบังคับนาง สะบัดฝ่ามือสร้างวงเวทสีนิลเป็นกรงขัง
ถิงถิงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะอ่อนน้อมเชื่อฟัง เพียงสัมผัสรับรู้ถึงห้วงความคิดของมิตรปีศาจ ใบหน้างามพลันปรากฏเป็นรอยแยกตรงหว่างคิ้ว นางฟาดมือวาดพลังหยินต่อสู้พญามัจจุราชที่ใช้แค่ฝ่ามือขวาข้างเดียว เขาผลักวงเวทสีขาวใส่นาง ล้มลงบนพื้นหญ้าหมดสติไป
นีเทียนต้าเซินเกิดความกังวลโดยไร้สาเหตุ ขณะเงื้อมมือมัจจุราชดึงร่างไร้สติประคองไว้ในอ้อมแขน ศีรษะน้อยหล่นลงแนบชิดบนอกกว้าง นางแลดูผ่อนคลายในนิทราด้วยเวทแห่งการหลับใหลของยมทูต
เมื่อครู่นี้ดูยังไงนางก็เหมือนปีศาจแมงมุมอัปลักษณ์ยามเกรี้ยวกราด นั่นทำให้เขาตัดสินใจไม่จับนางกลับไปในร่างผีเสื้อ ยัดใส่กรงเหมือนนางเป็นสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง เขาโอบอุ้มนางในอ้อมแขนอย่างบุรุษพึงกระทำต่อสตรี ควบขี่อาชาแห่งความมืดมาถึงหน้าเรือนไม้กว้างใหญ่ วางนางลงบนฟูกอย่างระวังมือ
'ไยเจ้าดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง เป็นเพราะจิ้งจอกเงินนั่นหรือ?'
เขาก้มมองนางแล้วรู้สึกปวดศีรษะ เมื่อกลิ่นหอมอบอวลประหนึ่งเย่ไหลเชียง[1]แรกแย้มบาน ทั้งกลิ่นหอมฉุนของดอกเหมยฮวาพัดผ่านปลายจมูก
หากเป็นมนุษย์คงไม่รอดพ้นมารยาปีศาจ ยิ่งเป็นปีศาจราตรีตระกูลผีเสื้อ ตามตำรากล่าวว่าพวกนางมีกลิ่นกายหอมฟุ้งเสมือนดอกไม้งามที่อาบยาปลุกกำหนัด ผิวพรรณผุดผ่องนุ่มเนียน เพียงสัมผัสก็พาลให้เกิดราคะ
เทพผู้บำเพ็ญเพียรมานับสามแสนปีในโลกมรณา เห็นจะเป็นครั้งแรกที่แตะต้องเนื้อตัวสตรี ใกล้ชิดสตรี
ถึงคราวเผชิญด่านเคราะห์! ดันเป็นปีศาจน้อยแสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง งดงามทั้งกายใจ ไร้เล่ห์เหลี่ยมเหมือนปีศาจตนอื่น ๆ นางเป็นผู้ซื่อตรงและจริงใจ แถมตัวกระจ้อยร่อยไม่เจียมตน กล้าง้างกรงเล็บปีศาจต่อกรเทพมรณาอายุขัยนับแสนปีเทวโลก อาจล้มทั้งภพภูมิได้ด้วยผ่อนลมหายใจยมทูตครั้งเดียว
'เอาล่ะ คงถึงเวลาทบทวนตำราทั้งสามเล่ม เป็นไปได้ว่าอาจพบคำตอบ...'
ความคิดแน่วแน่เป็นกังวลทอดผ่านนัยน์ตาสีชาด เขายังอยู่ในห้องนอนของนาง ปัดมือตีอากาศเรียกตำราที่ห้อมล้อมด้วยพลังหยินหยาง
เล่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างจ้าเรียก 'ตำราแห่งการเกิด' อีกเล่มสีทอง 'ตำราแห่งความเป็นและความตาย' และอีกเล่ม 'ตำราสีชาด'
นีเทียนต้าเซินจำได้ว่าเทพมรณาคนแรกผู้ทำหน้าที่รวบรวมดวงวิญญาณส่งแดนปรภูมิ พิพากษาตัดสินความชั่วร้ายบนบัลลังก์เพลิง ผู้ส่งมอบภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้เขาดูแลนครมรณาทั้งสามในเวลาต่อมา กำชับให้อ่านตำราทั้งสามเล่มอย่างละเอียดถี่ถ้วน
'ท่านอาจารย์ส่งตำราสีชาดให้ข้ากับมือ ให้ข้าอ่านมันทุกบรรทัด แล้วจึงละสังขารไป'
ตำราคู่ครองเปล่งแสงสีชาด ได้รับการขนานนามว่าเป็นตำราที่มีพลังมากมหาศาล ในขณะที่มันไม่มีประโยชน์อะไร เปล่งแสงเลื่อนลอยอยู่กลางห้องทำงาน
ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีนิลยืนนิ่งคิดไม่นาน เขาก้มมองใบหน้างามน่ารักพลันผุดรอยยิ้มมีนัย ทันใดนั้นเอง นัยน์ตาสีชาดที่เบิกกว้างกลางท้องนภาบอกถึงผู้มาเยือน
เจ้าของเรือนสะบัดชายอาภรณ์วาดวงเวทขนาดใหญ่ เพื่อปิดบังเจ้าของร่างงามบนฟูก ป้องกันเขตแดนของตนด้วยเวทหยินหยาง สร้างเกราะกำบังทั่วเมฆา ไม่ให้บุคคลภายนอกมองผ่านมาเห็นสิ่งใด
'สองเทพนั่น... ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!'
ในเมื่อเทพมรณาทั้งสามไม่มีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกัน นีเทียนต้าเซินนึกขึ้นได้ว่าเขาควรย้ายสถานที่ทำงาน ปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้แพร่งพรายไปถึงอีกสองเทพมรณา เขาปัดมืออีกครั้งหนึ่ง สมบัติส่วนตัวทั้งหมดมาอยู่ในห้องนอนของปีศาจน้อย ค่อยนั่งลงบนฟูกข้างสตรีที่ผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ
'การให้เกียรติคู่ครอง'
'การมอบความสุขให้ภริยา'
อักขระที่วาดด้วยพู่กันหวัดปรากฏขึ้นกลางห้อง ตำราเล่มเก่าส่องแสงสีชาด มันกางขึ้นและเปิดออกกลางห้องนอน เรียกเสียงหัวเราะของเทพมรณา
"สู้รบกับปีศาจแล้ว... ยังต้องมาวิวาทกับตำราในแดนมรณาอีกหรือ?"
ครู่นั้นใบหน้าหล่อเหลากลับมาสนใจนาง กำลังถูกจ้องมองด้วยลำแสงจากตำราเล่มเก่า
สตรีในอาภรณ์ขาวสะอาดวางมือบนหน้าท้อง นอนนิ่งมาสองราตรีแล้ว น่าเป็นกังวลมิใช่น้อย เขาขอให้ท่านลุงผู้เคยเป็นแพทย์ในเมืองปีศาจมาดูอาการนาง แต่พอได้ยินว่านางไม่เป็นอะไรมาก เป็นเพราะร่างกายอ่อนเพลียจึงหลับนานสักหน่อยก็ค่อยโล่งใจ
พูดถึงอีกสองเทพมรณา พึ่งจะดึงตำราสีชาดไปอ่านเมื่อหลายราตรีก่อน ทั้งที่ปกติแล้วไม่มีใครแยแสตำราเล่มนี้
'ตำราสีชาดไปหาเจ้าถิงถิง... ไยปีศาจพูดมากไม่บอกข้าสักคำ? เจ้าโกรธข้าแน่ ๆ'
คำถามมากมายทอดผ่านแววตาเย็นยะเยือก เขาคิดว่านางไม่พอใจตอนเล่าเรื่องความฝัน เขากล่าวหาว่านางกินจุ นางจึงฝัน กว่าที่เขาจะตระหนักถึงเรื่องนี้...
"ในเมืองเทพมีเพียงมิตรภาพอันดีงาม ความรักของเทพเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ปรารถนาดีต่อกัน ขอเพียงคู่ครองมีความสุข ไม่ว่าผิดหวังหรือสมหวัง ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นความรักที่ไร้ซึ่งความหลงใหลและการผูกมัด หากเทพมรณาจะมีคู่ครอง มิใช่เรื่องแปลก"
ไร้สาระสิ้นดี!
นีเทียนต้าเซินมองตามท่านลุงในร่างชายชราที่เข้ามาไม่บอกกล่าว ยมทูตเป็นเช่นนั้น ไม่มีการเคาะประตู เมื่อความตายมาเยือน ใครจะบอกเล่าว่าข้ามารับวิญญาณเจ้าแล้ว จะอย่างไรก็ตาม ท่านลุงยกมือคำนับอย่างรักษากิริยา
"ขออภัยที่มารบกวนท่าน สองสามวันมานี้ไม่ได้ยินเสียงเจ้าปีศาจน้อย นครมรณาออกจะเงียบเหงาไปพอสมควร"
"เมื่อครู่ท่านลุงแปดหมายความว่าอย่างไร? ข้าไม่เข้าใจ"
"พักหลังมานี้พวกข้าเห็นท่านเอ็นดูเจ้าถิงถิงนัก ทั้งที่งานล้นมือ หน้าตาของท่านรึจะอารมณ์ดีได้ ถ้าไม่ได้มาพบนาง"
"เหลวไหล"
ในน้ำเสียงไม่พอใจ นีเทียนต้าเซินหัวเราะเสียงดัง หันไปพูดกับตำรา "ใช่แล้วล่ะ ต้องเรียกเจ้าว่าตำราสีชาดเพราะไม่มีผู้ใดปรารถนาการมีคู่ครอง เทพเป็นผู้เสียสละตน"
ท่านลุงอาวุโสอันตรธานไปในเวหา มีเสียงดังซ้อนเข้ามา
'จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นนาง?'
'ทำไมท่านไม่ลองไปถามเทพผู้เฒ่าจันทรา คงได้คำตอบแน่...'
'เหตุการณ์ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตำราสีชาดกำลังสื่อสารกับท่าน เป็นไปได้ไหมว่านาง... อาจเป็นคู่ครองท่าน'
ตามธรรมเนียมแล้วท่านลุงจะไม่พูดเสียงดังอึกทึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่เรื่องที่ท่านลุงจะออกความคิดเห็นด้วยซ้ำไป
นีเทียนต้าเซินปิดตาส่ายหน้า "นครมรณาจะไม่ส่งสาร เราตัดขาดจากโลกภายนอก มันจะเป็นเช่นนั้นไปตลอด พวกท่านเลิกออกความเห็นเถิดท่านลุง"
ท่านลุงในคราบลูกแก้วจำศีลใต้อาภรณ์มาร่วมวงสนทนาไม่นานก็จากไป เมื่อเทพมรณาขอร้องพวกเขาว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง แต่ก็ยังอุตส่าห์มีผู้รั้งท้ายเป็นท่านลุงในกองทัพที่สามพันออกความเห็น
'เป็นเรื่องของนีเทียนต้าเซินกับเจ้าถิงถิง ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของท่านลุง!'
กระนั้นใบหน้านิ่งเฉยเย็นชาปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา เขาหย่อนกายนั่งลงข้างนางบนฟูก ลอบดูนางผ่อนลมหายใจในนิทรา ไม่รู้ตนด้วยซ้ำว่ามองนางด้วยแววตาเช่นไร
"ทำไมเจ้ายังไม่ฟื้นอีก ปีศาจน้อย..."
[1] ดอกราตรี