Chapter 5 - 3-1 死亡之城 นครมรณา

 

'ได้โปรดข้าฆ่าที... ท่านเทพ ข้าไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ... ฮือ...'

เสียงคร่ำครวญของปีศาจดังไปทั่ว เป็นเรื่องประหลาดของเหล่ายมทูต บางตนถึงกับมาลอบดูนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น

สถานที่แห่งนี้ไม่เคยปรากฏสิ่งมีชีวิต ทิวากรลาลับชั่วนิจนิรันดร์ ทั่วทุกแห่งหนไร้ซึ่งแสงดารา นครมืดมิดไร้ฤดูกาลและต้นไม้ใบหญ้า ไม่เคยมีแม้กระทั่งแมลงตัวเล็ก ๆ ปีกผีเสื้อสีม่วงอร่ามงามทอประกายแสง

ภายใต้บรรยากาศเหน็บหนาว เหมันต์ร่วงหล่นเป็นละอองสาย มันได้รับอิทธิพลจากหมอกแห่งความตาย ถิงถิงชะโงกคอมองหาดวงไฟยมทูต เพื่อที่นางจะสังเกตว่าย่ำเข้ารุ่งอรุณเมื่อใด นั่นเป็นช่วงที่ยมทูตเดินทางกลับมาจากการเก็บดวงวิญญาณ

'เทพใจดำ หลอกใช้ปีศาจ ข้าทำงานแทบตาย ไม่มีข้าวให้กินสักเม็ด ชาอร่อย ๆ ก็ไม่มีให้ข้า'

นางเฝ้ามองหาเทพไร้ใจ เผื่อเขาจะพานางออกไปดื่มด่ำพลังวิญญาณ นางแสร้งร้องไห้ประหนึ่งนางบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ หวังให้พวกเขาได้ยินเสียงนาง เทพมรณาหลอกใช้นาง เทพผู้นี้บ้าอำนาจไร้เมตตาธรรม ผิดวิสัยเทพ นางนินทาต่อว่าเขาผ่านเวหาเยือกเย็น ทั้งที่ปีศาจก็ใช่ว่าจะมีเมตตาแม้สักตนหนึ่ง…

ปีศาจอสูรมักเข่นฆ่าพวกเดียวกัน หากบาดหมางผิดใจไม่เป็นครอบครัวอีกแล้วละก็ แม้กระทั่งบิดามารดาอาจสังหารบุตร ละทิ้งลูกน้อยให้กำพร้า พวกเขาหิวกระหายในพลังวิญญาณ โปรดปรานการทะเลาะวิวาท เข่นฆ่าและรักสนุก บางกลุ่มเป็นมิตรต่อกันเพราะผลประโยชน์เช่นตระกูลผีเสื้อเหมยเตี๋ย รักษาสมาชิกในครอบครัวเผื่อแผ่ขยายอาณาเขต ปรองดองกับอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งก็เพื่อความอยู่รอดของตน

ปีศาจอสูรไม่มีจิตใจเมตตาปรานี

กับยมทูตจะไปต่างอะไร?

นางได้ยินมาว่ายมทูตไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่สื่อสารกับผู้ใดนอกเสียจากยมทูตด้วยกัน ต่อให้เทพและปีศาจสู้รบกันจนแหลกสลายไปทุกภพภูมิ พวกเขามีความคิดเพียงเรื่องเดียวคือรวบรวมดวงวิญญาณ

'ให้ตายสิน่าถิงถิง ไม่น่าตามท่านเทพมาเลย!'

นัยน์ตาสีอำพันมองผ่านประตูไม้บานเลื่อนสลักลายท้องนภา บริเวณลานกว้างกลางเรือนสี่ประสาน เหมาะสำหรับการวางยุทธศาสตร์การรบของเมืองใหญ่ กลุ่มเมฆาหยินหยางกลับคืนร่างบุรุษสูงสง่า

หัวใจปีศาจสาวเต้นระรัวแรง เพียงพบบุรุษเทพรูปงามปานหยกสลัก เขาสวมเกราะสีนิลสนิทใต้อาภรณ์สีเดียวกัน แสงแห่งหยางเปล่งประกายเหนือกองทัพยมทูตกลางท้องนภากว้างใหญ่ แลดูองอาจประหนึ่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพราชาสวรรค์

ครู่หนึ่งนางฉุกใจได้ว่าเขาอาจเป็นทั้งเทพและปีศาจ เมื่อเขาใช้เวทหยินหยางร่วมกัน รอบอาภรณ์ลายเมฆาปรากฏกลุ่มหมอกควันหยินหยาง สีขาวและดำลอยสลับกันไปดูคล้ายเถ้าควัน

ใบหน้ากระดูกเอี้ยวมองมา นางเบิกตากว้าง พบรูกลวงบริเวณเบ้าตาเป็นสีชาด มิใช่ใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษเทพผู้ซึ่งนางเคยพบเจอ ปีกผีเสื้อขยับ ปีศาจน้อยบินหายเข้าห้องไปซ่อนเร้นกายในผ้าห่มหนาบนฟูก

น่ากลัวชะมัด!

"หีบอาภรณ์ของเจ้าในวันวิวาห์ ข้าหยิบติดมือมา หวังว่าข้าคงไม่ต้องหาเครื่องประดับให้เจ้า..."

"ละ... แล้ว... ข้าจะสวมอาภรณ์งดงามไปเพื่ออะไร?"

กว่านางจะตอบผ่านผ้าห่มหนาคลุมกายมิดชิด โผล่พ้นเพียงเรือนผมดำขลับ นางชำเลืองมองใบหน้ากระดูก หลังจากที่กลุ่มเมฆาทึบทะมึนเข้ามาในห้องพักของนางอย่างไม่ใคร่เกรงใจ

น้ำเสียงสุขุมแจ้งข้อความสำคัญว่านางอยู่ในสถานะผู้พำนักอาศัยในนครมรณา นางเป็นปีศาจสตรี ก็ควรที่จะอยู่แต่ในเรือน ไม่ไปที่ไหนไกล ไม่นานนักเขากลับคืนร่างบุรุษเทพ เลิกคิ้วขึ้นกล่าวกับนาง

"ข้าได้ยินจากท่านลุงว่าเจ้าเป็นปีศาจรักสวยรักงาม ข้าจึงมาบอกเจ้าว่านครมรณาไม่มีสิ่งใดให้เจ้าชื่นชม อาภรณ์ชุดใหม่ของเจ้า เครื่องประดับของเจ้าก็จะไม่มี"

'ท่านลุงหรือ?' นางกลอกตาไปมา ตอบอย่างขลาดกลัว "อ้อ... ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"

คิดในแง่ดี อย่างน้อย ๆ เทพมรณายังมีใจมาบอกนางเรื่องนี้ ถึงนั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับนาง แม้นางจะชื่นชอบของสวยงามเหมือนผีเสื้อตนอื่น

ที่ผ่านมาอาภรณ์สีสันสดใสในหีบของนางเป็นของเหลือใช้จากพี่สาว น้องเล็กสุดอย่างนางไม่เคยได้ใช้ของใหม่ นางไม่มีปัญญาไปต่อสู้แย่งชิงของใครมา มีบ้างที่นางจะออกไปท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอยด้วยการแลกพลังวิญญาณ ก่อนที่นางจะกลับมาคุดคู้อยู่บนฟูกเยี่ยงนักโทษ ยิ่งท่านแม่คอยต่อว่านางสร้างปัญหา นางขยันสร้างปัญหาจริง ๆ

"ข้ามีงานมากมายต้องสะสาง พรุ่งนี้เจ้าลุกขึ้นมาทำงานของเจ้า นี่เป็นคำสั่ง"

"เจ้าค่ะ" นางก้มหน้าตอบอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ในขณะที่บุรุษเทพไม่ฟังนางด้วยซ้ำ กลุ่มเมฆาหายไปในเวหา นางรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วกระดูก

เรือนกายอ่อนล้าบาดเจ็บสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นของเจ้านครมรณา นัยน์ตาสีชาดยังฝังติดในหัวของนาง

'เทพในเทวโลกล้วนเป็นผู้มีเมตตาธรรม รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น จะมีเพียงบางเทพ... เป็นเทพที่ออกจะไร้อัธยาศัย จะอย่างไรก็ตาม เทพผู้นั้นมีเมตตาอยู่มากโข เขาเป็นหนึ่งในเทพผู้เสียสละเพื่อดวงวิญญาณ มีทั้งความเป็นเทพและมาร เจ้าจำเรื่องที่ข้ากำลังจะบอกเจ้าให้ดีนะถิงถิง…'

คำพูดมีนัยผุดวาบเข้ามาในหัว 'แม่เฒ่าเมิ่งเฉียนเป่ย' เทพธิดาอาวุโส นักทำนายแห่งเทวโลกเคยบอกกับนาง ไม่แน่ใจว่านี่คือหนึ่งในคำทำนายของท่านหรือไม่

ยามนี้นางคิดอยากไปจากที่นี่ แต่นางไม่รู้จะไปที่ใด นางจะออกไปอย่างไร

หากนางกลับเรือนผีเสื้อราตรี นางคงต้องโทษสถานหนัก มารดาจะออกคำสั่งคุมขังนางเอาไว้ในห้องใต้ดิน ไม่ให้เห็นแสงตะวันสักสามสิบราตรี เพื่ออบรมบ่มนิสัยดื้อรั้นของนาง ก่อนส่งตัวนางไปให้จิ้งจอกเงิน

ผลร้ายที่ตามมาเมื่อปีศาจแห่งแมลงอยู่ในที่มืดนาน ๆ ปีกอันงดงามจะแห้งเหี่ยวและสลายไป แต่นางก็ผลัดมันขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน อาจต้องใช้เวลาสักระยะ

สามพันปีก่อนเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ นางหนีไปเที่ยวซุกซนถึงเทวโลกชั้นน้ำ ซ่อนเร้นกายอยู่หลังพุ่มไม้ในแดนเซียน ลอบดูเทพธิดาและสาวรับใช้ในสวนบุปผาหลากสีสันตระการตาบนท้องนภาสีคราม เป็นภาพแสนงดงามราวกับว่าเป็นห้วงฝัน นางนึกริษยา หยิบผลไม้ของพวกเขามากินลูกหนึ่ง

หากด้วยความดีจากก้นบึ้งของจิตใจนางยังหลงเหลืออยู่มาก นางเลือกที่จะหันหลังให้ดินแดนแห่งนั้น ไม่หยิบสิ่งใดไปมากกว่าผลสีแดงสุกลูกเดียว

คืนนั้นพี่รองพี่ใหญ่ได้ยินเรื่องราวของนางที่พูดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้วยความที่นางมักเล่าให้พวกพี่ ๆ ฟังว่านางไปไหนมา

ปีศาจผีเสื้อล้วนโปรดปรานพฤกษชาติ สมบัติอันสวยงาม แสงอรุณรอนและแสงจันทรา ปีศาจราตรีส่วนใหญ่เป็นผู้ละโมบโลภมาก

ทั้งพี่รองพี่ใหญ่และญาติสตรีจึงชักชวนกันไปขโมยของในตำหนักเซียนเจียวหั่ว ฟาดพลังปีศาจใส่เทพธิดาอย่างไม่กลัวเกรง เหล่าบุรุษเทพไม่อยู่เรือน สบโอกาสปีศาจได้สร้างความวุ่นวายในแดนเทพ ขโมยผ้าถักทอด้วยเวทเซียนสวยงามจับตาของเทพธิดากลับมาบางส่วน เครื่องประดับสองหีบ จากนั้นก็โยนความผิดทั้งหมดให้น้องเล็ก

มารดาไม่เคยฟังเสียงนางอยู่แล้ว นางถูกจองจำในห้องใต้ดินหนึ่งพันราตรี ปีกของนางหายไป แต่นางก็ผลัดมันขึ้นมาใหม่ ใช้เวลาหลายร้อยปี

'เห็นจะต้องอยู่ที่นี่ต่อไป มีทางเลือกมากเสียที่ไหนล่ะถิงถิง ขืนกลับไปมีแต่ตายกับตาย ลบความจำอะไรของท่านเทพ เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนกัน'

คิดมากไปก็เหนื่อยเปล่า เรื่องเวทลบเลือนความจำของยมทูต จะใช้ได้ผลกับปีศาจระดับท่านปู่นางหรือ? เมื่อไรท่านปู่จำความได้คงรื้อฟื้นพลังให้จิ้งจอกเก้าหางอาวุโสกับปีศาจผีเสื้อตนอื่น เทพผู้นี้ช่างกล้าดูถูกท่านปู่ของนาง!