'ได้โปรดข้าฆ่าที... ท่านเทพ ข้าไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ... ฮือ...'
เสียงคร่ำครวญของปีศาจดังไปทั่ว เป็นเรื่องประหลาดของเหล่ายมทูต บางตนมาลอบดูนาง หากเทพมรณาไม่อยู่เรือน
ที่แห่งนี้ไม่เคยปรากฏสิ่งมีชีวิต ทิวากรลาลับชั่วนิจนิรันดร์ ทั่วทุกแห่งหนไร้ซึ่งแสงดารา นครมืดมิดไร้ฤดูกาลและต้นไม้ใบหญ้า มันไม่ควรจะมีแม้กระทั่งแมลงตัวเล็ก ๆ ปีกผีเสื้อสีม่วงอร่ามงามทอประกายแสง
ถิงถิงชะโงกคอมองหาดวงไฟยมทูตเช่นกัน ภายใต้บรรยากาศเหน็บหนาว อาจมองเห็นเหมันต์ในบางครา มันได้รับอิทธิพลจากหมอกแห่งความตาย
การสังเกตว่าย่ำเข้ารุ่งอรุณเมื่อใด เป็นช่วงที่ยมทูตเดินทางกลับมาจากการเก็บดวงวิญญาณ
นางเพียงเข้าตาจน บาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ จึงหวังให้พวกเขาได้ยินเสียงนางเฝ้าบริภาษเทพมรณาไร้ใจ ท่านหลอกใช้นาง ทั้งที่ปีศาจก็ใช่ว่าจะมีหัวใจแม้สักตนหนึ่ง…
ปีศาจอสูรมักเข่นฆ่าพวกเดียวกัน หากบาดหมางผิดใจไม่เป็นครอบครัวอีกแล้วละก็ แม้กระทั่งบิดามารดาอาจสังหารบุตร ละทิ้งลูกน้อยให้กำพร้า หิวกระหายในพลังวิญญาณ โปรดปรานการทะเลาะวิวาท เข่นฆ่าและรักสนุก บางกลุ่มเป็นมิตรต่อกันเพราะผลประโยชน์เช่นตระกูลผีเสื้อเหมยเตี๋ย พวกเขารักษาสมาชิกในครอบครัวเผื่อแผ่ขยายอาณาเขต ปรองดองกับอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งก็เพื่อความอยู่รอดของตน
ปีศาจอสูรไม่มีจิตใจเมตตาปรานี
กับยมทูตจะไปต่างอะไร?
พวกเขาไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่สื่อสารกับผู้ใดนอกเสียจากยมทูตด้วยกัน ต่อให้เทพและปีศาจสู้รบกันจนแหลกสลายไปทุกภพภูมิ ยมทูตมีจุดมุ่งหมายเดียวคือรวบรวมดวงวิญญาณ
'ให้ตายสิน่าถิงถิง ไม่น่าตามท่านเทพมาเลย!'
นัยน์ตาสีอำพันมองผ่านประตูไม้บานเลื่อนสลักลายท้องนภาออกไป บริเวณลานกว้างกลางเรือนสี่ประสาน เหมาะสำหรับการวางยุทธศาสตร์การรบของเมืองใหญ่ กลุ่มเมฆาหยินหยางกลับคืนร่างบุรุษสูงสง่า
หัวใจปีศาจสาวเต้นระรัวแรง แม้นางเป็นพวกไร้จิตใจตายด้าน นางอ่อนไหวเพียงพบบุรุษเทพรูปงามปานหยกสลัก เขาสวมเกราะสีนิลสนิทใต้อาภรณ์สีเดียวกัน แสงแห่งหยางเปล่งประกายเหนือกองทัพยมทูต แลดูองอาจประหนึ่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพราชาสวรรค์ เทพผู้นี้ราวกับว่าจะเป็นทั้งเทพมาร เขาใช้เวทหยินหยางร่วมกัน รอบอาภรณ์ลายเมฆาปรากฏกลุ่มหมอกหยินหยาง สีขาวสลับดำลอยละล่องเป็นสีควัน
ครู่นั้นใบหน้ากระดูกเอี้ยวมองมา นางเบิกตากว้าง พบรูกลวงบริเวณเบ้าตาเป็นสีชาด มิใช่ใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษเทพผู้ซึ่งนางเคยพบเจอ
ถิงถิงรีบซ่อนเร้นกายในผ้าห่มหนาบนฟูก ถึงต่อหน้าเขานางอาจกล้าหาญหยิ่งผยอง นางเป็นปีศาจที่กลัววิญญาณมาแต่เล็ก ๆ แล้ว มีทั้งกองทัพวิญญาณ กองทัพยมทูต พญามัจจุราช
น่ากลัวชะมัด!
"หีบอาภรณ์ของเจ้าในวันวิวาห์ ข้าหยิบติดมือมา หวังว่าข้าคงไม่ต้องหาเครื่องประดับให้เจ้า..."
"ละ... แล้ว... ข้าจะสวมอาภรณ์งดงามไปเพื่ออะไร?"
กว่านางจะตอบผ่านผ้าห่มหนาคลุมกายมิดชิด โผล่พ้นเพียงเรือนผมดำขลับ นางหลุบตามองใบหน้ากระดูกอันน่ากลัวนั้น กลับคืนร่างบุรุษเทพ หลังจากที่กลุ่มเมฆาทึบทะมึนเข้ามาในห้องพักของนางอย่างไม่ใคร่เกรงใจ น้ำเสียงสุขุมแจ้งข้อความสำคัญว่านางอยู่ในสถานะผู้พำนักอาศัยในนครมรณา นางเป็นปีศาจสตรี ก็ควรที่จะอยู่แต่ในเรือน ไม่ไปที่ไหนไกล เขาเลิกคิ้วขึ้นกล่าวกับนาง
"ข้าได้ยินมาจากท่านลุงว่าเจ้าเป็นปีศาจรักสวยรักงาม ข้าจึงมาบอกเจ้าว่าไม่มีสิ่งใดให้เจ้าชื่นชม อาภรณ์ชุดใหม่ของเจ้า เครื่องประดับของเจ้าก็จะไม่มี"
'ท่านลุงหรือ?' นางกลอกตาไปมา ตอบอย่างขลาดกลัว "อ้อ... ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"
คิดในแง่ดีว่าอย่างน้อย ๆ เทพมรณายังมีใจมาบอกนางเรื่องนี้ ถึงนั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับนาง แม้นางจะชื่นชอบของสวยงามสักเท่าไร
ที่ผ่านมาอาภรณ์สีสันสดใสในหีบของนางเป็นของเหลือใช้จากพี่สาว น้องเล็กสุดอย่างนางไม่เคยได้ใช้ของใหม่ นางไม่มีปัญญาไปต่อสู้แย่งชิงของใครมา มีบ้างที่นางจะออกไปท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอยด้วยการแลกพลังวิญญาณ ก่อนที่นางจะกลับมาคุดคู้อยู่บนฟูกเยี่ยงนักโทษ ยิ่งท่านแม่คอยต่อว่านางสร้างปัญหา นางขยันสร้างปัญหาจริง ๆ
"ข้ามีงานมากมายต้องสะสาง พรุ่งนี้เจ้าจะต้องทำงานของเจ้า นี่เป็นคำสั่ง"
"เจ้าค่ะ" นางก้มหน้าตอบอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ในขณะที่บุรุษเทพไม่ฟังนางด้วยซ้ำ กลุ่มเมฆาหายไปในเวหา นางรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วกระดูก
เรือนกายอ่อนล้าบาดเจ็บสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นของเจ้านครมรณา นัยน์ตาสีชาดยังฝังติดในหัวของนาง เขาช่างเป็นเทพผู้ไร้เมตตาโดยสิ้นเชิง ผิดจากที่นางเคยได้ยินมาจากแม่เฒ่าอาวุโสในแดนเทพ
'เทพในเทวโลกล้วนเป็นผู้มีเมตตาธรรม รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น จะมีเพียงบางเทพ... เป็นเทพที่ออกจะไร้อัธยาศัย แต่เทพผู้นั้นมีเมตตาอยู่มากโข เป็นหนึ่งในเทพผู้เสียสละ มีทั้งความเป็นเทพและมาร'
คำพูดมีนัยผุดวาบเข้ามาในหัว 'แม่เฒ่าเมิ่งเฉียนเป่ย' เทพธิดาอาวุโสผู้เป็นนักทำนายแห่งเทวโลกเคยบอกกับนาง ไม่แน่ใจว่านี่คือหนึ่งในคำทำนายของท่านหรือไม่
ยามนี้นางคิดอยากไปจากที่นี่ แต่นางไม่รู้จะไปที่ใด นางจะออกไปอย่างไร
หากนางกลับเรือนผีเสื้อราตรี นางคงต้องโทษสถานหนัก มารดาจะออกคำสั่งคุมขังนางเอาไว้ในห้องใต้ดิน ไม่ให้เห็นแสงตะวันสักสามสิบราตรี เพื่ออบรมบ่มนิสัยดื้อรั้นของนาง ก่อนส่งตัวนางไปให้จิ้งจอกเงิน
ผลร้ายที่ตามมาเมื่อปีศาจแห่งแมลงอยู่ในที่มืดนาน ๆ ปีกอันงดงามจะแห้งเหี่ยวและสลายไป แต่นางก็ผลัดมันขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน อาจต้องใช้เวลาสักระยะ
สามพันปีก่อนเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ นางหนีไปเที่ยวซุกซนถึงเทวโลกชั้นน้ำ ซ่อนเร้นกายอยู่หลังพุ่มไม้ในแดนเซียน ลอบดูเทพธิดาและสาวรับใช้ในสวนบุปผาหลากสีสันตระการตา ล่องลอยอยู่บนท้องนภาสีคราม เป็นภาพแสนงดงามราวกับว่าเป็นห้วงฝัน นางนึกริษยา หยิบผลไม้ของพวกเขามากินลูกหนึ่ง
หากด้วยความดีจากก้นบึ้งของจิตใจนางยังหลงเหลืออยู่มาก นางเลือกที่จะหันหลังให้ดินแดนแห่งนั้น ไม่หยิบสิ่งใดไปมากกว่าผลสีแดงสุกลูกเดียว
คืนนั้นพี่รองพี่ใหญ่ได้ยินเรื่องราวของนางที่พูดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้วยความที่นางมักเล่าให้พวกพี่ ๆ ฟังว่านางไปไหนมา
ปีศาจผีเสื้อล้วนโปรดปรานพฤกษชาติ แสงอรุณรอนและแสงจันทรา ข้าวของเครื่องใช้ที่สวยงาม ปีศาจส่วนใหญ่เป็นผู้ละโมบโลภมาก
ทั้งพี่รองพี่ใหญ่และญาติสตรีจึงชักชวนกันไปขโมยของในตำหนักเซียนเจียวหั่ว ฟาดพลังปีศาจใส่เทพธิดาอย่างไม่กลัวเกรง เหล่าบุรุษเทพไม่อยู่เรือน สบโอกาสปีศาจได้สร้างความวุ่นวายในแดนเทพ ขโมยผ้าถักทอด้วยเวทเซียนสวยงามจับตาของเทพธิดากลับมาบางส่วน เครื่องประดับสองหีบ จากนั้นก็โยนความผิดทั้งหมดให้น้องเล็ก
มารดาไม่เคยฟังเสียงนางอยู่แล้ว นางถูกจองจำในห้องใต้ดินถึงร้อยราตรี ปีกของนางหายไป นางก็ผลัดมันขึ้นมาใหม่ ถึงนางจะใช้เวลาหลายร้อยปี
'เห็นจะต้องอยู่ที่นี่ต่อไป มีทางเลือกมากเสียที่ไหนล่ะถิงถิง ขืนกลับไปมีแต่ตายกับตาย ลบความจำอะไรของท่านเทพ เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนกัน'
นางคิดทบทวนเรื่องเวทลบเลือนความจำของยมทูต จะใช้ได้ผลกับปีศาจระดับท่านปู่นางหรือ เมื่อไรท่านปู่จำความได้คงรื้อฟื้นพลังให้จิ้งจอกเก้าหางอาวุโสกับปีศาจผีเสื้อตนอื่น ไยเทพผู้นี้ช่างกล้าดูถูกท่านปู่ของนาง