ยามดึกแล้ว แต่ว่าสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักเหนือยอดหลังคาจั่วหน้าทึบลงบนกระเบื้องสีแดงเก่าๆ อายุนับพันปี ละอองฝนคอยสาดกระเซ็นตกเทลงมาอย่างบ้าคลั่งบนสันโค้งหลังคาที่เป็นลอน ๆ สามลอนคล้ายคลื่นยักษ์ หลังคาหน้าจั่วทึบของศาลาทึบห้องแปดเหลี่ยมที่ถูกทาด้วยสีแดงและเขียว และกระเบื้องรูปอสูรกายยักษ์ปักษ์ที่ประดับป้องกันความชั่วร้ายที่หัวเสา
สายฟ้าฟาดดังเปรี้ยง ! โครมคราม ! ดูเกรี้ยวกราดของพวกมันๆ ที่ต่างพยายามจะฟาดฟันกับสายลมแรงคอยมาสกัดกั้นความชั่วร้ายอยู่บนยอดของหลังคาอยู่กับอสูรกายบนหนังคาหน้าจั่ว
คามีรา หรือ อสูรกายบนยอดหลังคาทั้งแปดทิศ พวกมันเป็นสัตว์ประหลาด 3 ชนิด คามีราสัตว์ที่มีหัวเป็นสิงโตแต่มีลำตัวเป็นแพะ และคามีร่าบางตัวก็มีหัวเป็นสิงโตแต่มีหางเป็นพญางู
และกลุ่มบุคคลไร้นามสวมชุดนินจาสีดำคอยปิดบังหน้าตาด้วยผ้าโผกหัวสีดำนับหลักหลายสิบ ก็ยังคอยถือดาบคาตะนะ และพวกเขาบางคนก็ยังถือดาบคาตะนะที่มีความยาวมากกว่าแปดสิบเซ็นติเมตรเป็นอาวุธข้างกายคอยคุ้มกันทิศทั้งแปด
แต่ว่าอิเลฟเวนท์ก็ถือดาบคาตะนะที่ไม่ได้ปลดออกจากฝัก และเธอยังยืนอยู่บนต่อไม้ด้านๆ เก่าๆ นับพันปีคอยเฝ้ามองดูพวกกลุ่มคนไร้นามที่ต่างทยอยปรากฏตัวออกมากจากความมืดมิด และยังอยู่ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหนำ
" ดาบนั้น ! ไม่ใช่ !! "
" ของจริง !!! " อิเลฟเวนท์ตะโกนบอกกลุ่มคนผ่านสายฝน แต่ว่าเพียงไม่กี่อึดใจผู้คนชุดดำที่ต่างรีบกระโจนเข้าหาเธอ
และเสียงดาบอันคมกริบของพวกเขาที่มุ่งหมายแต่จะพุ่งเข้ามาปลิดชีวิตของอิเลฟเวนท์อย่างพร้อมเพรียง
ตุบ !
ฟักดาบธรรมดา ๆ ของอิเลฟเวนท์โบกสะบัดไปตามเสียงของคมดาบที่เข้าหาอย่างว่องไวกว่า และก็เบากว่าเสียงของลมพายุและฝนที่คอยแต่จะประเดประดังตกลงพื้นทราย
อิเลฟเวนท์บางทีที่ใช้ฟักดาบต่อสู้ฟาดเข้าไปที่กลางหลังของผู้คน บ้างครั้งที่ฟักดาบก็คอยฟาดฟันลงบนที่แขนซ้ายและแขนขวา และบางครั้งที่ฟักดาบก็ทุบลงบนขาข้างซ้ายและขาข้างขวาของพวกเขาจนเกิดเสียงดังกร๊อบๆ แกร็บ ๆ ของกระดูก
กลุ่มคนไร้นามชุดดำที่เวลานี้ต่างนอนเกลือกกลิ้งเปียกปอนไปตามพื้นทราย และอิเลฟเวนท์ยังคงยืนหยัดอยู่บนตอไม้ด้าน ๆ นับพันปีแทบจะไม่ขยับ และเธอยังคงรอว่าเมื่อไหร่เสียงโหยหวนของความเจ็บปวดกระดูกและข้อต่อนับสิบๆ ผู้คนจะหายไป แม้ว่าฝนจะยังตกมากกว่าอยู่ก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นานและในระหว่างที่สายฝนเริ่มทยอยลดลาวาศอกให้บ้างแล้ว
บุรุษชุดดำร่างสูงแต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายกับพวกนักรบซามูไรรุ่นดึกดำบรรพ์ แต่เขาที่ยังคงปิดบังอำพรางหน้าตาก็เพิ่งจะปรากฏตัวอยู่บนยอดหลังคาแปดเหลี่ยม
" เธอเป็นใคร !!! " เสียงตะโกนลงมาของชายหนุ่มที่เสียงเหมือนเพิ่งจะผ่านวัยเริ่มรุ่นเต็มตัวดังลงมาจากหลังคา
อิเลฟเวนท์ที่ยังคอยถือดาบและมองกลับขึ้นไป
" ฉันจะเป็นพวกไหน... "
" จะเป็น...พวกไทระ ! "
" ฟูจิวาระ ! หรือแม้แต่...."
" ..มินาโมะโตะ อย่าง เธอ ! "
" ฉันก็เคยเป็นมาแล้วทั้งนั้น !!! " และตอบบุคคลนั้นด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ
แต่ว่าไม่นานบุรุษชุดดำคนสุดท้ายก็กระโดดเยี่ยงนินจานักรบกระโดดลงมาจากหลังคาลงสู่ตอไม้เก่าๆ จนได้
อิเลฟเวนท์ยืนมองอยู่บนตอไม้ด้าน และรอคอยให้เขาคนนั้นที่กำลังเปิดเผยตัวตนอย่างช้าๆ และจนกระทั่งปลดผ้าโผกหัวที่ปิดหน้าปิดตาออกแล้ว และเธอก็ได้เห็นเด็กหนุ่มหน่วยการดีหน้าตาสะอาดสะอ้านราวอย่างรูปปั้นทูตจากสวรรค์
" เธอเป็นใครกันแน่ !! " เด็กหนุ่มที่ชื่อว่า มินาโมโตะ มุรามาสะในวัยที่เพิ่งจะเริ่มเป็นหนุ่มเต็มตัวเฝ้ามองดูผู้หญิงแปลกหน้าที่สวมชุดฮากาม่าเสื้อกีสีเทาซีดๆ ตรงหน้า
" เธอต้องการอะไร !!! " มินาโมะโตะ มุรามาสะในวัยหนุ่มที่ดูเธอและยังรู้สึกสับสน และแม้ว่าใบหน้าของเธอจะไร้ซึ่งสีเลือด
" เธอ กับ ฉัน !! "
" พวกเราไม่เคยรู้จักกันแน่ !! " มุรามาสะที่ยังคงยืนกรานเสียงแข็งตามประสา
แต่ว่าอิเลฟเวนท์ที่เพียงสบตาแวบแรกของมุรามาสะ เพราะฉะนั้นเธอถึงได้ประเมินวิธีชนะเขาเอาไว้ทั้งหมด
" อีกเดี๋ยว ! "
" ก็คงได้รู้จักแน่ !! " เธอตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
แกร่ง !!!
และฟักดาบของมุรามาสะในวัยหนุ่มก็ถูกโยนทิ้งบนพื้นทราย และกระโดดเข้าจู่โจมเข้าหาคู่ต่อสู้
แต่ทว่าอิเลฟเวนท์ทำเพียงเอี้ยวตัวหลบปลายกระบี่ของมุรามาสะเท่านั้น และบางครั้งที่มีบ้างจะคอยใช้ฟักดาบเล่นงานเข้าที่หลังของเขาเบาะ ๆ แต่คมดาบของมุรามาสะเองนั่นแหละที่พยายามเข้าหา และคอยฟาดฟันกับฟักดาบธรรมดา ๆ ของเธอ
มุรามาสะในวัยไร้เดียงสายังคอยถือดาบคาตะนะอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่สนใจคู่ต่อสู้ และวิธีตวัดปลายดาบของมุรามาสะ ที่ๆ ยังผสมความเกรี้ยวกราด จนลืมระวังข้างๆ วิธีตวัดดาบที่ยังคงผสมปนเปเต็มไปด้วยความคาดหวังจนลืมการถ่อมตัว และวิธีตวัดดาบขึ้นๆ ลง ๆ ของมุรามาสะคนเดิมที่ๆ ยังคนปนเปด้วยความอยากจะเป็นผู้พิชิต และการเอาชนะอย่างใจร้อนและเลือดเย็น ซะจน ! ลืมแม้กระทั่ง.. ตัวตนเดิม ๆ ที่ครั้งก่อนจะเริ่มหัดจับดาบทั้งหมดลงด้วยซ้ำ !!!!
มุรามาสะพยายามจะรีบใช้ดาบกำราบเธอให้ได้ และถึงแม้ว่าตัวเองจะเห็นแค่การขยับร่างกายเล็กน้อยของเธอเท่า และที่น่าแปลกพวกมันช่างดูพลิ้วไหวราวกับสายน้ำที่ล่องลอยในนภา... และวิธีการจับด้ามของดาบจะมั่นคงราวดั่งยึดอยู่ กับภูภาก็ช่างปะไร !!
ตุบ ! ตุบ !!
มุรามาสะทรุดนั่งลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้นในชั่วพริบตา หลังจากที่เพิ่งโดนฝักดาบฟาดหลังและข้อเท้าข้างซ้าย
อิเลฟเวนท์ยังคงยืนมองมุรามาสะอยู่บนตอไม้เก่าๆ อายุน่าจะสักพันปีตามร่องรอยเหลี่ยมคมและวงแหวนของมัน เธอที่เฝ้ามองมุรามาสะนั่งคุกเข่าด้วยความเจ็บปวดที่แผ่นหลังและข้อเท้าที่แทบจะลุกขึ้นไม่ไหว
" พอได้แล้ว !! " แต่ว่าอยูู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนร้องห้ามของพระภิกษุเก่าแก่ประจำวัดร้องห้าม
" พอแค่นี้เถอะนะ !!! " พระภิกษุอายุมากพรรษารีบเดินจ้ำ ๆ เข้ามาหยุดอยู่ระหว่างอิเลฟเวนท์และก็มินาโมะโตะ
เพราะฉะนั้นอิเลฟเวนท์ยิ่งต้องคอยหันมาถือดาบขวางพาดเอาไว้ที่คอของมุรามาสะในตอนที่เขาพยายามจะลุกขึ้นมาให้ได้
มุรามาสะถูกคมฝักของดามคาตะนะขวางแนบชิดเอาไว้ที่ลำคอ จนกระทั่งตัวเองไม่สามารถที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าใคร
อิเลฟเวนท์พยายามจะกดฝักดาบให้หนักขึ้น
" การตามหาดาบอันนั้น !!! " และน้ำเสียงที่หนักแน่นยิ่งกว่า
" ใช่ว่า...มัน !! "
"...จะทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นมาภายหลังได้ !!! " เธอย้ำและบอกกับสิ่งที่เธอต้องการต่อหน้ามินาโมะโตะ มุรามาสะ
" พอเถอะ !!! " แต่พระภิกษุคนดึงดันที่จะขอร้องให้พวกเธอเลิกแล้วต่อกัน
" บอกฉันมาสิ ! ว่าเธอเป็นใคร !!! " มุรามาสะพยายามที่จะขยับและฝืนเงยหน้าเพื่อจะมองหน้าของพวกเธอให้ชัด ๆ
แต่อิเลฟเวนท์ก็ไม่ยอมที่จะลดดาบลงให้ง่ายๆ
" ทัตสึจิ ! "
" บอกกับเขาว่า....มาหาฉันได้ตลอดเวลา " เธอย้ำกับมุรามาสะ และถึงจะหันไปหาหลวงพ่อที่ยืนรอ และยื่นประเคนคืนดาบให้ถึงมือ
พระภิกษุที่ชราภาพรับประคองดาบจากอิเลฟเวนท์ด้วยมือไม้ที่ไม่ค่อยจะมั่นคงหนักก็เพราะดาบที่หนักอึ้ง
" ต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ !! " พระภิกษุตั้งคำถาม
และเธอก็ทำเพียงยกมือพนมกราบไหว้อย่างช้าๆ และเดินจากพวกเขาไปเงียบๆ แต่ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านต้นไม้ขนาดใหญ่ของวัดเก่าแก่
เธอยังจะมองเห็นเด็กผู้ชายในคราบชุดสบงจีวรตัวน้อยกำลังเปียกปอนเพราะฝน เด็กผู้ชายหน้าตาไม่เอาไหนอายุน่าจะสักหกขวบที่เอาแต่ยืนจ้องเธออย่างไม่รู้สึกกลัว...อยู่หลังต้นไม้
กลุ่มชายฉกรรจ์นับร้อยคอยสวมชุดกางเกงฮากาม่าสีเทา และทุกๆ คนที่ต่างพากันเข้ามายืนล้อมรอบศาลาทรงแปดเหลี่ยม และรถยนต์ญี่ปุ่นยี่ห้อเก่าแก่ของประเทศญี่ปุ่น แต่ว่ามินาโมะโตะ ทัตสึจิในตอนนั้นวัยราว ๆ สักสี่สิบปลาย ๆ ที่ก็เพิ่งจะก้าวเท้าเดินลงมาจากรถคันนั้นพร้อม ๆ กับมุรามาสะ และยังมีเด็กสาวที่อายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดบริบูรณ์ดีในชุดนักศึกษาที่ต่างพากันเดินตามลงมาจากรถ และทัตสึจิได้พาพวกเขาเดินเข้าไปในในศาลาทึบแปดเหลี่ยมหลังนั้น
ประตูไม้ของอาคารแปดเหลี่ยมที่ ๆ พวกมันเคยถูกทาด้วยสีเขียวมีร่องรอยของสีที่หลุดหล่อนจากไปตามกาลเวลา ขื่อและคานกรอบบานประตูและช่องลมที่เคยถูกทาทับด้วยสีแดง ๆ ก็หลุดหล่อน
และทัตสึจิที่กำลังพาเด็กๆ ทั้งคู่พากันเดินเข้าไปภายในอาคารทรงแปดเหลี่ยมทึบที่ดูคล้ายกับสถานที่ใช้เก็บของสำคัญของวัดเก่าแก่ เพราะข้างในนั้นพวกเขาได้เห็นรูปปั้นของพระนักบวชหลายรูป ทั้งเล็กบ้าง และก็ใหญ่บ้าง และรูปปั้นของอสูรกาย อย่างเช่น ยักษ์ และ ตัวเคมีร่า ขนาดราว ๆ ห้านิ้วบ้าง เจ็ดนิ้วบ้าง และสิบนิ้วบ้าง และอื่นๆ ก็พวกพัดของพระนักบวช สร้อยประคำ
และก็ของที่อยู่ในตู้ไม้โบราณ ๆ ทางฝั่งด้านหน้าสุด ตู้ไม้โบราณสีแดงๆ ติดกระจกที่ข้างในได้เก็บ ดาบสั้นเซปปุกุ อยู่สักสองถึงสามเล่ม และ ดาบคะตานะที่เหลืออยู่อีกเล่มชั้นบนสุด ดาบคะตะนะเล่มหนึ่งที่ถึงบนฝักที่สลักเสลารูปหัวนกฟินิกส์ ที่ ๆ ทำจากดีบุกผสมสำริดแตกหักและกลักกร่อนลงไปแต่ก็ยังคงดูสวยงาม
และที่ตรงด้ามจับ ที่ๆ พันด้วยเชือกอิโต้สีเขียว ๆ เชือกที่ใช้สำหรับเอาไว้พันดาบฟักดาบของพวกซามูไร เชือกอิโต้สีเขียวซีดจางพันเป็นเกลียวสามเหลี่ยม
และก็ที่กระบังมือ สวนที่กั้นฟักดาบและด้ามดาบ กระบังมือที่ทำจากเหล็กแท้ๆ ขัดเกลาจนเป็นลวดลายของ... มอญ สัญลักษณ์ตราประจำตระกูลของฟูจิวาระ
มอญประจำตระกูลฟูจิวาระ ก็คือสัญลักษณะของพวงของดวงฟูจิ หรือที่เรียกกันทั่ว ๆ ไปไปว่า ดอกวีสทีเรีย พวงดอกงวีสทีเรียพืชตระกูลเถาที่ห้อยย้อยอยู่รอบๆ ใบไม้รูปทรงเรียวและกว้างทั้งหมดสามใบ หรือใบของต้นซะคะกิ !!!
และพระภิกษุวัยชราภาพคนเดิมที่ได้ช่วยพาอิเลฟเวนท์เดินเข้ามาหาพวกเขา และยังติดตามมาด้วยพระบวชใหม่หน้าตาคล้ายผู้หญิงอายุรุ่นๆ อีกหนึ่งรูป
อีเลฟเวนท์ยังคงคอยสวมกางเกงฮากาม่าสีกรมท่าหม่นๆ และเสื้อกีสีขาวหมอง ๆ และยังมีเสื้อฮาโอริเสื้อเอาไว้คลุมตัวยาวสีเขียวซีดแต่รอยขาดยาวที่ด้านหลังเข้ามายืนเยื้องๆ อยู่กับพระภิกษุ และมีห่อผ้าเล็ก ๆ สีของจีวรคอยม้วนเหน็บอยู่ที่เอวค่อนไปทางซ้าย
" พวกเราต้องขอโทษที่... ฟูจิวาระ !! "
" ได้ทำให้ลูกชายของคุณได้รับบาดเจ็บ ! ท่านมินาโมะโตะ !! " เพราะฉะนั้นพระภิกษุก็เลยได้เข้าไปขอขมาต่อสิ่งที่คนรู้จักของตนไปทำร้ายบุตรของคนอื่น
ทัตสึจิที่รีบเหลียวหันมองเธอด้วยความประหลาดใจ
" ฟูจิ.....วาระ !!! " ทัตสึจิเปล่งเสียงอุทานออกมาด้วยความสงสัย
อิเลฟเวนท์โค้งเล็กน้อยเพื่อแสดงความจริงใจจ่อต่อคนในตระกูลมินาโมะโตะ อย่าง ทัตสึจิ และพวกเขาที่ต่างพากันหันมองด้วยความสับสน
และพระภิกษุรูปนั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่ระหว่างกลาง
" ฟูจิวาระ เธอไม่ใช่ ! "
" คนญี่ปุ่นหรอก ! " พระภิกษุอธิบายพลางและสายตาที่มีต่อความอ่อนโยนมองสลับไปมาหาทุกๆ คน
" เธอมาที่นี้ ! ก็เพื่อ..."
" อยากที่จะมาหาของสำคัญ ! "
" ท่านมินาโมะโตะ !! "
" ฟูจิวาระ ! เธออยากจะช่วยคุณเก็บรักษาของสิ่งหนึ่งเอาไว้ให้สักระยะ !! " และพระภิกษุที่ยังคงเป็นตัวแทนเจรจาให้กับอิเลฟเวนท์
" ผม ! ไม่เข้าใจ !! " ทัตสึจิที่ยังคงมีสีหน้าประหลาดใจต่อผู้หญิงที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้
แต่ทว่ารอยยิ้มของพระภิกษุที่ยังคงเฝ้ามองพวกเขาด้วยใจที่เมตตา และในขณะเดียวกันอิเลฟเวนท์ก็ยังโค้งก้มหัวลงเล็กน้อย
" คุณยังถือดาบอยู่ ! ใช่หรือเปล่า !! "
" ทัตสึจิ !! " อิเลฟเวนท์ไม่ได้ตั้งประโยคคำถาม แต่เพียงเพราะอยากจะมั่นใจอะไรบางอย่างในตัวของคน ๆ นี้
ทัตสึจิที่ไม่ได้เข้าใจความหมายของพวกเธอเอาซะเลย
" บอกมาเลยดีกว่าว่า เธอ! ต้องการเรียกร้องค่าเสียหายเท่าไหร่ " แต่มุรามาสะที่ไม่ยอมให้เธอมายุ่งกับครอบครัวของตัวเอง
" ได้ !!! " ทึตสึจิตอบตกลงทันที
และเธอต้องขอร้องพระภิกษุรูปนั้นอีกครั้ง
" หลวงพ่อค่ะ ! "
" ฉันอยากจะขอยืมดาบเล่มนั้น !!! " เธอเงยหน้าขึ้นไปมองดาบ ๆ ที่อยู่ในตู้กระจกตรงข้างหน้า
" และก็อีกสักเล่มหนึ่ง สำหรับ ท่านมินาโมโตะ " เธอขอร้อง
พระภิกษุยอมหลีกทางให้อิเลฟเวนท์และทัตสึจิอย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำขณะที่พระหนุ่มหน้าตาสะสวยก็ยังเป็นคนที่นำดาบคาตะนะทั้งสองเล่มออกมาจากตู้กระจก
พระหนุ่มหมอบดาบคาตะนะทั้งสองเล่มที่เธอขอนำมายื่นให้ แต่อิเลฟเวนท์หยิบดาบที่มีสนิมเขราะลวดลายนกฟินิกส์ และสำหรับทัตสึจิที่รับไปเป็นเพียงดาบคาตะนะโบราณของเก่าแก่
แต่ทว่ามุรามาสะกลับมองตามดาบเล่มที่อยู่ในมือของอิเลฟเวนท์ด้วยความเสียดาย และยิ่งกว่านั้นก็คือความเจ็บใจ แต่สำหรับเด็กสาวอาซามิที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ พี่ชายกลับมีเพียงสายตาเย็นชา
มินาโมะโตะ ทัตสึจิยืนกำดาบคาตะนะกึ่งเก่ากึ่งใหม่เล่มหนึ่ง และได้ยืนอยู่บนตอไม้เก่าๆ ที่อยู่บนลานคอนกรีตหน้าศาลาทึบรูปทรงสี่เหลี่ยมที่มีอยู่นับสิบๆ ตอ
และส่วนเธอ ผู้หญิงที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันกับพวกเขา และคอยถือดาบในตำนานอยู่อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นแววตาของมินาโมโตะ ทัตสึจิที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตารออย่างสนอกสนใจ
และอิเลฟเวนท์ที่พอจะมองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของทัตสึจิ และก็ไม่แปลกที่เธอยังจะเห็นความประหลาดใจปนเปอยู่ในสายตาของพวกเขาด้วย
และก็เริ่มจะมีเสียงคมดาบอันคมกริบของทัตสึจิคอยดังกระทบรัวๆ กับฝักดาบของอิเลฟเวนท์ขึ้นมา และหลายครั้งต่อหลายครั้งอย่างรวดเร็วและถี่ถ้วน
การขยับตัวของมินาโมะโตะที่ดูคล้ายกับนักดาบดั่งเป็นคนเลือดเย็น ทัตสึจิค่อยๆ ย่างแต่ละขุมอย่างพินิจพิเคราะห์และสมดุลเกินกว่าที่จะยับยั้งเอาไว้ได้ และวิธีการตวัดดาบให้เป็นแนวเฉียงขึ้นและลงตรงๆ ที่ ๆ พวกมันยังคงคมกริบเหมือนฟาดฟันลงกลางมหาสมุทร จน..ทำให้เกิดคลื่นแห่งความหายนะ !!!
อิเลฟเวนท์ยังคอยใช้ฝักดาบรับมือคมดาบของทัตสึจิอย่างไม่บิดพลิ้ว และทุกๆ ก้าวย่างก็ยังคงยืนหยัดอยู่บนตอไม้เก่าๆ เอาไว้ให้ได้ และบางครั้งอาจจะต้องหลบหลีกไปยืนหยัดต่อสู้อยู่บนตอไหม้แห้งเหล่านั้นบ้าง เพราะว่าวิธีการรับมือของฝีมือดาบของทึตสึจิที่ไม่ง่าย !!!
..และอิเลฟเวนท์ที่ต้องการสะบัดตัวให้ห่างจากคลื่นยักษ์แห่งความหายนะของทัตสึจิ ที่ ๆ แสนจะค่อนข้างลำบาก แต่ก็พอรับได้ในทุก ๆ ครั้ง วิธีการเคลื่อนไหวตัวของอิเลฟเวนท์ที่ค่อนข้างจะเหมือนกระแสลมพายุพัดพา เหมือนกันกับ ต้นไผ่ที่โงนเงนพัดพาตามกระแสลม ลู่ลมบ้าง และต้านลมบ้าง
อิเลฟเวนท์ทำประหนึงว่าดาบที่ไม่เคยนำออกมาจากฝักก็ยังได้ลับคมมาแล้ว เพราะว่าเธอยังใช้พวกมันต่อสู้กับทัตสึจิอย่างสมน้ำสมเนื้อก็ยังพอจะได้อยู่ และทัตสึจิก็ยังคอยพุ่งกระโจนทะยานเข้าหากันคล้ายๆ ราวกับจะถาโถมดาบเข้ามาและรีบตัดหัวของพวกเธอก่อน
แต่ในคราวที่ทัตสึจิกระโจนลอยทะยานอยู่เหนือศีรษะ และอิเลฟเวนท์ที่จงใจยื่นดาบออกมาในลักษณะที่ตั้งฉากกับลำตัว
ฉับ !!!
และทัตสึจิที่รีบตวัดดาบฟันเข้าที่สันดาปของเธอ และปลายดาบที่ขึ้นสนิมเขราะก็หักร่วงลงบนพื้นพร้อมกับฝักดาบคาตะนะที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ตุบ !
อิเลฟเวนท์โยนส่วนที่เหลือของดาบคาตะนะลงบนพื้น จนกระทั่งหัวของนกฟินิกซ์ที่อยู่บนด้ามตกกระทบพื้นและก็หัก
มุรามาสะตกใจมากจนต้องรีบออกมายืนก้มมองดูดาบคาตะนะเล่มนั้น และยังคอยคุกเข่าเฝ้ามองดูดาบคาตะนะที่แตกหักไม่เหลือชิ้นดี แต่ทว่าไม่นานมุรามาสะก็ไม่ได้มีสายตาแห่งความอาลัยอาวรในดาบคาตะนะเก่าๆ นั้นอีก
พระภิกษุหันมองตามลูกชายของมินาโมะโตะที่ทำท่าจะผิดหวังเรื่องดาบคาตะนะของวัด จนทำให้เขาต้องเดินหนีจากดาบเล่มนั้นไปอย่างเงียบๆ
และพระภิกษุหนุ่มก็เช่นกันที่เฝ้ามองดาบคาตะนะเล่มๆ นั้นอย่างเสียอกเสียใจและเสียดายไม่แพ้ลูกชายของมินาโมะโตะ
" ดาบคาตะนะเล่มนี้ !! " ทัตสึจิเดินเข้ามาก้มมองดูดาบ
" เป็นเพียงดาบธรรมดาๆ เท่านั้น " และทัตสึจิก็ยังหันไปบอกกับทุกๆ คนที่ยืนอยู่รายล้อมตัว แต่ทว่าลูกสาวของเขากลับเดินแทรกเข้ามาเพื่อเฝ้ามองดูดาบคาตะนะ
" ไม่ใช่ ! ดาบปีศาจ !!! " อาซามิ มินาโมะโตะพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉยๆ กับแววตาของพวกเธอที่แสนจะเย็นชาที่เฝ้ามองดูมัน และน้องสาวที่พยายามจะเดินตามพี่ชายไป
และตอนนี้ทัตสึจิที่กำลังยืนมองด้านสั้นเซปปุกุที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีภายในห้องเก็บของสำคัญประจำตระกูลเก่าแก่ของมินาโมะโตะมาจนถึงตอนนี้ และก็ยังไม่เคยมีครั้งไหนๆ ที่เวลาเดินผ่านดาบเซปปุกะของอิเลฟเวนท์ได้ฝากเอาไว้เมื่อสมัยเกือบๆ ยี่สิบกว่าปีที่แล้วได้ และก็คงจะไม่ลืมการปะทะดาบกับอิเลฟเวนท์ในวัยสาวสะพรั่ง
และไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เหลียวหันไปมองดูตู้กระจกที่ยังเก็บดาบคาตานะที่อยู่ทางด้านขวามือของนักรบซามูไรชุดเกราะสีแดง
" ดาบ..ของมุรามาสะ ! จริงๆ หรือเนี้ย...!! " และทัตสึจิที่ยังคงเฝ้ารำพึงรำพันต่อหน้าดาบเล่มนั้นซะจนนับครั้งไม่ถ้วน
และแม้ว่าตัวของเขาเองจะมีอายุเลยเลขหกสิบเข้าใกล้จะเจ็ดสิบเฉียด ๆ ก็ยังคงเฝ้านึกถึงวันที่เจอกับเด็กสาวที่หอบเอาลมทิศตะวันออกเฉียงใต้มาปะทะครั้งแรกไม่เคยลืมเลือนไป
ปีนั้น ! ในวันที่ตัวเองต่อสู้และปะทะดาบกับเธอ และในวันเดียวกันในคืนที่ฝนตกหนักอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง ฟูจิวาระในตอนนั้นได้เดินฝ่าสายฝนและลมพายุที่โหมกระหนำตกลงมาอย่างบ้าคลั่งภายในวัดเก่าๆ ที่เมืองนารา และเธอยังอุตสาหะเดินฝ่าสายฝนและสายฟ้าฟาดที่คอยดังเปรี้ยงป้างอยู่รอบๆ ตัวนับสักร้อยเส้นร้อยสายผ่าลงมาที่ผืนดินใกล้ๆ
แต่ว่า..มันก็เป็นเรื่องแปลกที่พวกมันทำอะไรไม่ได้แม้แต่ปลายขนของหญิงสาวจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ได้แม้แต่ปลายเส้นผม ในขณะที่เธอสวมเพียชุดกางเกงฮากาม่าสีเทาเก่าๆ คอยเดินลุยลงไปในแม่น้ำซารุซะงะ แต่ทว่าแม่น้ำในวินาทีนั้นกลับเกือบที่จะเหือดแห้ง และเหลือแต่เพียงรากเหง้าบัวที่คลุมอยู่ !!!
จวบจนกระทั้ง...หญิงสาวที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้คอยย่างก้าวเดินลงไปกลางแม่น้ำ และก้มหยิบเอาดาบปีศาจใจตำนานดาบของมุรามาสะจริงๆ ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
ทัตสึจิที่กำลังมองย้อนนึกถึงภาพของอีเลฟเวนท์ หรือจะเป็น ฟูจิวาระก็ช่าง ! แต่ว่าเธอก็หยิบดาบมุรามสะกลับขึ้นมาได้อย่าง่ายดาย และง่ายดายจนเกินไปด้วยซ้ำโดยไม่กลัวแม้แต่คำสาปแช่งของดาบปีศาจ
เพราะฉะนั้นมาจวบจนทุกวันนี้ ทัตสึจิที่ยังต้องคอยหันกลับไปมองดาบสั้นวากิซากิที่เก็บอยู่ในตู้กระจกใกล้ๆ และก็นึกถึงคืนวันที่เธอหมอบดาบสั้นและคาตะนะแห่งความชั่วร้ายมาหมอบให้ต่อหน้าพระประธานองค์ใหญ่มหึมาในวัดเก่าเมืองนารา ในขณะที่มีเพียงตนเองและก็หลวงพ่อว่า.. !
" ดาบทุกเล่มนั้น ย่อม...มีที่มาที่ไป " ทัตสึจิที่คงยังจำคำพูดแรกๆ ของพวกเธอได้ดีอีกว่า
" เพราะว่า..มี ! กิเลศและก็ตัณหาจึงพลอยทำให้ชีวิตที่แสนจะธรรมดาต้องคอยสะดุดอยู่เรื่อย"
ทัตสึจิที่พอนึกถึงประโยคพวกนี้ขึ้นมาทีไรก็อดที่จะคล้อยตามเธอไม่มีที่สิ้นสุดขึ้นมาฉับพลันขึ้นมาในวินาทีนั้น !!!