Chereads / ิฺBangkok in a Sense the memory of passed / Chapter 13 - ลมทิศตะวันออกเฉียงใต้

Chapter 13 - ลมทิศตะวันออกเฉียงใต้

ยามดึกแล้ว แต่ว่าสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักเหนือยอดหลังคาจั่วหน้าทึบลงบนกระเบื้องสีแดงเก่าๆ อายุนับพันปี ละอองฝนคอยสาดกระเซ็นตกเทลงมาอย่างบ้าคลั่งบนสันโค้งหลังคาที่เป็นลอน ๆ สามลอนคล้ายคลื่นยักษ์ หลังคาหน้าจั่วทึบของศาลาทึบห้องแปดเหลี่ยมที่ถูกทาด้วยสีแดงและเขียว และกระเบื้องรูปอสูรกายยักษ์ปักษ์ที่ประดับป้องกันความชั่วร้ายที่หัวเสา

สายฟ้าฟาดดังเปรี้ยง ! โครมคราม ! ดูเกรี้ยวกราดของพวกมันๆ ที่ต่างพยายามจะฟาดฟันกับสายลมแรงคอยมาสกัดกั้นความชั่วร้ายอยู่บนยอดของหลังคาอยู่กับอสูรกายบนหนังคาหน้าจั่ว

คามีรา หรือ อสูรกายบนยอดหลังคาทั้งแปดทิศ พวกมันเป็นสัตว์ประหลาด 3 ชนิด คามีราสัตว์ที่มีหัวเป็นสิงโตแต่มีลำตัวเป็นแพะ และคามีร่าบางตัวก็มีหัวเป็นสิงโตแต่มีหางเป็นพญางู

และกลุ่มบุคคลไร้นามสวมชุดนินจาสีดำคอยปิดบังหน้าตาด้วยผ้าโผกหัวสีดำนับหลักหลายสิบ ก็ยังคอยถือดาบคาตะนะ และพวกเขาบางคนก็ยังถือดาบคาตะนะที่มีความยาวมากกว่าแปดสิบเซ็นติเมตรเป็นอาวุธข้างกายคอยคุ้มกันทิศทั้งแปด

แต่ว่าอิเลฟเวนท์ก็ถือดาบคาตะนะที่ไม่ได้ปลดออกจากฝัก และเธอยังยืนอยู่บนต่อไม้ด้านๆ เก่าๆ นับพันปีคอยเฝ้ามองดูพวกกลุ่มคนไร้นามที่ต่างทยอยปรากฏตัวออกมากจากความมืดมิด และยังอยู่ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหนำ

" ดาบนั้น ! ไม่ใช่ !! "

" ของจริง !!! " อิเลฟเวนท์ตะโกนบอกกลุ่มคนผ่านสายฝน แต่ว่าเพียงไม่กี่อึดใจผู้คนชุดดำที่ต่างรีบกระโจนเข้าหาเธอ

และเสียงดาบอันคมกริบของพวกเขาที่มุ่งหมายแต่จะพุ่งเข้ามาปลิดชีวิตของอิเลฟเวนท์อย่างพร้อมเพรียง

ตุบ !

ฟักดาบธรรมดา ๆ ของอิเลฟเวนท์โบกสะบัดไปตามเสียงของคมดาบที่เข้าหาอย่างว่องไวกว่า และก็เบากว่าเสียงของลมพายุและฝนที่คอยแต่จะประเดประดังตกลงพื้นทราย

อิเลฟเวนท์บางทีที่ใช้ฟักดาบต่อสู้ฟาดเข้าไปที่กลางหลังของผู้คน บ้างครั้งที่ฟักดาบก็คอยฟาดฟันลงบนที่แขนซ้ายและแขนขวา และบางครั้งที่ฟักดาบก็ทุบลงบนขาข้างซ้ายและขาข้างขวาของพวกเขาจนเกิดเสียงดังกร๊อบๆ แกร็บ ๆ ของกระดูก

กลุ่มคนไร้นามชุดดำที่เวลานี้ต่างนอนเกลือกกลิ้งเปียกปอนไปตามพื้นทราย และอิเลฟเวนท์ยังคงยืนหยัดอยู่บนตอไม้ด้าน ๆ นับพันปีแทบจะไม่ขยับ และเธอยังคงรอว่าเมื่อไหร่เสียงโหยหวนของความเจ็บปวดกระดูกและข้อต่อนับสิบๆ ผู้คนจะหายไป แม้ว่าฝนจะยังตกมากกว่าอยู่ก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นานและในระหว่างที่สายฝนเริ่มทยอยลดลาวาศอกให้บ้างแล้ว

บุรุษชุดดำร่างสูงแต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายกับพวกนักรบซามูไรรุ่นดึกดำบรรพ์ แต่เขาที่ยังคงปิดบังอำพรางหน้าตาก็เพิ่งจะปรากฏตัวอยู่บนยอดหลังคาแปดเหลี่ยม

" เธอเป็นใคร !!! " เสียงตะโกนลงมาของชายหนุ่มที่เสียงเหมือนเพิ่งจะผ่านวัยเริ่มรุ่นเต็มตัวดังลงมาจากหลังคา

อิเลฟเวนท์ที่ยังคอยถือดาบและมองกลับขึ้นไป

" ฉันจะเป็นพวกไหน... "

" จะเป็น...พวกไทระ ! "

" ฟูจิวาระ ! หรือแม้แต่...."

" ..มินาโมะโตะ อย่าง เธอ ! "

" ฉันก็เคยเป็นมาแล้วทั้งนั้น !!! " และตอบบุคคลนั้นด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ

แต่ว่าไม่นานบุรุษชุดดำคนสุดท้ายก็กระโดดเยี่ยงนินจานักรบกระโดดลงมาจากหลังคาลงสู่ตอไม้เก่าๆ จนได้

อิเลฟเวนท์ยืนมองอยู่บนตอไม้ด้าน และรอคอยให้เขาคนนั้นที่กำลังเปิดเผยตัวตนอย่างช้าๆ และจนกระทั่งปลดผ้าโผกหัวที่ปิดหน้าปิดตาออกแล้ว และเธอก็ได้เห็นเด็กหนุ่มหน่วยการดีหน้าตาสะอาดสะอ้านราวอย่างรูปปั้นทูตจากสวรรค์

" เธอเป็นใครกันแน่ !! " เด็กหนุ่มที่ชื่อว่า มินาโมโตะ มุรามาสะในวัยที่เพิ่งจะเริ่มเป็นหนุ่มเต็มตัวเฝ้ามองดูผู้หญิงแปลกหน้าที่สวมชุดฮากาม่าเสื้อกีสีเทาซีดๆ ตรงหน้า

" เธอต้องการอะไร !!! " มินาโมะโตะ มุรามาสะในวัยหนุ่มที่ดูเธอและยังรู้สึกสับสน และแม้ว่าใบหน้าของเธอจะไร้ซึ่งสีเลือด

" เธอ กับ ฉัน !! "

" พวกเราไม่เคยรู้จักกันแน่ !! " มุรามาสะที่ยังคงยืนกรานเสียงแข็งตามประสา

แต่ว่าอิเลฟเวนท์ที่เพียงสบตาแวบแรกของมุรามาสะ เพราะฉะนั้นเธอถึงได้ประเมินวิธีชนะเขาเอาไว้ทั้งหมด

" อีกเดี๋ยว ! "

" ก็คงได้รู้จักแน่ !! " เธอตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

แกร่ง !!!

และฟักดาบของมุรามาสะในวัยหนุ่มก็ถูกโยนทิ้งบนพื้นทราย และกระโดดเข้าจู่โจมเข้าหาคู่ต่อสู้

แต่ทว่าอิเลฟเวนท์ทำเพียงเอี้ยวตัวหลบปลายกระบี่ของมุรามาสะเท่านั้น และบางครั้งที่มีบ้างจะคอยใช้ฟักดาบเล่นงานเข้าที่หลังของเขาเบาะ ๆ แต่คมดาบของมุรามาสะเองนั่นแหละที่พยายามเข้าหา และคอยฟาดฟันกับฟักดาบธรรมดา ๆ ของเธอ

มุรามาสะในวัยไร้เดียงสายังคอยถือดาบคาตะนะอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่สนใจคู่ต่อสู้ และวิธีตวัดปลายดาบของมุรามาสะ ที่ๆ ยังผสมความเกรี้ยวกราด จนลืมระวังข้างๆ วิธีตวัดดาบที่ยังคงผสมปนเปเต็มไปด้วยความคาดหวังจนลืมการถ่อมตัว และวิธีตวัดดาบขึ้นๆ ลง ๆ ของมุรามาสะคนเดิมที่ๆ ยังคนปนเปด้วยความอยากจะเป็นผู้พิชิต และการเอาชนะอย่างใจร้อนและเลือดเย็น ซะจน ! ลืมแม้กระทั่ง.. ตัวตนเดิม ๆ ที่ครั้งก่อนจะเริ่มหัดจับดาบทั้งหมดลงด้วยซ้ำ !!!!

มุรามาสะพยายามจะรีบใช้ดาบกำราบเธอให้ได้ และถึงแม้ว่าตัวเองจะเห็นแค่การขยับร่างกายเล็กน้อยของเธอเท่า และที่น่าแปลกพวกมันช่างดูพลิ้วไหวราวกับสายน้ำที่ล่องลอยในนภา... และวิธีการจับด้ามของดาบจะมั่นคงราวดั่งยึดอยู่ กับภูภาก็ช่างปะไร !!

ตุบ ! ตุบ !!

มุรามาสะทรุดนั่งลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้นในชั่วพริบตา หลังจากที่เพิ่งโดนฝักดาบฟาดหลังและข้อเท้าข้างซ้าย

อิเลฟเวนท์ยังคงยืนมองมุรามาสะอยู่บนตอไม้เก่าๆ อายุน่าจะสักพันปีตามร่องรอยเหลี่ยมคมและวงแหวนของมัน เธอที่เฝ้ามองมุรามาสะนั่งคุกเข่าด้วยความเจ็บปวดที่แผ่นหลังและข้อเท้าที่แทบจะลุกขึ้นไม่ไหว

" พอได้แล้ว !! " แต่ว่าอยูู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนร้องห้ามของพระภิกษุเก่าแก่ประจำวัดร้องห้าม

" พอแค่นี้เถอะนะ !!! " พระภิกษุอายุมากพรรษารีบเดินจ้ำ ๆ เข้ามาหยุดอยู่ระหว่างอิเลฟเวนท์และก็มินาโมะโตะ

เพราะฉะนั้นอิเลฟเวนท์ยิ่งต้องคอยหันมาถือดาบขวางพาดเอาไว้ที่คอของมุรามาสะในตอนที่เขาพยายามจะลุกขึ้นมาให้ได้

มุรามาสะถูกคมฝักของดามคาตะนะขวางแนบชิดเอาไว้ที่ลำคอ จนกระทั่งตัวเองไม่สามารถที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าใคร

อิเลฟเวนท์พยายามจะกดฝักดาบให้หนักขึ้น

" การตามหาดาบอันนั้น !!! " และน้ำเสียงที่หนักแน่นยิ่งกว่า

" ใช่ว่า...มัน !! "

"...จะทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นมาภายหลังได้ !!! " เธอย้ำและบอกกับสิ่งที่เธอต้องการต่อหน้ามินาโมะโตะ มุรามาสะ

" พอเถอะ !!! " แต่พระภิกษุคนดึงดันที่จะขอร้องให้พวกเธอเลิกแล้วต่อกัน

" บอกฉันมาสิ ! ว่าเธอเป็นใคร !!! " มุรามาสะพยายามที่จะขยับและฝืนเงยหน้าเพื่อจะมองหน้าของพวกเธอให้ชัด ๆ

แต่อิเลฟเวนท์ก็ไม่ยอมที่จะลดดาบลงให้ง่ายๆ

" ทัตสึจิ ! "

" บอกกับเขาว่า....มาหาฉันได้ตลอดเวลา " เธอย้ำกับมุรามาสะ และถึงจะหันไปหาหลวงพ่อที่ยืนรอ และยื่นประเคนคืนดาบให้ถึงมือ

พระภิกษุที่ชราภาพรับประคองดาบจากอิเลฟเวนท์ด้วยมือไม้ที่ไม่ค่อยจะมั่นคงหนักก็เพราะดาบที่หนักอึ้ง

" ต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ !! " พระภิกษุตั้งคำถาม

และเธอก็ทำเพียงยกมือพนมกราบไหว้อย่างช้าๆ และเดินจากพวกเขาไปเงียบๆ แต่ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านต้นไม้ขนาดใหญ่ของวัดเก่าแก่

เธอยังจะมองเห็นเด็กผู้ชายในคราบชุดสบงจีวรตัวน้อยกำลังเปียกปอนเพราะฝน เด็กผู้ชายหน้าตาไม่เอาไหนอายุน่าจะสักหกขวบที่เอาแต่ยืนจ้องเธออย่างไม่รู้สึกกลัว...อยู่หลังต้นไม้

กลุ่มชายฉกรรจ์นับร้อยคอยสวมชุดกางเกงฮากาม่าสีเทา และทุกๆ คนที่ต่างพากันเข้ามายืนล้อมรอบศาลาทรงแปดเหลี่ยม และรถยนต์ญี่ปุ่นยี่ห้อเก่าแก่ของประเทศญี่ปุ่น แต่ว่ามินาโมะโตะ ทัตสึจิในตอนนั้นวัยราว ๆ สักสี่สิบปลาย ๆ ที่ก็เพิ่งจะก้าวเท้าเดินลงมาจากรถคันนั้นพร้อม ๆ กับมุรามาสะ และยังมีเด็กสาวที่อายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดบริบูรณ์ดีในชุดนักศึกษาที่ต่างพากันเดินตามลงมาจากรถ และทัตสึจิได้พาพวกเขาเดินเข้าไปในในศาลาทึบแปดเหลี่ยมหลังนั้น

ประตูไม้ของอาคารแปดเหลี่ยมที่ ๆ พวกมันเคยถูกทาด้วยสีเขียวมีร่องรอยของสีที่หลุดหล่อนจากไปตามกาลเวลา ขื่อและคานกรอบบานประตูและช่องลมที่เคยถูกทาทับด้วยสีแดง ๆ ก็หลุดหล่อน

และทัตสึจิที่กำลังพาเด็กๆ ทั้งคู่พากันเดินเข้าไปภายในอาคารทรงแปดเหลี่ยมทึบที่ดูคล้ายกับสถานที่ใช้เก็บของสำคัญของวัดเก่าแก่ เพราะข้างในนั้นพวกเขาได้เห็นรูปปั้นของพระนักบวชหลายรูป ทั้งเล็กบ้าง และก็ใหญ่บ้าง และรูปปั้นของอสูรกาย อย่างเช่น ยักษ์ และ ตัวเคมีร่า ขนาดราว ๆ ห้านิ้วบ้าง เจ็ดนิ้วบ้าง และสิบนิ้วบ้าง และอื่นๆ ก็พวกพัดของพระนักบวช สร้อยประคำ

และก็ของที่อยู่ในตู้ไม้โบราณ ๆ ทางฝั่งด้านหน้าสุด ตู้ไม้โบราณสีแดงๆ ติดกระจกที่ข้างในได้เก็บ ดาบสั้นเซปปุกุ อยู่สักสองถึงสามเล่ม และ ดาบคะตานะที่เหลืออยู่อีกเล่มชั้นบนสุด ดาบคะตะนะเล่มหนึ่งที่ถึงบนฝักที่สลักเสลารูปหัวนกฟินิกส์ ที่ ๆ ทำจากดีบุกผสมสำริดแตกหักและกลักกร่อนลงไปแต่ก็ยังคงดูสวยงาม

และที่ตรงด้ามจับ ที่ๆ พันด้วยเชือกอิโต้สีเขียว ๆ เชือกที่ใช้สำหรับเอาไว้พันดาบฟักดาบของพวกซามูไร เชือกอิโต้สีเขียวซีดจางพันเป็นเกลียวสามเหลี่ยม

และก็ที่กระบังมือ สวนที่กั้นฟักดาบและด้ามดาบ กระบังมือที่ทำจากเหล็กแท้ๆ ขัดเกลาจนเป็นลวดลายของ... มอญ สัญลักษณ์ตราประจำตระกูลของฟูจิวาระ

มอญประจำตระกูลฟูจิวาระ ก็คือสัญลักษณะของพวงของดวงฟูจิ หรือที่เรียกกันทั่ว ๆ ไปไปว่า ดอกวีสทีเรีย พวงดอกงวีสทีเรียพืชตระกูลเถาที่ห้อยย้อยอยู่รอบๆ ใบไม้รูปทรงเรียวและกว้างทั้งหมดสามใบ หรือใบของต้นซะคะกิ !!!

และพระภิกษุวัยชราภาพคนเดิมที่ได้ช่วยพาอิเลฟเวนท์เดินเข้ามาหาพวกเขา และยังติดตามมาด้วยพระบวชใหม่หน้าตาคล้ายผู้หญิงอายุรุ่นๆ อีกหนึ่งรูป

อีเลฟเวนท์ยังคงคอยสวมกางเกงฮากาม่าสีกรมท่าหม่นๆ และเสื้อกีสีขาวหมอง ๆ และยังมีเสื้อฮาโอริเสื้อเอาไว้คลุมตัวยาวสีเขียวซีดแต่รอยขาดยาวที่ด้านหลังเข้ามายืนเยื้องๆ อยู่กับพระภิกษุ และมีห่อผ้าเล็ก ๆ สีของจีวรคอยม้วนเหน็บอยู่ที่เอวค่อนไปทางซ้าย

" พวกเราต้องขอโทษที่... ฟูจิวาระ !! "

" ได้ทำให้ลูกชายของคุณได้รับบาดเจ็บ ! ท่านมินาโมะโตะ !! " เพราะฉะนั้นพระภิกษุก็เลยได้เข้าไปขอขมาต่อสิ่งที่คนรู้จักของตนไปทำร้ายบุตรของคนอื่น

ทัตสึจิที่รีบเหลียวหันมองเธอด้วยความประหลาดใจ

" ฟูจิ.....วาระ !!! " ทัตสึจิเปล่งเสียงอุทานออกมาด้วยความสงสัย

อิเลฟเวนท์โค้งเล็กน้อยเพื่อแสดงความจริงใจจ่อต่อคนในตระกูลมินาโมะโตะ อย่าง ทัตสึจิ และพวกเขาที่ต่างพากันหันมองด้วยความสับสน

และพระภิกษุรูปนั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่ระหว่างกลาง

" ฟูจิวาระ เธอไม่ใช่ ! "

" คนญี่ปุ่นหรอก ! " พระภิกษุอธิบายพลางและสายตาที่มีต่อความอ่อนโยนมองสลับไปมาหาทุกๆ คน

" เธอมาที่นี้ ! ก็เพื่อ..."

" อยากที่จะมาหาของสำคัญ ! "

" ท่านมินาโมะโตะ !! "

" ฟูจิวาระ ! เธออยากจะช่วยคุณเก็บรักษาของสิ่งหนึ่งเอาไว้ให้สักระยะ !! " และพระภิกษุที่ยังคงเป็นตัวแทนเจรจาให้กับอิเลฟเวนท์

" ผม ! ไม่เข้าใจ !! " ทัตสึจิที่ยังคงมีสีหน้าประหลาดใจต่อผู้หญิงที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้

แต่ทว่ารอยยิ้มของพระภิกษุที่ยังคงเฝ้ามองพวกเขาด้วยใจที่เมตตา และในขณะเดียวกันอิเลฟเวนท์ก็ยังโค้งก้มหัวลงเล็กน้อย

" คุณยังถือดาบอยู่ ! ใช่หรือเปล่า !! "

" ทัตสึจิ !! " อิเลฟเวนท์ไม่ได้ตั้งประโยคคำถาม แต่เพียงเพราะอยากจะมั่นใจอะไรบางอย่างในตัวของคน ๆ นี้

ทัตสึจิที่ไม่ได้เข้าใจความหมายของพวกเธอเอาซะเลย

" บอกมาเลยดีกว่าว่า เธอ! ต้องการเรียกร้องค่าเสียหายเท่าไหร่ " แต่มุรามาสะที่ไม่ยอมให้เธอมายุ่งกับครอบครัวของตัวเอง

" ได้ !!! " ทึตสึจิตอบตกลงทันที

และเธอต้องขอร้องพระภิกษุรูปนั้นอีกครั้ง

" หลวงพ่อค่ะ ! "

" ฉันอยากจะขอยืมดาบเล่มนั้น !!! " เธอเงยหน้าขึ้นไปมองดาบ ๆ ที่อยู่ในตู้กระจกตรงข้างหน้า

" และก็อีกสักเล่มหนึ่ง สำหรับ ท่านมินาโมโตะ " เธอขอร้อง

พระภิกษุยอมหลีกทางให้อิเลฟเวนท์และทัตสึจิอย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำขณะที่พระหนุ่มหน้าตาสะสวยก็ยังเป็นคนที่นำดาบคาตะนะทั้งสองเล่มออกมาจากตู้กระจก

พระหนุ่มหมอบดาบคาตะนะทั้งสองเล่มที่เธอขอนำมายื่นให้ แต่อิเลฟเวนท์หยิบดาบที่มีสนิมเขราะลวดลายนกฟินิกส์ และสำหรับทัตสึจิที่รับไปเป็นเพียงดาบคาตะนะโบราณของเก่าแก่

แต่ทว่ามุรามาสะกลับมองตามดาบเล่มที่อยู่ในมือของอิเลฟเวนท์ด้วยความเสียดาย และยิ่งกว่านั้นก็คือความเจ็บใจ แต่สำหรับเด็กสาวอาซามิที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ พี่ชายกลับมีเพียงสายตาเย็นชา

มินาโมะโตะ ทัตสึจิยืนกำดาบคาตะนะกึ่งเก่ากึ่งใหม่เล่มหนึ่ง และได้ยืนอยู่บนตอไม้เก่าๆ ที่อยู่บนลานคอนกรีตหน้าศาลาทึบรูปทรงสี่เหลี่ยมที่มีอยู่นับสิบๆ ตอ

และส่วนเธอ ผู้หญิงที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันกับพวกเขา และคอยถือดาบในตำนานอยู่อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นแววตาของมินาโมโตะ ทัตสึจิที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตารออย่างสนอกสนใจ

และอิเลฟเวนท์ที่พอจะมองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของทัตสึจิ และก็ไม่แปลกที่เธอยังจะเห็นความประหลาดใจปนเปอยู่ในสายตาของพวกเขาด้วย

และก็เริ่มจะมีเสียงคมดาบอันคมกริบของทัตสึจิคอยดังกระทบรัวๆ กับฝักดาบของอิเลฟเวนท์ขึ้นมา และหลายครั้งต่อหลายครั้งอย่างรวดเร็วและถี่ถ้วน

การขยับตัวของมินาโมะโตะที่ดูคล้ายกับนักดาบดั่งเป็นคนเลือดเย็น ทัตสึจิค่อยๆ ย่างแต่ละขุมอย่างพินิจพิเคราะห์และสมดุลเกินกว่าที่จะยับยั้งเอาไว้ได้ และวิธีการตวัดดาบให้เป็นแนวเฉียงขึ้นและลงตรงๆ ที่ ๆ พวกมันยังคงคมกริบเหมือนฟาดฟันลงกลางมหาสมุทร จน..ทำให้เกิดคลื่นแห่งความหายนะ !!!

อิเลฟเวนท์ยังคอยใช้ฝักดาบรับมือคมดาบของทัตสึจิอย่างไม่บิดพลิ้ว และทุกๆ ก้าวย่างก็ยังคงยืนหยัดอยู่บนตอไม้เก่าๆ เอาไว้ให้ได้ และบางครั้งอาจจะต้องหลบหลีกไปยืนหยัดต่อสู้อยู่บนตอไหม้แห้งเหล่านั้นบ้าง เพราะว่าวิธีการรับมือของฝีมือดาบของทึตสึจิที่ไม่ง่าย !!!

..และอิเลฟเวนท์ที่ต้องการสะบัดตัวให้ห่างจากคลื่นยักษ์แห่งความหายนะของทัตสึจิ ที่ ๆ แสนจะค่อนข้างลำบาก แต่ก็พอรับได้ในทุก ๆ ครั้ง วิธีการเคลื่อนไหวตัวของอิเลฟเวนท์ที่ค่อนข้างจะเหมือนกระแสลมพายุพัดพา เหมือนกันกับ ต้นไผ่ที่โงนเงนพัดพาตามกระแสลม ลู่ลมบ้าง และต้านลมบ้าง

อิเลฟเวนท์ทำประหนึงว่าดาบที่ไม่เคยนำออกมาจากฝักก็ยังได้ลับคมมาแล้ว เพราะว่าเธอยังใช้พวกมันต่อสู้กับทัตสึจิอย่างสมน้ำสมเนื้อก็ยังพอจะได้อยู่ และทัตสึจิก็ยังคอยพุ่งกระโจนทะยานเข้าหากันคล้ายๆ ราวกับจะถาโถมดาบเข้ามาและรีบตัดหัวของพวกเธอก่อน

แต่ในคราวที่ทัตสึจิกระโจนลอยทะยานอยู่เหนือศีรษะ และอิเลฟเวนท์ที่จงใจยื่นดาบออกมาในลักษณะที่ตั้งฉากกับลำตัว

ฉับ !!!

และทัตสึจิที่รีบตวัดดาบฟันเข้าที่สันดาปของเธอ และปลายดาบที่ขึ้นสนิมเขราะก็หักร่วงลงบนพื้นพร้อมกับฝักดาบคาตะนะที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ตุบ !

อิเลฟเวนท์โยนส่วนที่เหลือของดาบคาตะนะลงบนพื้น จนกระทั่งหัวของนกฟินิกซ์ที่อยู่บนด้ามตกกระทบพื้นและก็หัก

มุรามาสะตกใจมากจนต้องรีบออกมายืนก้มมองดูดาบคาตะนะเล่มนั้น และยังคอยคุกเข่าเฝ้ามองดูดาบคาตะนะที่แตกหักไม่เหลือชิ้นดี แต่ทว่าไม่นานมุรามาสะก็ไม่ได้มีสายตาแห่งความอาลัยอาวรในดาบคาตะนะเก่าๆ นั้นอีก

พระภิกษุหันมองตามลูกชายของมินาโมะโตะที่ทำท่าจะผิดหวังเรื่องดาบคาตะนะของวัด จนทำให้เขาต้องเดินหนีจากดาบเล่มนั้นไปอย่างเงียบๆ

และพระภิกษุหนุ่มก็เช่นกันที่เฝ้ามองดาบคาตะนะเล่มๆ นั้นอย่างเสียอกเสียใจและเสียดายไม่แพ้ลูกชายของมินาโมะโตะ

" ดาบคาตะนะเล่มนี้ !! " ทัตสึจิเดินเข้ามาก้มมองดูดาบ

" เป็นเพียงดาบธรรมดาๆ เท่านั้น " และทัตสึจิก็ยังหันไปบอกกับทุกๆ คนที่ยืนอยู่รายล้อมตัว แต่ทว่าลูกสาวของเขากลับเดินแทรกเข้ามาเพื่อเฝ้ามองดูดาบคาตะนะ

" ไม่ใช่ ! ดาบปีศาจ !!! " อาซามิ มินาโมะโตะพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉยๆ กับแววตาของพวกเธอที่แสนจะเย็นชาที่เฝ้ามองดูมัน และน้องสาวที่พยายามจะเดินตามพี่ชายไป

และตอนนี้ทัตสึจิที่กำลังยืนมองด้านสั้นเซปปุกุที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีภายในห้องเก็บของสำคัญประจำตระกูลเก่าแก่ของมินาโมะโตะมาจนถึงตอนนี้ และก็ยังไม่เคยมีครั้งไหนๆ ที่เวลาเดินผ่านดาบเซปปุกะของอิเลฟเวนท์ได้ฝากเอาไว้เมื่อสมัยเกือบๆ ยี่สิบกว่าปีที่แล้วได้ และก็คงจะไม่ลืมการปะทะดาบกับอิเลฟเวนท์ในวัยสาวสะพรั่ง

และไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เหลียวหันไปมองดูตู้กระจกที่ยังเก็บดาบคาตานะที่อยู่ทางด้านขวามือของนักรบซามูไรชุดเกราะสีแดง

" ดาบ..ของมุรามาสะ ! จริงๆ หรือเนี้ย...!! " และทัตสึจิที่ยังคงเฝ้ารำพึงรำพันต่อหน้าดาบเล่มนั้นซะจนนับครั้งไม่ถ้วน

และแม้ว่าตัวของเขาเองจะมีอายุเลยเลขหกสิบเข้าใกล้จะเจ็ดสิบเฉียด ๆ ก็ยังคงเฝ้านึกถึงวันที่เจอกับเด็กสาวที่หอบเอาลมทิศตะวันออกเฉียงใต้มาปะทะครั้งแรกไม่เคยลืมเลือนไป

ปีนั้น ! ในวันที่ตัวเองต่อสู้และปะทะดาบกับเธอ และในวันเดียวกันในคืนที่ฝนตกหนักอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง ฟูจิวาระในตอนนั้นได้เดินฝ่าสายฝนและลมพายุที่โหมกระหนำตกลงมาอย่างบ้าคลั่งภายในวัดเก่าๆ ที่เมืองนารา และเธอยังอุตสาหะเดินฝ่าสายฝนและสายฟ้าฟาดที่คอยดังเปรี้ยงป้างอยู่รอบๆ ตัวนับสักร้อยเส้นร้อยสายผ่าลงมาที่ผืนดินใกล้ๆ

แต่ว่า..มันก็เป็นเรื่องแปลกที่พวกมันทำอะไรไม่ได้แม้แต่ปลายขนของหญิงสาวจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ได้แม้แต่ปลายเส้นผม ในขณะที่เธอสวมเพียชุดกางเกงฮากาม่าสีเทาเก่าๆ คอยเดินลุยลงไปในแม่น้ำซารุซะงะ แต่ทว่าแม่น้ำในวินาทีนั้นกลับเกือบที่จะเหือดแห้ง และเหลือแต่เพียงรากเหง้าบัวที่คลุมอยู่ !!!

จวบจนกระทั้ง...หญิงสาวที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้คอยย่างก้าวเดินลงไปกลางแม่น้ำ และก้มหยิบเอาดาบปีศาจใจตำนานดาบของมุรามาสะจริงๆ ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

ทัตสึจิที่กำลังมองย้อนนึกถึงภาพของอีเลฟเวนท์ หรือจะเป็น ฟูจิวาระก็ช่าง ! แต่ว่าเธอก็หยิบดาบมุรามสะกลับขึ้นมาได้อย่าง่ายดาย และง่ายดายจนเกินไปด้วยซ้ำโดยไม่กลัวแม้แต่คำสาปแช่งของดาบปีศาจ

เพราะฉะนั้นมาจวบจนทุกวันนี้ ทัตสึจิที่ยังต้องคอยหันกลับไปมองดาบสั้นวากิซากิที่เก็บอยู่ในตู้กระจกใกล้ๆ และก็นึกถึงคืนวันที่เธอหมอบดาบสั้นและคาตะนะแห่งความชั่วร้ายมาหมอบให้ต่อหน้าพระประธานองค์ใหญ่มหึมาในวัดเก่าเมืองนารา ในขณะที่มีเพียงตนเองและก็หลวงพ่อว่า.. !

" ดาบทุกเล่มนั้น ย่อม...มีที่มาที่ไป " ทัตสึจิที่คงยังจำคำพูดแรกๆ ของพวกเธอได้ดีอีกว่า

" เพราะว่า..มี ! กิเลศและก็ตัณหาจึงพลอยทำให้ชีวิตที่แสนจะธรรมดาต้องคอยสะดุดอยู่เรื่อย"

ทัตสึจิที่พอนึกถึงประโยคพวกนี้ขึ้นมาทีไรก็อดที่จะคล้อยตามเธอไม่มีที่สิ้นสุดขึ้นมาฉับพลันขึ้นมาในวินาทีนั้น !!!