Chereads / ิฺBangkok in a Sense the memory of passed / Chapter 4 - เรียวกังและภาพวาดเก่าๆ

Chapter 4 - เรียวกังและภาพวาดเก่าๆ

บนถนนที่ลัดเลาะไปตามทะเลสาบทั้งห้าของภูเขาไฟที่เขาว่ากันว่าสวยที่สุดในโลก ภูเขาไฟฟูจิ เวลาสายๆ ที่....ทุ่งของดอกลาเวนเดอร์สีม่วงๆ ไกลสุดลูกหูลูกตาที่คอยเป็นม่านด่านปราการให้กับภูเขาไฟที่สูงที่สุดและยังจะมีหิมะปกคลุมยอดเขาอยู่ตลอดทั้งปี ต้นและดอกซากุระขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง ที่ ๆ ขณะนี้ทุกต้นกำลังพากันชูช่อตั้งตระหง่าน อวดสีดอกสีชมพูบ้าง และขาวบ้างให้ได้เห็นกันจนเกลื่อนตาไปตามทาง

ภูเขาไฟฟูจิในช่วงสาย ๆ ก็ยังจะอุตส่าห์มาคอยปรากฏกายในผืนน้ำในใจกลางทะเลสาบทั้งห้าทำให้เห็นราวกับว่า.....เราก็ยังสามารถที่จะปืนขึ้นไปสู่ยอดของพวกมันได้อย่างฉับพลันทันทีทันได ทุ่งดอกหญ้ายามารูริที่ยังคงชูช่อสลอนเรียงรางไปตามถนน ดอกหญ้ายามารูริ เป็นหญ้าในตระกูลมูราซากิ ลำต้นเป็นเถาพัน ใบยาวคล้ายใบไผ่แต่มีจะมีรอยย่นที่ขอบ

เพราะฉะนั้น... หญ้ายามารูริ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า " หญ้าใบไผ่ขอบย่น " และดอกของหญ้ายามารูริที่เป็นพุ่มและมีสีขาวคล้ายกับไข่ไก่

ถัดจากทุ่งดอกหญ้ายามารูริก็จะเป็นทุ่งดอกอายาเมะสีม่วงอ่อน ๆ ไป จนกระทั่งดอกอายาเมะสีม่วงเข็ม หรือที่เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่า " ดอกไอริส" ดอกไม้แห่งความกล้าหาญ

ถัดจากทุ่งดอกไอริสสีม่วงที่ไกลสุดลูกหูลูกตา....ทุ่งดอกโอคินะงุสะ ดอกไม้ที่ดูเหมือนขนมคัพเค้ก แต่เป็นคัพเค้กรสเผือกสีม่วงนิ่มนวลสีสวย

และถ้าหากมองไปที่ไกลๆ ใกล้ กับ เชิงเขาฟูจิ.....ทุ่งของดอกรินโค หรือว่า ดอกกระดิ่งลม ดอกไม้สีม่วงอีกประเภทหนึ่งที่คล้าย กับ กระดิ่งหงาย

ทุ่งดอกรินโคที่กว้างใหญ่สลับ กับ ดอกไม้นานาพันธุ์ ทั้งสีแดง สีส้ม สีขาว สีชมพู และสีม่วงใกล้กับภูเขาไฟฟูจิไปไกลจนสุดฟากฟ้า และก็สายลมเอื่อยๆ ที่พัดผ่านเข้ามาทางกระจกรถที่ถูกเปิดแง้มไว้ ในขณะที่รถยนต์ของ ไทระ มาซายูกิกำลังค่อยๆ ขับผ่านทะเลสาบทั้งห้าที่อยู่ใกล้ๆ บ้าน

เรียวกังขนาดย่อมๆ ที่อยู่กลางที่ราบกลางหุบเขาอะไคชิซันยะคุตอนใต้ หรือภาษาสมัยใหม่ก็คือเทือกเขาเจแปนแอลป์ตอนใต้ หลังคาไม้ทรงปั้นหยาที่สามารถมองเห็นได้ไกลๆ จากตรงฝั่งแม่น้ำมิโนบุที่อยู่ด้านหลังได้อย่างชัดเจน

เรียวกังหลังคาปั้นหยา ที่มีขนาดเท่ากับตึกสูงราว ๆ สี่ชั้นครึ่ง แม้ว่าโรงแรมที่เคยถูกสร้างด้วยไม้สักที่แข็งแรงทั้งหลัง ตอนนี้แม้ที่จะมีบางส่วนที่ถูกต่อเติมผสมด้วยคอนกรีตและเสาที่ทำมาจากหินอ่อนนำเข้า

แต่ทว่าเรียวกัง หรือว่า โรงแรมสมัยยุคโบราณของประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้ก็ไม่เคยสิ้นสุด....ความขลังจากบรรดาแขกเหรื่อชั้นสูงสุด ในยุคที่สมัยอดีตกำลังรุ่งเรืองมานับตั้งแต่โบราณราวๆ 1,319 ปี !!!!!

ไทระ มาซายูกิที่ก้าวลงมาจากรถเพียงลำพัง และเดินเลี้ยวตรงไปที่ป้ายหินขนาดใหญ่ที่สลักชื่อเรียวกังเอาไว้เป็นป้ายหินกลมๆ รีๆ ขนาดเกือบๆ สูงเท่าเอว ป้ายหินกลม ๆ ที่เคยสลักป้ายชื่อของเรียวกังแห่งนี้มาเป็นเวลาเนิ่นนานป้ายหินที่สลักชื่อเรียวกังเป็นภาษาจีนโบราณเอาไว้ว่า " อะไคชิซันคัง "

ทางเดินที่ปูด้วยหินสลับกับต้นสนสามใบขนาดใหญ่หลายสิบต้น บริเวณด้านหน้าของเรียวกัง ที่ต้นสนสามใบที่ช่วยอุ้มชูความสงบรื่นรื่นให้กับเรียวกังแห่งนี้ได้ทั้งปี มิหนำซ้ำทางเดินที่ปูด้วยหินขัดลัดเลาะไปตามสวนหย่อมญี่ปุ่นขนาดใหญ่ไปตามทางเดินข้างๆ ของโรงแรม และสวนดอกไม้ขนาดใหญ่สีสันสวยงามที่ปลูกสลับกันไปมาระหว่าง ต้นสนสามใบและกระถางของบอนไซภูเขาขนาดใหญ่

ตะเกียงหินเก่า ๆ และตะเกียงดินเผ่าเตี้ยบ้าง สูงบ้าง กองหินก้อนน้อยใหญ่อีกหลายสิบที่ผุดขึ้นมาเองตามธรรมชาติไปทั่วบริเวณที่ราบกลางหุบเขาอะคิไคซันยะคุเทือกเขาของประเทศญี่ปุ่นตอนใต้บริเวณซุ้มประตูทางเข้าเรียวกัง และซุ้มประตูไม้ขนาดย่อมๆ ที่ยังคงเป็นไม้ท่อนซุงท่อนใหญ่อีกจำนวนสี่ต้นตั้งกันอยู่คนละมุมแบบเดิมๆ แต่ว่าหลังคาของเรียวกังแห่งนี้จากที่เคยปูด้วยกระเบื้องดินเผาสีแดงๆ ปัจจุบันหลังคาพวกนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนบ้างมาใช้เป็นแผ่นหลังคายิปซัปประปราย

" มาซา...ยูกิ !!!! "เสียงสากๆ ของผู้หญิงแก่ ๆ ที่คอยสวมชุดยูกะตะสีกรมท่ายืนรออยู่หน้าซุ้มประตูและน้ำตาของหญิงแก่ที่ไหลนอง

" มาซายูกิ !!! " และพวกเธอก็ยังโผเข้าไปกอดและซบอกของมาซายูกิทันทีทันใด

หญิงชาวญี่ปุ่นอายุราวๆ เกินเจ็ดสิบปี แต่เธอกลับมีรูปร่างที่สูงพอ ๆ กับมาซายูกิ ใบหน้ากลมๆ ที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น และดวงตาที่เล็ก ๆ ของเธอที่เต็มไปด้วยความเศร้าและการรอคอย

" ผมกลับมาแล้วครับ ! " เสียงสะอื้นออกมาเล็กน้อยของมาซายูกิที่พยายามอดกลั้นเพื่อไม่ให้ผู้หญิงคนตรงหน้าเห็นน้ำตาอีกในขณะที่ยังต้องคอยประคองหญิงชราเอาไว้

แต่ว่าผู้หญิงแก่ที่สวมชุดยูกะตะสีกรมท่าหม่นๆ และพวกเธอก็ยังคอยจ้องแต่ที่จะยืนโอบกอดไทระน้อยๆ ของตัวเองราวกับว่ากลัวเขาจะหลุดมือไปอีก

" ไม่เป็นอะไรใช่ไหมห๊า..."

" มาซายูกิ !!! " ผู้หญิงแก่คนเดิมเริ่มสอบถามกันด้วยควมเป็นห่วง

มาซายูกิคลายกอดและหันมาเช็ดคราบน้ำตา

" ขอโทษด้วยครับ ! " คำตอบพร้อมๆ เสียงสะอื้นของมาซายูกิได้บอกกับเธอ

และผู้หญิงแก่คนเดิมก็ยังเหมือนที่จะสกัดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เอาเสียเลย และเธอก็คอยยืนจ้องมองไปที่ใบหน้าน้อยๆ ของไทระน้อยของเธอจนแทบไม่อยากที่จะละสายตาไปไหน และแม้ว่ามาซายูกิพยายามเหลียวมองหาอะไรบางอย่าง บริเวณรอบๆ ทั่วทั้งเรียวกังไปจนทั่วก็ตาม

" เออ...." มาซายูกิรีบหันมาถามเธอ

" แล้วนี่ !!! "

ผู้หญิงแก่ๆ คนนั้นหลบสายตาของมาซายูกิสักครู่ แต่ว่าเธอก็ยังเงยหน้าหันกลับมาหาและฝืนยิ้มให้ในทันที

" ตอนนี้...เขา ! "

" กำลังเจอแขกคนสำคัญ " และได้บอกมาซายูกิออกไปแบบนั้น

มาซายูกิผงกหัวเล็กน้อยให้กับพวกเธอ และหันกลับมาช่วยพยุงผู้หญิงคนที่สวมชุดยูกะตะสีเทาหม่นๆ กลับเข้าไปในเรียวกังพร้อมๆ กับเขา

มาซายูกิที่ยังคอยเดินจูงมือหญิงชราชาวญี่ปุ่นสวมชุดยูกะตะสีกรมท่าหม่นๆ กลับเข้าไปในห้องพักห้องหนึ่งทางฝั่งทิศใต้ของอะไคชิซันเรียวกัง ห้องพักห้องนี้ของเรียวกังที่มีขนาดใหญ่ และสวยงามเป็นพิเศษกว่าห้องอื่นๆ และบานประตูเลื่อนฟุกุสะที่มีภาพเขียนวาดลวดลายของเรื่องราวระหว่าง...

....งูพิษที่มีศีรษะมากถึงแปดศีรษะ ที่มีชื่อว่า " ยามาตะ โนะ โอโรชิ " ที่กำลังถูกเทพเจ้าของชาวญี่ปุ่นองค์หนึ่งตัดศีรษะทั้งแปดศีรษะของพวกมัน หรือ เทพเจ้าซูซาโนะโอะที่กำลังเร่งรีบควบม้าอาชาไนยสีแดงดำทะมึนมาช่วยเหลือหญิงสาว ในตระกูลที่ต่ำต้อยจากอสรพิษงูยักษ์

ตู้ และ แจกันสไตล์ญี่ปุ่นเตี้ยๆ ที่ทำมาจากไม้และมีลิ้นชักราวๆ ห้าถึงหกชั้นที่วางอยู่ในห้องๆ นี้ อีกประมาณถึงสามถึงสี่ตู้

โต๊ะสำหรับดื่มชาที่ทาด้วยสีไม้ใหม่ๆ เบาะนั่งสองอันที่มีลวดลายที่คล้าย ๆ กับคลื่นในทะเล กาน้ำชาและถ้วยชาสีดำ ๆ ที่ยังตั้งวางอยู่ในถาดไม้ที่ยังคงวางไว้อย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะดื่มชาเตี้ยๆ

และภาพวาดอุกิโยะภาพใหญ่ ๆ ที่ถูกแขวนเอาไว้ทางทิศตะวันตกของห้องหลังโต๊ะดื่มชา ภาพวาดอุกิโยะที่แสดงให้เห็นถึงวิธีชีวิตของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่โบราณกาลนานมา แต่ว่า..พวกมันก็เป็นภาพวาดอุกิโยะที่เพิ่งจะถูกเขียนขึ้นมาใหม่

แต่ทว่ามันก็เป็นภาพที่ถูกวาดขึ้นตามคำบอกเล่าที่เป็นจริง ภาพวาดอุกิโยะรูปนั้นตามตำนานของสงครามเก็มเป ! สงครามเสี้ยวหนึ่งในตำนานของนักรบชาวญี่ปุ่น ขุนศึกนักรบเสื้อเกราะชุดแดง กับ การเข่นฆ่าพวกพ้องชาวซามูไร !!

เสี้ยว ๆ หนึ่งระหว่างเกิดสงครามเก็มเป ในยุคสมัยเฮอันตอนปลาย ฝ่ายของซามูไรที่คอยรับใช้โชกุนอย่างจงรักและซื่อสัตย์ต้องคอยกวาดล้างพวกซามูไรรุ่นเก่า...ที่ไม่ต้องการรัฐบาลคะมะกุระ นักรบเหล่าทหารสวมเกราะชุดแดงนับหมื่นนับพันคอยขี่ม้ากำลังไล่ล่าและกวาดต้อน เหล่าซามูไรบุกเบิกที่ไม่มีทางสู้อย่างไร้ปราณีปราศรัย... !

แม้ว่าบางคราวที่... นักรบชุดเกราะจำใจจะต้องเข่นฆ่าพวกพ้องนักรบให้หมดสิ้น แต่ทว่าไฉนเลย...พวกเขาจะไม่แอบร่ำไห้....

...ในขณะที่ต้องลงมือเข่นฆ่าพวกพ้องท่ามกลางหุบเขาและโยนศพลง ที่อ่าว...ทะโงะ !!!

ภาพอุกิโยะที่กำลังแสดงให้เห็นภาพฝุ่นคลุ้งที่ตลบอบอวนของเกือกม้าที่กำลังคอยย้ำรอบๆ ศพของผู้กล้า นักรบเกราะชุดแดงที่ประดับหมวกเหล็กด้วยเขากวางอันใหญ่เบ้อเร่อเท้อคอยแต่จะถือดาบเจ็ดเฉก...บัญชาการ !!

ภาพอุกิโยะเสี้ยวหนึ่งของสงครามโบราณแท้จริง ที่น่ากลัวล้นเหลือคณา...สีของเลือดที่แดงฉานไปทั่วภูเขาแคว้นสุรุงะ และ น้ำทะเลที่อ่างทะโงะ

...คล้ายๆ ดูราวกับว่า.. กลิ่นคาวเลือดจะคละคลุ้งออกมาจากภาพวาอุกิโยะภาพ ๆ นี้เสียให้ได้..

บานประตูเลื่อนโซจิที่ทำมาจากกระดาษสาสีขาวๆ ทางด้านทิศตะวันตะวันออกที่พอเปิดออกก็จะได้สูดอากาศยามเช้าที่ระเบียงไม้ควบคู่ไปกับการชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำมิโนบุอันคดเคี้ยว และวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำมิโนบุที่ไหลผ่านเอื่อยๆ อ้อมภูเขามาทางด้านหลังของอะไคชิซันเรียวกัง ลัดเลาะไปตามหินน้อยใหญ่ในริมธารและริมตลิ่ง ที่ๆ ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำและเฟิร์นอีกนานาชนิด

มาซายูกิกับผู้หญิงชราชาวญี่ปุ่นคนเดิมที่คอยเดินจูงมือกันไปที่ระเบียง และคอยสูดอากาศบริสุทธิ์ไปพร้อมๆ กัน และทอดสายตาไปยังบนเทือกเขาญี่ปุ่นตอนใต้

" ผม.. เคยแอบขึ้นไปบนภูเขาพวกนั้นคนเดียวทุกๆ ปี "

" ภูเขาที่ยังคงแข็งแกร่ง "

" มากกว่า....ผม ! ตอนนี้ซะอีก !! " มาซายูกิพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และหญิงชราคนเดิมที่ก็เอาแต่ยิ้ม ๆ อย่างเศร้าๆ แต่ก็ยังจะดูเหมือนว่ามีแววตาที่เปี่ยมล้มไปด้วยความหวังให้กับ ไทระ มาซายูกิ

" เทือกเขา..อะไคชิซันยะคุ ! ที่...."

" พวกมัน..ก็ไม่สามารถที่จะรอดพ้นจาก "

" กระแสลมที่รุนแรงและแสดงแดดที่ยังคงแผดเผ่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน !" หญิงชรายังคอยยืนอยู่เคียงข้างและปลอบโยน

"หึ ๆ "มาซายูกิหัวเราะเบาๆ และชายตาหันออกไปมองรอบๆ ทั่วทั้งอะไคชิซันยะคุแห่งนี้

แต่ว่าหญิงชราก็กลับที่จะคอยหันกลับไปและยืนมองรอบ ๆ ห้องพักอยู่อย่างเงียบๆ และมิหนำซ้ำที่แววตาของพวกเธอตอนนี้ที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยความหวัง

" นากามุระ !! "

" เขายังคงรักษาห้องนี้ไว้ให้เป็นเหมือนเดิม...."

หญิงชราพูดถึงความหลังครั้งก่อนให้ฟังอีกครั้ง และหญิงชราที่ยังคอยหันกลับมาคอยยื่นมืออกกไปจับใบหน้าของมาซายูกิอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน มาซายูกิที่สัมผัสถึงความงดงามในอุ้งมือของหญิงชราที่เคยงดงามมากกว่านี้

" ขอโทษครับ !!

" ที่ทุกให้ทุก ๆ คนต้องลำบาก " มาซายูกิอ่อนน้อมต่อหญิงชรา

หญิงชรากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ แต่ไม่นานเท่าไหร่พวกเธอกลับได้ยินเสียงฝีเท้าย้ำหนักๆ และคิดว่าไม่นานก็คงจะเดินมาเปิดประตู

" ลืมเรื่องมารยาท ! กันไปหมดแล้วหรือยังไง !!! " เสียงทุ้มๆ ของผู้ชายชาวญี่ปุ่นราวๆ เกือบเจ็ดสิบปีที่สวมชุดยูกะตะสีกรมท่ายืนอยู่หน้าประตู

ชายชราที่มีผมอยู่เต็มศีรษะและเส้นผมที่ยังคงดกดำดีอยู่ และใบหน้ากว้างๆ ที่มีรอยตีนกาอยู่บนหน้าผากอย่างชัดเจน ปลายจมูกที่ทั้งบานและก็ทั่งใหญ่ และเขายังคอยจ้องแต่ที่จะเดินเข้าไปยืนจ้องตั้งแต่หัวจรดเท้าของไทระ มาซายูกิจนหางตาแทบไม่กระดิก

" ไปเจอฉันที่ห้องทำงาน !!! " คำสั่งที่ชัดถ้อยชัดคำของผู้ชายชราคนนั้นบอกกับทั้งมาซายากู และหญิงชราให้เชื่อฟัง และชายชราที่รีบย้ำเท้าหนักๆ รีบหันหลังเดินจากไป

มาซายูกิมีสีหน้ากังวลอยู่หน้าประตูฟุสุมาบานใหญ่ และเขาก็พยายามนึกคำพูดทักทายกันอยู่นานแต่ก็ยังไม่กล้าที่จะเปิดบานประตูบานนั้น แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเคาะประตูและเปิดประตูเข้าไปและพยายามก้าวเท้าเดินเข้าไปภายในห้องทำงานขนาดกลางๆ อย่างสำรวม

" ไม่ได้เจอกันนาน ! "

" สบายดีนะครับ "

" พ่อบุญธรรม !!! " มาซายูกิยืนคาราวะให้กับผู้ชายคนที่เพิ่งออกคำสั่งให้มาพบ และมือไม้ของมาซายูกิตอนนี้ที่เริ่มแทบจะเกร็งไปหมด

และชายชราที่ลุกขึ้นเดินกลับออกมาจากเก้าอี้ที่โต๊ะทำงาน และหันไปที่ชั้นวางหนังสือใกล้ๆ กับโต๊ะทำงาน

" ช่วงนี้ !! " เสียงตอบรับของผู้ชายคนที่เขาเรียกว่าพ่อบุญธรรมหันไปหยิบจับเอาแฟ้มเอกสารต่างๆ ออกมาจากชั้นหนังสือเก่าๆ ทีละเล่มๆ และก็หันกลับมาวางเอาไว้บนโต๊ะต่อหน้าต่อตาของไทระ

" ฉัน ! กับ แม่ของแก ! "

" ยุ่งกันจนหัวแทบจะระเบิด !! " พ่อบุญธรรมของเขาบอก แต่ว่าก็ยังไม่ยอมหันมามองและสบตากันอย่างตรงไปตรงมาระหว่างนี้

" ไหน !! แม่ของแก ! ยังจะต้องคอยดูแลโรงแรมเก่าๆ นี้ "

" แล้วไหนจะอู่ต่อเรือ ที่..ฟุกุโอะกะ !! "

" แล้วไหนจะเทือกสวนไร่นาที่วะกะยะมะ ! อีก !! " พ่อบุญธรรมที่บ่นเขา

และมาซายูกิที่ทำได้เพียงก้มหัวลงเล็กน้อย

" ผม ! ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องลำบากครับ !! " และยอมรับ

"หึ !!! " เสียงประชดประชันในลำคอของพ่อบุญธรรมที่พอจะเดาได้ว่า การประชดประชันนั้นไร้ซึ่งความหมาย

" แล้วเรื่องงาน...ที่ทำอยู่ !!! " และอดไม่ได้ที่จะถามไถ่เรื่องราวของลูกบุญธรรม

มาซายูกิที่ยังคอยยืนก้มหน้าเล็กน้อย แต่ว่าสายตาของเขาเองก็ยังไม่เคยห่างจากสีหน้าและท่าทางของพ่อบุญธรรมของตัวเอง

" ครับ !! " เขากระอักกระอวนนิดหน่อย

" คือว่า.... ช่วงนี้นะ !! "

" ฟูจิวาระ...."

ตุบ !!!

แฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งถูกทิ้งวางลงบนโต๊ะทำงานอย่างตั้งใจ !!!

" ทำไม !!!! " น้ำเสียงที่ไม่พอใจสุดๆ ดังสวนขึ้นมาทันทีจากคนตรงหน้า และดท่าทีที่ขึงขังหนักกว่าเดิมของคนที่อยู่ตรงหน้ามาซายูกิ

" หัดสนใจแต่เรื่องของตัวเองหน่อยไม่ได้หรือยังไง !! "

" ตอนนี้ !! "

" ฉัน ! กับ สึบากึ !!! "

" แม่ของแก !! "

" ไม่อยากที่จะต้องมารับรู้เรื่องของใคร ! อีกแล้วทั้งนั้น !!! " พ่อบุญธรรมปฏิเสธเขา

" ขอโทษครับ !!! " มาซายูกิกล่าวคำขอโทษ แต่ทว่าเนื้อตัวที่เร่ิมสั่นๆ และเสียงถอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ ที่มีแต่จะดังออกมาจากชายชราตรงหน้า

" ถ้าหากว่า...อดทนทำต่อไปไม่ไหว !! " พ่อบุญธรรมของเขาที่ยังต้องคอยมองกวาดสายตาไปรอบๆ แต่ครั้งนี้น้ำเสียงกลับฟังดูแล้วดูอ่อนโยนขึ้นกว่าเก่า

" ที่นี้ "

" ก็น่าที่จะมีอะไรๆ ให้ทำ "

" มากกว่าเอาชีวิตไปทิ้ง ! กับคนที่.... "

" เห็นแก่ตัวแบบนั้น !!! " และสุดท้ายก็กลายเป็นคำแนะนำกับเขาของพ่อบุญธรรม และแม้ว่าตอนนี้จะเห็นมาซายูกิยืนตัวสั่น ๆ อย่าวกับลูกเป็ดที่ยามต้องพลัดพลากจากอกพ่อ

" ผมทราบครับ ! " มาซายูกิที่ยังประคองสติและมารยาท

" เมื่อคืนแก !! ไม่ตายก็ดีถมปะไร!! " และน้ำเสียงประชดประชันของพ่อบุญธรรมมาซายูกิก็คอยแต่จะดังตามมาติด ๆ

มาซายูกิยังคงก้มหัวและยังไม่กล้าเงยหน้า และถึงแม้ว่าจะแอบเห็นว่าพ่อบุญธรรมกลับไปนั่งโต๊ะทำงานและก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

" ครับ "

" ถ้ายังไง !! "

" เจอกันมือเช้า !! "

" ราตรีสวัสดิ์ครับ ! พ่อบุญธรรม !!! " มาซายูกิบอกลา และค่อยๆ พยายามที่จะเดินก้าวเท้าออกไปอย่างแผ่วเบาและอย่างระมัดระวัง

" อะไรนะ !! "

" เธอ !! พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง !!! " เสียงตวาดของฮิ ซาโต้ที่กำลังดังออกออกมาจากห้องเก็บรวบรวบภาพอุกิโยะที่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของญี่ปุ่น และอิเลฟเวนท์ที่ยังอดทนยืนรอฟังเสียงตวาดของเขา

" ทำไม !! "

" ทำไม !! เธอถึงจะหมอบสร้อยไข่มุกเส้นนั้นให้กับพิพิธภัณฑ์ของญี่ปุ่น !! "

" ตอนนี้เลย.. ! ไม่ได้ !!! "

" ทำไม !! จะต้องรอจนถึงวันชาติของญี่ปุ่น !!! " น้ำเสียงที่แข็งกร้าวของซาโต้ด่ากราดอิเลฟเวนท์อยู่เรื่อยๆ

แต่ว่าอิเลฟเวนท์กลับเพิกเฉยกับคำด่าทอ

" พี่..ซาโต้ !!! " และเธอยังคอยใช้ภาษาที่นุ่มนวลของพวกเขาคอยเจรจา

" เหตุผลทั้งหมด !! "

" มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อีก ! " เธอบอก

"หึ !! " ซาโต้ที่คอยแต่จะสะบัดหน้าหนี

" ความคิดบ้า ๆ " และปฏิเสธเธอซ้ำไปซ้ำมา

แต่อิเลฟเวนท์ที่พยายามอย่างเหลือเกินที่จะเข้าหาก็เพื่อการเจรจา

" พีค่ะ ! " เธอพยายามที่จะสบตาด้วย แต่ซาโต้ก็แทบไม่อยากหันกลับมามอง

" หยุดพูดจา....ไร้สาระ !! " ซาโต้ยังคอยเบือนหน้าหนี และหันออกไปมองรอบๆ

" กับฉันสักที ! "

" ฟูจิวาระ !!! " และปฏิเสธกันซ้ำๆ

อิเลฟเวนท์ได้แต่ก้มหน้า

" ฉันไม่รู้ว่า....อะไร ! "

" ที่ทำให้....พี่ !! "

" โกรธฉัน ... ! "

" เพียงเพราะ....ฉันไม่ยอมที่จะตามหาดาบสำคัญเล่มนั้นกลับมาคืนให้ !! " เสียงสะอื้นเบาๆ ของอิเลฟเวนท์มันทำให้เธอต้องกล้ำกลืนเมื่ออยู่ต่อหน้าซาโต้

" แต่ว่าทำไม !! "

" พี่ !!! "

" ถึงไม่ยอมปล่อยให้อดีต....เป็นเพียงอดีต !!! " และสุดท้ายเธอที่พยายามจะตั้งคำถามเดิมๆ ต่อฮิ ซาโต้

ฮิ ซาโต้ที่รั้งคอยแต่จะแกล้งยืนทำเป็นหูทวนลม

" ฟูจิวาระ !!! " เสียงพูดอยู่่ในลำคอเวลาที่เรียกชื่อเธอของซาโต้

" เธอ...อย่าได้คิดว่า ! "

" คนไม่กี่คน !! "

" .....จะพากันเข้าข้างในสิ่งที่เธอเอง ! กำลังคิดว่า มันคือสิ่งที่ถูกต้อง !! "

แต่มาคราวนี้อิเลฟเวนท์กลับเป็นคนที่ฉีกยิ้ม

" เมื่อก่อน.... !! "

" เมื่อ 15 ปีก่อน ! "

" พี่ เคยเป็นคนที่อ่อนโยนและรักความถูกต้องมากกว่านี้ !! " จนเธอต้องเริ่มท้าวความหลังทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้อยากจะทำ

แต่แล้วกลับเป็นซาโต้ที่ยอมถอยห่างออกมาอีก และหลีกเลี่ยงคนอย่างเธอมาหยุดมองที่ภาพวาดอุกิโยะ ๆ โดยใช้แค่หมึกและพู่กันละเลงไปตามผืนผ้าไหมสีขาว ๆ จนกระทั่งกลายเป็นต้นเมเปิ้ลและน้ำตก !

แต่ทว่า....ต้นเมเปิ้ลกลับมีใบสีเขียวๆ ดกอยู่เต็มต้น และพวกมันยังคอยยืนต้นอ้างว้างอยู่อย่างโดดเดี่ยวอยู่ที่..ริมหน้าผาของน้ำตกขนาดสายย่อม ๆ

ชื่อ....ของคนวาดที่มีตัวอักษรภาษาจีนโบราณกำกับซีด ๆ จางๆ ไปตามบนผืนผ้าไหม ที่จนป่านนี้ก็กลับกลายเป็นสีขาวที่มีรอยด่างของราขึ้นมาให้เห็น และคนวาดภาพอุกิโยะภาพนี้

" มะรุยะมะ โอเคียว ! "

ซาโต้เอ่ยชื่อคนวาดภาพออกมาเบาๆ และทำหน้าตาเสียดาย และพอหันไปชำเลืองมองภาพวาดที่มุมขวาด้านล่างสุด และเป็นที่น่าเสียดายที่วันเดือนปีกลับเลือนหายไปจากภาพอย่างน่าเสียดายจริง ๆ

อิเลฟเวนท์เงยหน้ากลับขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั่น และจนกระทั่งเธอต้องยอมเป็นฝ่ายเดินตามซาโต้ดูบ้าง และเธอก็ยังเฝ้ามองซาโต้ที่ยังคงดูหลงใหลภาพอุกิโยะภาพนี้ที่ก็ดูไม่ต่างอะไรจากเธอที่เฝ้ามองมันด้วยความอาลัยอาวร

และจนกระทั่งซาโต้ต้องพลอยถอนหายใจซ้ำแล้วก็ซ้ำเล่าวนเวียนอยู่ต่อหน้าภาพอุกิโยะ

" Green Maple and Waterfall !! " ซาโต้อ่านเพียงชื่อภาษาอังกฤษที่เขียนกำกับไว้ใต้ภาพเพื่อบอกคนต่างชาติที่ผ่านไปผ่านมาให้ได้ทำความรู้จักกับวัฒนธรรมของพวกเขาที่นี้

" ถ้าไม่...อธิบาย ! เอาไว้แบบนี้ !!! "

" ....จะรู้ไหมว่า ! "

" ต้นเมเปิ้ล ! ต้นนี้...มันเป็นสีเขียว " และซาโต้ที่เอาแต่พร้ำเพ้อถึงพวกมัน

อิเลฟเวนท์ที่ยืนเฝ้ามองภาพอยู่ใกล้ๆ และแม้ว่าลึก ๆ ที่ยังคงใจหาย แต่เธอกลับไม่ยอมเชื่อในภาพ ๆ นั้นเลย

" บางที ! มันก็อาจที่จะเป็นไปได้ไหมว่า... ! " เธอสำรวจภาพอุกิโยะของอดีตศิลปินมีชื่อสมัยเอโดะของประเทศ

" ท่านโอเคียว ! "

" ท่านเองอาจจะอยากให้พวกเรา..."

" เห็นว่ามันไม่ใช้สีเขียวก็ได้ " และเธอก็ยังมองอย่างที่เธอเข้าใจ แต่กลับถูกซาโต้ยิ้มเยาะ

" ฟูจิวาระ ! " และซาโต้ที่รีบหันมาเถียง

" เธอ...อย่ามาริอาจ !!! "

"สอนให้ฉันรู้จักแยกแยะว่า...อันไหนถูก และอันไหน..คือสิ่งที่ผิด ! "

" หน่อยเลย !!! " ซาโต้ตาขวาง

อิเลฟเวนท์ฝืนใจผยักหน้า

" ฉันรู้ "

" และฉันก็รู้ดีว่า...สิ่งที่ฉัน ! "

" ได้ทำกับพี่เอาไว้เมื่อสิบห้าปีก่อนนั้นนะ ! " เธอที่บางเวลาต้องคอยเบือนหน้าหนีจาก ฮิ ซาโต้ อยู่ร่ำไป

" แต่ว่า..."

" ฉันก็ยังอยากที่จะพิสูจน์ให้พี่ได้เห็น ! " เธอยอมรับเรื่องเมื่อห้าปีก่อนว่า สุดท้ายทุก ๆ คนก็ยังคงที่จะต้องเดินตามเส้นทางของตัวเองที่เคยเลือกเอาไว้ของแต่ละคนอยู่แล้ว

ซาโต้ที่ได้แต่เงียบฟัง เพราะเรื่องราวเมื่อสิบห้าปีที่แล้วนอกจากตัวเองไม่เคยจะลืม และก็ไม่อาจจะโกรธเธอได้จริงๆ เหมือนกันในบางครั้ง

อิเลฟเวนท์ยอมถอยห่างซาโต้เพราะเรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อน และปล่อยให้เขาได้คิดทบทวนเรื่องที่เธอบอกกับพวกเขาทั้งหมดก่อนหน้านี และเธอตัดสินใจที่จะค่อยๆ เดินหนีออกมาจากพวกเขาจากที่แขวนภาพอุกิโยเหล่านั้น และปล่อยให้ชายที่เธอเคยเคารพนับถือในวัยเกือบจะสี่สิบได้รู้จัก การแยกแยะ !

การทำสิ่งถูก !!! และผิด !!!! ให้ได้ !!!

แต่ว่ามุรามาสะที่อยู่ ๆ ก็โผล่มายืนอยู่ตรงหน้าอิเลฟเวนท์พอดี และไม่มีวี่แววที่มุรามาสะจะยอมหลีกทางให้กันได้ง่ายๆ แม้ว่าจะอยู่ในขณะที่มีผู้คนเข้ามาชมงานศิลปะล้ำค่าของประเทศอยู่อย่างมากมาย

และแววตาของมุรามาสะที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ไร้เดียงสาที่คอยเฝ้ามองมาที่อิเลฟเวนท์อย่างไม่หยุดหย่อน

แต่ในทางกลับกันอิเลฟเวนท์กลับเป็นฝ่ายยอมเลี่ยงการเผชิญหน้ากับมุรามสะอีกคน และแม้ว่าจะรู้ดีว่าเธอไม่สามารถเดินจากพวกเขาไปได้อย่างง่ายดาย

" ฟูจิวาระ !!! " เสียงเค้นอยู่ในลำคอของมุรามาสะที่คอยแต่จะดังตามหลัง และแม้่ว่าเธอจะหยุดเดินช้าลงเพื่อรอฟัง

มุรามาสะที่เฝ้ามองตามหลังอิเลฟเวนท์ทุก ๆ ฝีก้าว และดวงตาแห่งความโกรธแค้น

" เธอเอง! ก็รู้ดีอยู่แล้วซินะว่า ! "

" เธอ !!! ไม่สามารถจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ได้ ! ด้วย...."

" ตัวของเธอ...เอง !! "

" เพียงลำพัง !!! " คำขู่ของมุรามาสะยังคงดังตามหลัง

อิเลฟเวนท์ที่ไม่แม้แต่หันหลังกลับมามองหน้าของมินาโมะโตะ มุรามาสะด้วยซ้ำไป และเธอก็เข้าใจในคำๆ นี้ของมุรามาสะอีกคน..