ครืด....ด !!!
เสียงเลื่อนประตูฟุสุมะทึบ ๆ ทางด้านทิศตะวันออกเพิ่งจะถูกเปิดกว้าง และเสียงฝีเท้าก้าวยาวและย้ำหนัก ๆ บนพื้นไม้หนาๆ ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าของห้อง ๆ หนึ่งที่ดูราว ๆ คล้ายกับจะเป็นสถานที่ที่เก็บของล้ำค้าโบราณเอาไว้ แต่ก็คงจะเป็นเพียงสิ่งของใช้สอยประจำตระกูลของพวกเขาเท่านั้น
ก็อย่างเช่น แจกันลายครามใบใหญ่ขนาดความสูงราวๆ หนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร ที่ๆ มีร่องรอยร้าวแตกยาวจากขอบปากด้านบนลงมาจนถึงตรงกลางของมัน แจกันลายครามใบใหญ่สีซีดจางๆ ของสีฟ้าคราม ที่วาดเรื่องราวของทัศนียภาพบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟมีชื่อของประเทศญี่ปุ่น
ถัดมาที่ตู้กระจกทางด้านหลังของแจกันลายคราม ตู้กระจกรูปแบบทันสมัยที่ ๆ ชั้นวางด้านในนั้นมี ชุดถ้วยอุปกรณ์ชงชาเครื่องลายครามญี่ปุ่น
เครื่องปั้นดินเผาฮากิยากิ เครื่องลายครามแบบดั่งเดิมของชาวญี่ปุ่น ที่ๆ มีรูปร่างลักษณะโดดเด่นเป็นพิเศษกาถ้วยชาสีขาวฟ้าซีดๆ แต่ก็ยังมีภาพเขียนสีแดงเป็นลวดลายของดอกสึบากิหลงเหลือติดอยู่
ถ้วยชาดินเผาฮากิยากิแตกลายงา แม้จะไม่ดูสวยราบเรียบเหมือนถ้วยชาที่ขึ้นรูปมาอย่างประณีต แต่ว่าถ้วยชาที่มีรูปร่างบิดเบี้ยวนิดๆ หน่อย ๆ ขอบถ้วยชาที่ไม่สม่ำเสมอก็พอที่จะเพิ่มอรรถรส
ชุดถ้วยชาและกาชงชาอีกหลายๆ อัน ที่ถูกนำมาจัดวางเรียงกันเอาไว้อย่างดี และถึงแม้ลวดลายของเครื่องปั้นดินเผาทั้งสีเหลือง สีแดง หรือแม้แต่สีชมพูและฟ้าจะค่อยๆ เลือนรางหายไป
และถัดมา..บริเวณตู้ไม้สีแดงๆ ที่มีลิ้นชักอยู่ประมาณแปดถึงสิบชั้น ตู้ไม้เก็บของที่ทำมาจากไม้ประเภทสนและยังทาทับด้วยสีแดงเป็นมันเงาขนาดราวๆ เกือบสองเมตร และด้านบนตู้ยังวางแจกันเครื่องปั้นดินเผาฮากิยากิไว้อีกเกือบราว ๆ เจ็ดถึงแปดใบ
และถัดมาอีกที่เป็นตู้กระจกที่อยู่ถัด ๆ กันมา ตู้กระจกขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก ๆ อีกราวๆ เกือบหกตู้ที่วางสูงอยู่บนหินขัดสีดำ และรูปทรงเดียวกันสูงจากพื้นราวๆ เกือบห้าสิบฟุต ด้านในของตู้กระจกก็ยังจะเก็บรวบรวมพัดญี่ปุ่นโบราณเอาไว้
พัดโบราณของชาวญี่ปุ่นตู้หนึ่ง ! ที่ดูคล้ายๆ กับเป็นพัดรูปขนนกกระเรียนมงกุฎแดงคู่หนึ่ง ที่วางพาดทับสลับกันตั้งอยู่
แต่พัดโบราณอีกตู้หนึ่ง.พัดโอกิ หรือว่า พัดที่ต้องคลี่ออกเวลานำมาใช้ ด้ามพัดน่าจะทำมาจากไม้ไผ่เหลาแบนขนาดครึ่งนิ้ว และมิหนำซ้ำพัดโอกิที่ยังคงวาดลวดลายของนกจำพวกกาชนิดหนึ่ง นกสองตัวที่เคยถูกวาดลวดลายลงไปในที่กระดาษสาที่เคยเป็นสีแดง
แต่ว่าพัดโอกิอีกตู้หนึ่งที่ๆ สีเดิมของกระดาษอาจจะเคยเป็นสีขาว แต่มาเนิ่นนานจวบจนถึงวันนี้อาจจะเป็นเพียงกระดาษที่ขึ้นราและมีจุดรอยด่างสีเหลืองๆ ขึ้นมาจนเปรอะใบพัด และพัดโอกิที่เคยเป็นสีขาวสุกสว่าง และพวกมันเคยมีร่องรอยของภาพวาดของภูเขาคะงุ หนึ่งในที่ราบสูงของยามาโตะ ภูเขาคะงุแห่งสรวงสวรรค์ในเมืองคาชิฮาระจังหวัดนารา..
และถ้าหากเหลียวหลังกลับไปมองที่บนฝาพนังทั้งหมด ศิลปะภาพเขียน " อุกิโยะ " ภาพศิลปะของโลกแห่งความล่องลอยไป ที่ๆ ยังจะมีให้มองเห็นกันอย่างดาษดื่น จนทั่วผืนพนังห้องของสะสมประจำตระกูลที่เก่าแก่ของทัตสึจิ มินาโมะโตะ
ก็อย่างเช่น ภาพเขียนอุกิโยะภาพหนึ่ง ๆ ที่แขวนติดอยู่ตรงกันข้ามกับพัดโอกิของภูเขาคะงุ ที่เขียนลงผืนผ้าฝ้ายสีขาวซีด ๆ มีรอยจุดสีเหลืองๆ แต่ก็ยังพอคงเห็นเค้าลางของลายเส้นของนักวาดฝีมือดี
และยังเป็นภาพอุกิโยะพร่ำเพ้อถึงความงาม... ของหญิงสาวงามในชุดคลุมกิโมโนสีชมพูอ่อนปักลายของดอกคิเคียว ดอกไม้รูปดาวห้าแฉกสีม่วง...
ที่...หล่อนเจ้ายังคงนั่งบรรเลงพิณโกโตะสิบสามสายอยู่ใต้ต้น...ฟูจิ โนะ ฮานะ !
หล่อนเจ้า...ที่ถูกคลุมเรือนร่างที่งดงามในชุดกิโมโนสีชมพูอ่อน ปักดอกไม้ที่เป็นรูปดาวสีม่วงเฉกเช่น ดอกคิเคียว...หล่อนเจ้าที่มีรูปโครงหน้าขาวสะอาด... บริสุทธิ์ประดุจเจ้าหญิงในเดือนเพ็ญเดือนสิบสอง..
จมูกสีแดง....ของเจ้าหล่อน ! ดูชวนเย้ายวนให้หลงรัก.....ขนตาดั่งใบของดอกหญ้าโนโคงิริโช.....หล่อนผู้ไม่ยอมแพ้ในการต่อสู้....เพื่อ...บุรุษที่หมายปอง !!!
ปลายนิ้วที่ยาวแต่ราวดูอวบอิ่ม.....พัดปลิวโบกสะบัดไปตามสายโกโตะอย่างเร้าร้อน....ชวนให้นึกถึงคืนวันอัน.... เหน็บหนาว.....และ รักที่ทรมาน....
แต่พอครั้น ! ได้เห็นหน้า...สบตาของหล่อนเจ้า ....ดวงตาที่ยังคงมุ่งมั่นมั่นคง...แต่แฝงไว้ด้วยความริษยาน้อย ๆ ก็กลับต้องชวนให้หันมาคำนึกถึงความในใจของ....หล่อนเจ้า...อย่าง...แยบยลชื่นชม !
และภาพวาดอุกิโยะภาพๆ หนึ่งที่ถัดขึ้นมาตรงข้างหน้า..... !
ภาพของสาวเจ้าอายุไร้เดียงสา.....คอยยืนกางร่มกระดาษสาสีแดงกำลังรอใครบางคน....ที่ปลายสะพานไม้ฝั่งหนึ่ง.....สาวเจ้าอายุยังน้อยเยาว์วัยนัก....แต่แววตากลับร่ำไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนักหนา...จนคราบหยดน้ำตาไหลนองหน้าเปรอะเปื้อนไปจนถึงชุดยูกะตะจนกลายเป็นสีฟ้าหมอง.....
ร่มกระดาษสาสีแดงเลือดนก....มิอาจบดบังใบหน้าที่สะอื้นไห้.....เส้นผมปรกเรี่ยราดไปตามชุดยูกะตะที่ตากหิมะไม่แห้งดี....
ใบหน้าน้อย ๆ แววตาดวงกลมโตสุกสว่าง.....ที่ต้องหม่นหมอง....ริมฝีปากสีทับทิม....กลายเป็นสีช้ำ....จมูกบอบบาง...ที่ยังต้องพยายามสูดลมหายใจอยู่ต่อ...
...เพราะคนรักที่พรากจากไกลแสนไกลในโลกนี้.....มิอาจหวนคืนความสุขสมหวัง.....
สะพานไม้ที่น่าจะกำลังดูเหมือนเพิ่งถูกสร้างเสร็จมาหมาด ๆ ที่...ทอดข้ามฝั่งแม่น้ำมินะ.....ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะเปลี่ยนฤดูกาล....ผันเปลี่ยน.....
ท้องฟ้า....และ.. เทือกเขาทั้งสามลูกที่ไม่เป็นใจนัก.....แสงอุทัยที่ยังต้องถูกบดบัง ! เพราะความเศร้าหมองของสาวเจ้า....
.....ต้น และ ดอกซากุระที่ยังคงร่วงโรยลงอย่างไร้จุดหมายปลายทาง.....
และรวมถึงภาพอุกิโยะภาพอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นถึง ชีวิตและวีถีชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นสมัยก่อน ๆ ภาพอุกิโยะภาพ ๆ หนึ่งที่แสดงภาพวาดของบุรุษนิรนาม....ที่สวมชุดเกราะสีแดงขี้ม้าควบอยู่กลางขุนเขา...ทั้งสาม !!!!
ภาพอุกิโยะอีกหลายต่อหลายภาพ.ที่สื่อถึงการปรารถนาในศึกสงครามที่ทรหดอดทน โดยมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้และต้านทาน...
ภาพอุกิโยะอีกหลายต่อหลายภาพบนฉากกั้นบานพับโบราณบนผืนผ้าฝ้าย ผ้าป่านปอ ผ้าไหมเนื้อดี สีขาวขุ่นบ้าง สีแดงช้ำบ้าง สีชมพูซีดบ้างที่ยังคงมีให้เห็นอีกหลายสิบ
ภาพวาดอุกิโยะ....ที่สื่อถึงวิถีชีวิตของเหล่านักรบ.....บูชิโด !!!
และกับอีกสองสิ่งที่น่าสนใจในห้องๆ นี้ตู้กระจกสี่เหลี่ยมผืนผ้าราว ๆ ถึง 3 ตู้ ที่ถูกวางเรียงรายไว้ข้างๆ กับชุดเกราะซามูไรสีแดง!!!!
ชุดเกราะซามูไรสีแดงที่แต่งอกทรงเครื่องอยู่ในตู้กระจกขนาดราวๆ สองเมตรและกว้างประมาณเมตรครึ่งใบใหญ่...
และทางขวาตู้กระจกสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงฝั่งซ้ายของตู้เก็บชุดเกราะซามูไรสีแดง ตู้กระจกขนาดราวๆ ครึ่งเมตรที่เหมือนถูกเสกวางให้ล่องลอยเหนือพื้น
" มอญ.." หรือว่าก็คือ ตราประทับประจำตระกูลมินาโมะโตะของเก่าแท้ดั่งเดิม 3 อัน และมันก็คือตราประทับประจำตระกูลมินาโมะโตะ คือ ใบฮอลลี่ฮอก !!
ใบ ! ที่มีลักษณะเป็นรูปไข่แฉกลึกเป็นพูห้าใบ ปลายใบเว้าคล้ายติ่งหูขอบใบเป็นแฉก และด้านบนของใบฮอลลี่ฮอกก็ยังมี ดอกคิเคียว ดอกไม้รูปดาวห้าแฉกอีกจำนวนสามดอก
ตราประทับประจำตระกูลมินาโมะโตะอันหนึ่ง..ตรงกลาง ! ทำจากไม้ของต้นโพธิ์ขนาดประมาณเส้นรอบวงห้านิ้ว แม้สีของมอญอันนี้จะดูเก่าจนดูเป็นเหมือนไม้แห้งที่ขึ้นสนิม
แต่ก็ยังคงดูสวยงามและเต็มไปด้วยความขลังของจิตวิญญาณ.....ของ บรรพบุรุษผู้กล้าแกร่ง
ตราประจำตระกูลมินาโมะโตะอีกอันหนึ่ง..ทางซ้ายที่ ๆ ทำมาจากสำริดผสมดีบุกเนื้อดีขนาดที่เท่ากัน และสีสดๆ ที่ดูสุกสว่างเปล่งประกาย เมื่อเวลากระทบกับสายตาทันที...
ตราประจำตระกูลมินาโมะโตะอันสุดท้าย...ทางขวาที่ ๆ รอยแยกตรงกลางของตราประทับที่เคยถูกทำลายจนแตกกลายเป็นสองท่อนมาก่อน...
ตราประจำตระกูลมินาโมะโตะอันสุดท้าย.. ที่ทำมาจากทองแดงผสมดีบุกสีดำทะมึนแทบไม่ทิ้งร่องลอยเหลือไว้
และตู้กระจกสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ยังคงเหมือนพยายามที่จะล่องลอยตรงฝั่งซ้ายมือถัดไปอีก ภายในบรรจุดาบสั้นแท้ของญี่ปุ่น และก็ดาบสั้นที่ฝาครอบด้ามจับขึ้นสนิมหนาๆ ขนาดความยาวไม่น่าจะถึงห้าสิบเซนติเมตร และอาจจะขาดอีกสองถึงสามเซนติเมตรหน่อยๆ
ด้ามสั้นที่เรียกขานกันอย่างเดิมๆ ว่า....." ดาบวากิซากิ " !
ดาบวากิซากิที่มีที่มาที่ไป....ดาบที่มีเอาไว้ใช้สำหรับการฆ่าตัวตาย ดาบสั้น ! ที่สำหรับเอาไว้คว้านท้องฆ่าตัวตาย
หรือ ดาบสั้น...เซ็ปปุกุ !!!!
ดาบวากิซากิที่ฝักดาบมีการใช้แผ่นทองคำตีประดับที่ฝักเอาไว้ แผ่นทองคำที่มีลวดลายของเกล็ดนกฟินิกส์จางหายไปบ้างบางส่วน
และที่ด้ามดาบสั้นของวากิซากิ ศิลปะการพันด้ามดาบที่ยังพอให้เห็นได้ชัดเจน เชือกพันฝักดาบสีแดงคล้ายกับเลือดนกฟินิกส์ซะเหลือเกิน...
เชือกอิโต้..ที่พันด้ามดาบสลับไขว้กันไปมาคล้ายผู้หญิงไว้ผมทักเปีย !
และตู้กระจก..ที่ๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะล่องลอยเหนือพื้นได้ตู้สุดท้าย.. ขวามือ ของ ซามูไรนักรบชุดเกราะแดง !!!!
" นิฮองโดะ " !! ดาบญี่ปุ่น ดาบของนักรบโบราณ
ตู้สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีขนาดยาวราวๆ ประมาณเกือบๆ หนึ่งเมตร ตู้เก็บดาบของนักรบและนักรักชุดเกราะชุดสีแดงที่มีหมวกประดับเขากวางอันโดดเด่น....
ดาบของนักรบและนักรักของนักรบโบราณ ดาบที่มีชื่อว่า.... ดาบคันทาชิ !!!
แสงสว่างวูบวาบของดาบคันทาชิ ขนาดยาวราวๆ เกือบเก้าสิบเซนติเมตร ดาบญี่ปุ่นเล่มนี้ที่ยังทรงเครื่องประดับที่ฝักเมื่อยามต้องแสงไฟหรี่ ๆ ในห้องเก็บของเก่าแก่โบราณ
เครื่องทรงประดับของดาบคันทาชิ....ที่ตีด้วยแผ่นเงินและแผ่นทองหุ้มเอาไว้ทั้งที่ฝักและที่ด้ามของดาบ และแผ่นทองคำที่ถูกตีขึ้นรูปของ....เกล็ด !!!
กระบังมือของดาบคันทาชิ หรือ สึบะ....! ที่ตีแผ่นดีบุกขึ้นเป็นรูปของหัวนกฟินิกซ์ ประดับด้วยอัญมณี อย่าง ทับทิม เอาไว้ที่ดวงตาข้างหนึ่ง
แต่ทว่า.....ดวงตาข้างซ้ายกลับมืดบอด !!!
ทัตสึจิ มินาโมะโตะกำลังก้าวเท้าเดินออกมาจากหลังชุดเกราะนักรบโบราณสีแดง
" อาหารค่ำมื้อนี้ !! "
" คงจะไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไหร่ ใช่หรือเปล่า. "
" ฟูจิวาระ !!! " ทัตสึจิค่อย ๆ ย่างก้าวออกมาจากหลังหุ่นสวมชุดเกราะนักรบเสื้อแดง และก็เข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของอิเลฟเวนท์ หรือว่าตอนนี้เป็นฟูจิวาระซัง
และเธอที่ยังเดินเข้ามาหยุดอยู่ภายในห้องและคอยยืนจ้องมองไปที่ดาบญี่ปุ่นเล่นนั้น ว่าแต่ว่าทัตสึจิที่ก็ยังจะคอยเดินเข้ามาหาและคอยตั้งคำถาม
" นึกว่า ! "
" จะได้เห็นเธอใส่ชุดกิโมโนสวยๆ "
" หรือไม่ก็ชุดยูกะตะ "
" ซะอีก !! " ทัตสึจิคอยแอบยืนมองทีกางเกงฮากาม่า หรือกางเกงทรงขากระบอกว้างๆ คล้ายกับกระโปรงของเธอ และก็เสื้อกีของอิเลฟเวนท์หรือฟุจิวาระที่สวมใส่พวกมันอยู่
และอิเลฟเวนท์ที่สวมเสื้อคลุมตัวยาว ๆ สีขาวๆ ที่ชายเสื้อถูกเหน็บเอาไว้ข้างในกางเกงฮากาม่าสีกรมท่าอย่าวลวกๆ แต่ว่าเธอที่ก็อดไม่ได้ที่จะมองเงาของตัวเองในตู้กระจกที่เก็บชุดเกราะของนักรบชาวญี่ปุ่นตรงหน้าของเธอกับทัตสึจิ ซึ่งกระจกก็ยังจะคอยสะท้อนให้เห็นตัวตนของเธอ และผมยาว ๆ ของพวกเธอที่ตอนนี้ได้ถูกมัดรวบอย่างหลวมๆ เอาไว้ที่ท้ายทอย และก็ชุดเสื้อผ้าที่ทัตสึจิกำลังเอาแต่พูดถึงมัน
" มันก็น่าแปลกที่...." และมิหนำซ้ำเธอยังคงมีสีหน้าครุ่นคิด
" ฉันยังคงจำวิธีการผูกโอบิที่สวย ๆ "
"กับ วิธี....การสวมชุดกิโมโน "
" ได้ไม่เคยขึ้นใจ !!! " เธอค่อยยิ้ม ๆ ออกมา และในระหว่างนั้นก็ยังต้องคอยหันออกไปมองที่รอบๆ
ทัตสึจิพยายามที่จะเหลียวมองตาม และเขาที่เห็นเพียงฟูจิวาระที่กำลังจะเดินแวะเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าระหว่างภาพอุกิโยะ และเห็นแค่เธอเงยหน้ามองภาพของหญิงสาวพราวเสน่ห์ที่กำลังเล่นเครื่องสายอย่างพิณโกโตะ
แต่ทว่าเขาที่ก็ยังคงคอยจ้องมองตามฟูจิวาระไปไม่ให้ห่าง
" บทเพลง....ของเธอ ! "
" ช่าง.. เพลิดเพลิน !!! " เขาที่กำลังมองและจินตนาการไปเรื่อย
เธอยิ้มๆ ที่มุมปาก
" ใคร ๆ ก็เคยพากันพูดเอาไว้แบบนั้น !!! " และใจหนึ่งก็ไม่เห็นด้วย
"หึ ๆ " ทัตสึจิที่กำลังแอบหัวเราะออกมาเบา ๆ
" ช่างน่าอิจฉา เธอจริงๆ " และก็แค่มองและแสดงความรู้สึกต่อภาพเขียน
แต่ว่าตอนที่พวกเขาหันกลับไปมองที่เด็กผู้หญิงสาวสายรูปร่างสะโอดสะองน่าหลงใหล แต่ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องกลับออกมายืนรอคนรัก ที่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับคืนมาสู้อ้อมอกของตัวเองอีกเมื่อไหร่ !
"หืม.... " เสียงถอนหายใจยาวๆ ของทัตสึจิกลับทยอยดังขึ้นมา
" ฟูจิวาระ ! " แล้วเขาก็ยังคอยสังเกตุแววตาของเธอ
" คนนั้น...นะ !!! "
" กลับมาแล้ว..."
" ...สินะ !! " และเพราะความอยากรู้อยากเห็นของเขาที่หันไปถาม
เธอที่ยังคงไม่กล้าหันมาสบตากันทันที และแววตาที่ดูค่อนข้างเศร้า
" ถ้าจะให้นับจนถึงตอนนี้.. " เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วลงไป
" ห้าร้อย....กับอีก "
" ยี่สิบสองปีพอดิบพอดี " เธอตอบและยังต้องเก็บกักอะไรบางอย่างเอาไว้ในลำคอ
ทัตสึจิเท่าๆ ที่ได้ยินคำตอบก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะแปลกใจอะไรเลยสักนิด
" มิน่า ! " และยังต้องคอยผงกหัวขึ้นลงเบาๆ
" แล้ว.เธอ "
" คิดที่จะทำเรื่องนี้ ยังไงต่อไปดี ! " ทัตสึจิก็แค่อยากจะถาม
แต่เธอที่คอยแต่จะยืนมองดูรูปวาดของด็กผู้หญิงสาวกางร่มคนนั้นอยู่แทบที่จะตลอดเวลา และแม้ว่าบางครั้งต้องคอยหลบสายตาของทัตสิจิไปพลางๆ ด้วย
ทัตสึจิที่พอเห็นแบบนี้แล้วจนพอที่จะเข้าใจได้อย่างหนึ่งว่า เวลานี้สายตาและแววตาของเธอยังคงเกลียดการรอคอยนั้นอยู่ดี
" มันคงเป็นไปไม่ได้ !! "
" มันคงจะต้อง !! เป็นเหมือนเดิมอีก !!! "
" แต่ถึงยังไง "
" คนทุกคนก็ยังจะต้องใช้ชีวิตที่อดทนกันต่อไป !! " ทัตสึจิให้กำลังใจกันและกัน
และเธอก็ตัดใจและยอมถอยห่างกลับออกมาจากภาพวาดของเด็กสาวที่ยืนถือร่มออกมา และยืนจ้องไปที่ดาบวากิซากิ ที่ๆ มันยังคงถูกเก็บอยู่อย่างโดดเดียวภายในตู้กระจกที่ราวกลับจะลอยได้
และเธอก็มองมันด้วยความเจ็บปวดอย่างอดเสียไม่ได้ และแม้ว่าการได้มองของเขาเก่าๆ ที่ผ่านพ้นอดีตมาแสนยาวนานที่ถูกกักขังเอาไว้ในดาบวากิซากิเล่มนี้
" ตอนนี้.....ฉัน " แต่ทว่าจนแล้วจนรอดน้ำเสียงของเธอเองที่ยังไงๆ ก็ยังคงฟังดูอ่อนแอลงไปมากไปทุกที ๆ
" ก็ ยังเป็นเหมือนคนที่...."
" พยายามจะเอาหินที่หนัก ! "
" มาคอยกดทับที่หัวใจเอาไว้ !!! " เธอที่ต้องคอยพยายามบอกเล่าความจริงภายในใจ ในขณะที่ตัวเองยังต้องคอยหลบสายตาของทัตสึจิไปด้วย
เพราะว่าเธอก็แค่ไม่อยากให้คนที่สำคัญมากที่สุด และทำให้พวกเขาต้องมาทนแบกรับภาระของตัวเองเอาไว้ด้วยกันไปทุก ๆ คน
แต่ทว่าที่ในที่สุดคำพูดของเธอเองก็กลับกลายเป็นคำพูดที่ดูไม่มั่นอกมั่นใจอะไรขึ้นมาว่า !
" เพราะกลัวว่า... "
" หัวใจ !!! "
" จะถลา...."
" เข้าไปซบที่อกของเขา !!! "
" ง่ายดายเกินไป ! " เธอเริ่มเสียงสั่นๆ มากขึ้นทุกทีๆ
ในขณะที่ยังเห็นแต่หน้าของคน ๆ นั้นสลับกันไปมาในความสัมพันธ์ในอดีตที่ยาวนาน และอีกทั้งความสัมพันธ์ในอดีตชาติ กับ ปัจจุบันที่มันยังไปไม่ถึงไหนระหว่างเธอกับเขา
" มันคงจะต้อง !!! "
" กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้วจริง ๆ " เธอเสียงสั่นจนแทบจะกลายเป็นเสียงสะอื้น แต่เพราะเธอพยายามที่จะอดทนกลั้นมันเอาไว้ก่อนก็เท่านั้น
เพราะไม่ว่าเธอจะคิดเท่าไหร่ เวลานี้เธอเองที่ยังคงเป็น อีเลฟเวนท์ !!! หรือไม่ก็...ฟูจิวาระซังแต่ว่า...ฮัน ยูซอง คนๆ นั้นก็คงไม่มีวันที่จะจดจำเธอได้อย่างขึ้นใจ เหมือนอย่าง.....หัวใจของเธอเองที่กำลังรั้งแต่ที่จะคอยเจ็บปวดอย่างทรมาน !!!
เวลาที่เธอยังต้องมองเห็น ฮัน ยูซอง !!! ยืนอยู่ตรงหน้า !!! แต่ว่า.....ตัวของเธอเองนั้นก็กลับไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้เลย.....
ความรู้สึกของ...เธอเองในเวลานี้... ! มัน...บาดลึกและเจ็บยิ่งกว่า !!!! เอา....หินทั้งภูเขามาคอยกดทับลงไปที่กลางหน้าอกของเธอเองซะอีก...
แต่ถึงยังไงๆ ในตอนนี้.เธอเองต้องคอยจำเป็นที่จะมองคน ๆ นั้น อย่างคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยสักสิบชาติแบบนั้น
และมันก็ยังคงเป็นอะไรที่แย่ยิ่งกว่า !!!! ถูกปลายแหลมคมของดาบคันทาชิ.... !!! คอยเข้ามาแซะ !!! และเฉือนเนื้อทั่วร่างกายอยู่ทุกค่ำคืนวัน....
เธอเอง...ที่ยังคงทุกข์ทรมานซะยิ่งกว่า ! ที่ว่ามาทั้งหมดนั่นซะอีก !!!!!
ทัตสึจิที่ตัดสินใจถอยห่างฟูจิวาระที่กำลังพยายามขจัดความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ตรงหน้า และยังเดินไปตรงที่มุมห้องที่มีบานประตูฟุสุมะวาดลวดลายภูเขาสามลูกที่เชื่อมต่อกันเป็นสัญลักษณ์สามเหลี่ยม
หรือก็ที่เรียกกันภาษาของชาวญี่ปุ่นว่า ภูเขาคะงุ หนึ่ง.ในที่ราบสูงยามะโตะ ทั้งภูเขาอุเนะบิ ทั้งภูเขามิมินะชิ และทั้งภูเขาคะงุในเมืองคาชิฮาระ. เพราะคนญี่ปุ่นเคยเชื่อว่า ที่แห่งนี้เคยเป็นดินแดนที่เทพเจ้าสร้างขึ้น เพราะถ้าหากขีดเส้นไปตามรอยของภูเขาทั้งสามก็จะกลายเป็น "ภูเขาสามเหลี่ยม " !
" ภูเขา..คะงุ ดินแดนแห่งสวรรค์ "
ทัตสึจิเลื่อนบานประตูให้เปิดกว้าง และรอคอยให้อิเลฟเวนท์ได้เดินทางสะดวกเข้ามาภายในห้องหนังสือของตัวเอง
และเธอก็เดินตามเข้าไปในห้องหนังสือประจำตระกูลเก่าแก่ของทัตสึจิ และเธอก็ยังคอยหันไปมองรอบ ๆ บนชั้นวางหนังสือพวกนั้นและมีตำราภาษาจีนที่เก่าๆ มีทั้ง ตำราภาษาต่างๆ ที่น่าสนใจคอยวางจัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบเอาไว้ที่ตู้ชั้นวางหนังสือที่ทันสมัย
ทัตสึจิคอยเดินเข้าไปจด ๆ จ้อง ๆ บนชั้นวางหนังสือ และเขาที่เลือกสรรหยิบวรรณกรรมล้ำค่าเล่มเก่า ๆ กลับออกมาและเปิดอ่านพวกมันผ่าน ๆ
"บทกลอนของ...."
"ฟูจิวาระ โนะ ซะดะอิเอะ !!! " ทัตสึจิที่เพียงอ่านชื่อของหนังสือ และพอตอนที่หันไปมองที่เธออีกครั้ง
แต่ว่าเธอที่กำลังเดินเข้าไปโต๊ะเขียนหนังสือในแบบฉบับของญี่ปุ่น โต๊ะไม้เตี้ย ๆ ที่มีเบาะนั่งสีน้ำเงินของเจ้าของวางไว้บนเสื่อทาทามิ
เธอนั่งลงประหนึ่งว่าเป็นเจ้าของ และมิหนำซ้ำยังคอยกวาดสายตาไปทั่วทั้งโต๊ะของมินาโมะโตะที่มีกระดาษขาวๆ วางเตรียมเอาไว้อย่างดิบดี และก็หนังสือตำราบทกลอนเก่าๆ สองสามเล่ม
" บทกลอนที่...."
" ห่างหายจากความทรงจำ ! "
" ไปนานแล้ว !! " เธอกำลังทบทวนความทรงจำให้ฟัง และยังจะหยิบเอาหนังสือตรงหน้าคอยเปิดอ่านด้วยพลางๆ และพวกม้นยังเป็นหนังสือกาพย์กลอนญี่ปุ่นในยุคใหม่ร่วมสมัย และสมุดธรรมดาๆ ที่ดูเหมือนจะมีลายมือของทัตสึจิเขียนเอาไว้
" ไม่นึกว่า..."
" ทัตสึจิ ! "
" คุณ..จะยังคงสนใจหัดเขียนบทกลอนพวกนี้อยู่อีก !! "เธอกำลังสนใจสมุดหัดเขียนกาพย์กลอนของพวกเขา
ทัตสิจแอบยิ้มก็ด้วยความประหม่า แต่ทว่าก็ยังต้องยอมเดินอ้อมและกลับมานั่งลงทิศฝั่งตรงกันข้ามโต๊ะเขียนหนังสือทั้งๆ ที่มันเป็นโต๊ะของตัวเอง และเขาก็เลยช่วยหยิบหนังสือเล่มนั้นกลับมานั่งลงบนเบาะสีน้ำเงินฝั่งตรงกันข้าม
" ดูเหมือนว่า...จนถึงตอนนี้ ! "
" เกือบๆ จะสามสิบห้าปีเข้าไปแล้วที่..."
" ฉันที่ยังคงแต่งบทกลอนพวกนี้ไม่เคยจะได้เรื่อง !! " คำบอกเล่าของทัตสึจิฟังเหมือนคำรับสารภาพ
จนกระทั่งเธอเห็นทัตสึจิเอาหนังสือกลอนโบรารณขนานแท้ และทัตสึจิที่ยังเอาพวกมันมาวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า และขอบกระดาษเก่าๆ ที่ผ่านการใช้อายุมาจนถึงแปดร้อยปี แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นของเก่าแท้
แต่ว่าเธอยังสนใจเพียงคอยนั่งอ่านหนังสือบทกลอนร่วมสมัยกันไปพลางๆ บทกลอน ของนักกวีชาวญี่ปุ่นสมัยใหม่ที่หันมาใช้ตัวอักษรคันจิ ฮิรางะนะ กับ ตัวอักษรแบบคะตะกะนะกันแล้ว
" น้ำเย็นใสสะอาด ...และ "
".....หิ่งห้อยที่อันตรธานหายไป !"
" .....มีอยู่เพียงแค่นี้ !!! " เธออ่านจบจนต้องหันมาอมยิ้ม
" นั่นสินะ !! " และรอยยิ้มที่แสนจะเบาบางของเธอถึงขนาดที่จะทำให้คนข้างๆ เผลอยิ้มตาม
" ฟูจิวาระ !! " คำพูดที่เรียกเธอย่างถนัดปากของทัตสึจิ
" แล้วถ้าหาก...เป็นตัวเธอในเวลานี้ " และทัตสึจิเพียงต้องอยากจะรู้เรื่องบางเรื่องจริงๆ ของเธอก็เท่านั้น
แต่เธอที่ทำคล้ายราวกับไม่สนใจกับข้อสงสัยของทัตสึจิเลยด้วยซ้ำไป เพราะแค่เพียงสัมผัสบทกลอนเก่าแก่พวกนั้น และพวกมันที่พลอยทำให้เธอต้องคอยกลับมาย้อนเห็นภาพอดีตที่แสนยาวนานอยู่เต็มไปทั่วทั้งห้องหนังสือ และแววตาของเธอเองที่ยังคงเจ็บปวดแต่เรื่องเก่าๆ
" ไม่รู้สินะคะ !!! " เธอไม่ได้ที่จะปฏิเสธ แต่เพียงอยากจะไตร่ตรองให้ดีก่อนและถึงบอกกับพวกเขา
ทัตสึจิที่ทำได้เพียงปล่อยผ่านและหันกลับมาเปิดบทกลอนฉบับอายุแปดร้อยปีให้ฟังด้วยกันไปพลาง...อย่างเช่นว่า !
" ที่..แห่งนี้ คือ ด่านโอซากะ "
"ที่ซึ่ง....ทั้งคนที่ออกเดินทางไปและคนที่กลับมา "
" ทั้ง...คนที่รู้จัก และคนที่ไม่รู้จัก.. "
พรากจากกันไป และ กลับมาพบกันใหม่....."