"ถึงวิธีนี้จะดีแต่อัตราการเสียชีวิตน่าจะสูง"ทางร้อยสามเสาหลักซุบซิบกันเสร็จก็เอ่ยประโยคนี้ออกมา หลงจือหยางยกยิ้มมุมปากเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ
"ผมกับเยว่ชิงจะเข้าไปด้วยทุกครั้งโดยที่เราสองคนจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ ยกเว้นในกรณีที่คนตกอยู่ในอันตราย"หลงจือหยางพูดขึ้น ถึงแม้หลายๆ คนจะกังขาแต่พวกเขาย่อมรู้ดีว่าคู่รักคู่นี้ทรงพลังขนาดไหน อีกอย่างคนอย่างหลงจือหยางไม่มีทางผิดคำพูดเป็นแน่
คนคลั่งรักเมียก็ร้องเหอะออกมา ถ้าไม่มีภารกิจหอคอยของเยว่ชิงละก็ เขาคงไม่ต้องตามพวกนี้ไปด้วย เพราะยังไงต่อให้เยว่ชิงไม่ได้ลงมือเคลียร์หอคอยด้วยตัวเองก็ตามก็ยังได้คะแนนอยู่ดี ภารกิจก็แค่เร่งให้เคลียร์แต่ละชั้นเร็วขึ้นเท่านั้น
หลงจือหยางเลยเอาหลายๆ เรื่องมายำรวมกันเป็นเรื่องเดียว เมียต้องการคะแนนตามที่ระบบบอก เร่งระยะเวลาของหอคอยชั้นบนสุด เร่งคนในเงามืดให้ออกมา
ก็นะ...ปกติของคนฉลาด
"ดวงไม่ดีเท่าไหร่"เยว่ชิงก้าวเท้าเข้าดันเจี้ยนพร้อมกลุ่มของเสวียนอวี้ได้แต่บ่นอุบอิบ เมื่อบรรยากาศด้านในถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกสีเทาดำ ต้นไม้สีดำแห้งยืนต้น บนพื้นเต็มไปด้วยรอยแตกของดิน
"แค่กๆ เห็นแล้วแพ้ฝุ่น"สตรีที่เข้าร่วมกลุ่มได้เอ่ยขึ้น ภาพตรงหน้ามันสร้างความหดหู่แล้วยังมีความวังเวงอีกด้วย
"ไปกันเถอะ"เสวียนอวี้เดินนำเข้าไปทางด้านใน เยว่ชิงมองต้นไม้แห้งเหล่านั้น พวกมันยืนต้นตายราวกับถูกสูบพลังชีวิตออกไป เจ้าตัวมีหูกับหางโผล่ออกมาเพื่อเฝ้าระวัง แต่ละคนกระชับจิตวิญญาณตัวเองพร้อมต่อสู้ ไม่มีใครกล้าประมาทแม้แต่น้อยยามเข้าสู่สนามรบ
"แปลกจัง"จิวอิงพึมพำเบาๆ ปลาตัวสีดำที่ลอยอยู่ข้างๆ ส่ายหัวไม่สามารถจับสัญญาณใดๆ ได้ภายในดันเจี้ยนแห่งนี้ กลุ่มของพวกเขาเดินกันนานกว่าสิบนาทีทำให้บางคนรู้สึกอ่อนล้าจนจะก้าวขาไม่ไหว
"ใครมีจิตวิญญาณเป็นของมีคม ทำสัญลักษณ์ไว้ที่ต้นไม้ มาดูกันว่าเราเดินวนหรือเป็นทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด"เยว่ชิงบอกตามความเข้าใจของตัวเอง คนในกลุ่มไม่มีใครคัดค้าน แต่ละคนเลือกต้นไม้แต่ละต้นแล้วเริ่มลงมือไปตลอดเส้นทาง
"พี่ครับ"จิวอิงเดินข้างๆ เยว่ชิงเอ่ยเรียก เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นอย่างกังวลจากนั้นก็แบมือให้เห็นปลาสีดำส่ายหน้า
"ไม่เป็นไร ถ้าคาดการณ์ไม่ผิดที่นี่น่าจะเป็นดันเจี้ยนพ่อมดแห่งความตาย"ตามความทรงจำในเรื่องที่พิเศษ อย่างที่รู้กันดีว่าเทพจิ้งจอกไม่ได้อยู่ในตำหนักแต่ออกเที่ยวเล่นไปทั่วทุกภิภพ
"พ่อมดแห่งความตาย"เสวียนอวี้เอ่ยย้ำก่อนจะก้มมองมือตัวเองที่ถือเคียวยมทูตอยู่ เพราะเขาไม่สามารถสัมผัสสิ่งใดได้เช่นคนอื่นๆ
"ตามความเข้าใจของผม ผมคิดว่าเป็นพ่อมดแห่งความตาย อย่างแรกดินแดนที่อยู่อาศัยไร้ชีวิตชีวา ทางเข้าทางออกถูกปกคลุมไปด้วยเวทย์ระดับสูง และอย่างสุดท้ายคือศพคืนชีพ"เยว่ชิงเองก็มั่นใจเกินกว่าเก้าสิบเต็มร้อย
"พวกเราวนกลับมาที่เดิมครับ"เสียงของคนข้างหลังทำให้คนในกลุ่มหยุดชะงัก พวกเขาสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างตื่นตระหนกเยว่ชิงมองปลายเท้าของตัวเองที่ยืนบนผืนดินแตกระแหง มองสองข้างทางที่เป็นต้นไม้แห้งสีดำอย่างใช้ความคิด
"เราต้องทำลายม่านเวทมนต์ จุดกำเนิดน่าจะเป็นลูกแก้วหรือไม่ก็ค่ายกล"เยว่ชิงคลึงขมับปวดหัวตุ๊บๆ ไม่เคยจะต้องใช้ความคิดมากขนาดนี้เลยจริงๆ
"พอจะมีวิธีมองค่ายกลไหมครับ"คนด้านหลังเอ่ยถาม แต่ละคนเริ่มออกอาการล้า ราวกับทุกอย่างก้าวของพวกเขาถูกถ่วงด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ เรี่ยวแรงที่เคยมราวกับระเหยออกไปทุกครั้งที่ก้าวเดิน
"ความไม่ปกติ ถ้าผืนดิ้นแห้งแล้ง ต้นไม้ยืนต้นตาย กลับมีแหล่งน้ำเล็กๆ ต้นไม้งอกเงยเขียวสดแสดงว่าที่นั่นต้องเป็นค่ายกล แยกเป็นสองกลุ่มถล่มซ้ายขวา"
"งั้นผมไปทางซ้ายแล้วกัน"เสวียนอวี้เลือกคนเสร็จสรรพก่อนจะเดินไปทางซ้าย
"ครับ พวกเราไปทางขวา"เยว่ชิงเลยพยักหน้าแล้วพาคนอื่นๆ ไปทางขวา
เพียงพริบตาคนสิบกว่าคนก็แยกย้ายกันไปคนละฝั่งจากนั้นก็ทุ่มสุดพลัง พวกเขามีความคิดที่ว่าค่ายกลที่นี่กำลังสูบพลังชีวิตพวกเขาไปทีละน้อย เพื่อให้หลุดพ้นมีแต่ต้องทุ่มสุดพลังแล้วฝ่าออกไป
ตู้มมมม เสียงระเบิดดังสะนั่นจนพื้นดินสะเทือน รอยร้าวปรากฏที่ด้านบนศีรษะกำแพงค่อยๆพังทลายลง คนหลายคนทรุดนั่งลงกับพื้นสูดลมหายใจลึกๆรีบฟื้นคืนพลังวิญญาณเพื่อต่อสู้
"ฮึฮึฮึ"เสียงหัวเราะชวนขนลุกดังขึ้นก้องหู เจ้าของดันเจี้ยนไม่ยินยอมที่กลุ่มคนที่เข้ามาฟื้นฟูความเหนื่อยล้า
ยามที่ดวงตาสีแดงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นท่ามกลางกลุ่มหมองควัน แต่ละคนตัวสั่นไปด้วยความกลัว ไม่ต่างอะไรกับสายตาที่จ้องมองตรงมาจากหอคอย เยว่ชิงเป็นคนแรกที่หวาดกลัวต่อสายตาคู่นั้น มันมีทั้งพลังอำนาจที่ควบคุมจิตใจลดอาการต่อต้านและควบคุมความตาย
หลงจือหยางที่กลับจากที่ประชุมรับรู้ถึงความร้อนผ่าวที่ต่างหู เจ้าตัวตื่นตระหนกก่อนจะใช้มือแตะแล้วเคลื่อนย้ายไปที่เยว่ชิง
เพล้ง!!!เสียงกระจกแตกร้าวเป็นช่วงเวลาเดียวกับฝ่ามือของหลงจือหยางเคลื่อนมาปิดตาของเยว่ชิง ดาบนับหมื่นทะลวงดวงตาสีแดงกล่ำราวกับท้าทาย
ดวงตาที่มีเลือดออกมันค่อยๆหลี่ตาลงแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
"ระวังชีวิตแกให้ดี"ดวงตาสีแดงกล่ำทั้งสองข้างหายไปอย่างรวดเร็ว หลงจือหยางจูบกลางศีรษะคนน้องให้หายสั่น
เจ้าสิ่งนั้นคือชั้นสุดท้ายบนหอคอย มันกำลังบอกว่ารู้ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา และครั้งนี้คือคำเตือน แต่สิ่งที่หลงจือหยางอยากรู้คือในที่ประชุมวันนี้ใครเป็นคนของมัน
เจ้าตัวขบกรามแน่นเนื้อตัวสั่นระริกไปด้วยความโกรธ ต่อให้มันเป็นเทพเจ้าแล้วยังไง คนที่กล้าแตะต้องเยว่ชิง เขาไม่ปล่อยมันแน่
"พี่ครับ"เยว่ชิงหันเข้ากอดหลงจือหยาง คนพี่สวมกอดคนน้องแน่นดวงตาวาวโรจน์อัดแน่นไปด้วยความแค้น ฝ่ามือคอยลูบแผ่นหลังปลอบคนรักที่เนื้อตัวสั่นเทา ริมฝีปากพรมจูบไปที่ขมับวนเวียนพูดซ้ำๆ
"เด็กดีพี่อยู่ตรงนี้"ปากก็พูดไปส่วนสายตาก็มองคนในทีมที่ในขณะนี้คนอื่นๆกระอักเลือดจนหมดสติ เหลือไม่ถึงสิบคนที่ยังคงสติไว้ได้แต่ก็ร่อแร่เหลือเกิน
ทางด้านเสวียนอวี้ก็สวมกอดจิวอิงที่ดวงตาเลื่อนลอยก่อนจะจ้องมองไปที่ดวงตาของหลงจือหยาง
"ฝากหน่อย ฉันจะเข้าไปเคลียร์ดันเจี้ยนด้านใน"เสวียนอวี้คิดว่าตอนนี้เขาควรระบายความรู้สึกออกมาให้มากที่สุด ยามนี้จิวอิงคงไม่รับรู้สิ่งใดฝากไว้กับหลงจือหยางจะดีที่สุด
"ไปเถอะ ฝากด้วย"หลงจือหยางไม่อยากออกห่างจากเยว่ชิงในช่วงเวลานี้ เพราะเยว่ชิงยังมีสติรับรู้ถึงความหวาดกลัวซึ่งแตกต่างจากจิวอิง
"เยว่ชิงครับ มองหน้าพี่หน่อย"หลงจือหยางประคองใบหน้าของคนรักให้เงยหน้าขึ้น จิ้งจอกน้อยกำเสื้อบริเวณอกไว้แน่น ดวงตาสั่นระริกคลอไปด้วยหยาดน้ำสีใส
"น้องกลัว"เสียงสั่นเครือของคนน้องทำให้หลงจือหยางแทบคลั่ง ทำได้เพียงระบายอารมณ์โดยที่ดาบบินว่อนไปทั่วฟาดฟันทุกสิ่งที่ขวางหน้าอย่างระบายโทสะ
ทางด้านเสวียนอวี้ก็ตวัดเคียวยมทูตของตัวเองตัดศีรษะกองทัพกระดูกนับแสน ที่ฟื้นขึ้นมาจำนวนมาก ยามที่โมโหเสวียนอวี้ก็ไม่น้อยหน้าหลงจือหยางเช่นกัน
ยามที่ชายผู้หนึ่งต่อกองกับกองทัพที่ไม่มีวันตายนับแสน สร้างความหวาดหวั่นให้กับพ่อมดในเสื้อคลุม แน่นอนว่าเจ้าพ่อมดตนนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน ยกเว้นค่ายกลวิญญาณที่มันสร้าง
แต่มนุษย์ก็ไม่ควรโมโหมันขนาดนี้ มันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
เสวียนอวี้ตวัดเคียวครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดพลังเวทย์ของพ่อมอก็หมดไม่สามารถฟื้นคืนชีพกองทัพได้อีก มันนั่งตัวสั่นบนบังลังก์ทองคำ
"เจ้ามนุษย์ จะ...เจ้า ปล่อยข้าไปเถอะนะ"เสวียนอวี้ตวัดเคียวฉับเดียวจนมันตายคาที่ ก่อนที่เสียงเก่าแก่จะดังขึ้น
{ขอแสดงความยินดีกับผู้พิชิตดันเจี้ยนพ่อมดแห่งความตาย กำลังประมวลผล}
{ผู้ที่สังหารบอสของดันเจี้ยนเสวียนอวี้จะได้รับไอเทมต่อไปนี้
ลูกแก้วแห่งความตาย A
ลูกแก้วปลุกชีพคนตาย A
หนังสือวิญญาณทาส A}
"มันคงมีประโยชน์ในอนาคต"เสวียนอวี้เดินกลับไปหาคนอื่นๆมองภาพความวุ่นวายสภาพยับเยิน จากนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ หลงจือหยางกำลังสติแตกแต่โชคดีที่ยังควบคุมได้เพราะคนรักยังกอดอยู่ ไม่เช่นนั้นที่นี่อาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆก็ได้
"กลับกันเถอะ"เสวียนอวี้กุมมือจิวอิงก่อนจะพากันออกจากดันเจี้ยน จากนั้นก็มีไอเทมรักษาวางเอาไว้ แต่ละคนที่หน้าซีดหมดพลังวิญญาณค่อยๆฟื้นขึ้นมา
"จบเรื่องเราค่อยคุยกัน"หลงจือหยางมองไปที่จิวอิงที่หมดสติทันทีที่ออกจากดันเจี้ยนที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมกอดของเสวียนอวี้ ก่อนจะมองคนน้องที่หลับไปแล้วเช่นกัน
"ไอ้ดวงตาสีแดงนั่น ได้"เสวียนอวี้พยักหน้าก่อนจะเดินตรงไปที่รถ
"อ่า เจ้าพวกมนุษย์"ร่างกายซีดผอมจนหนังหุ้มกระดูกถ่มเลือดสีดำออกจากปาก ขยับมือและขาที่ถูกโซ่รั้งติดผนังขยับมันเบาๆ
"คิดว่าจะทันเหรอ เจ้าพวกโง่"ตัวตนชั้นบนสุดของหอคอยระเบิดเสียงหัวเราะออกมา มันเลียริมฝีปากเมื่อเห็นความงามของจิ้งจอกขาวตนนั้น หากได้ลิ้มลองสักครั้ง คงเป็นการฉลองที่หลุดพ้นได้ดีแน่ๆ
มันถูกขังตั้งแต่ดินแดนเทพ แม้จะเคลื่อนย้ายจิตวิญญาณมาได้แต่โซ่พันธนาการเทพก็ยังไม่หลุด อีกทั้งยังส่งผลต่อพลังชีวิตของมัน มันจึงตัดสินใจสร้างความปั่นป่วนขึ้นมาบนโลก ตราบใดที่คนมีจิตวิญญาณที่มันมอบให้ทรงพลังแล้วตายในหอคอยหรือดันเจี้ยน
มันจะฟื้นฟูพลังและค่อยๆหลุดออกจากโซ่ได้แน่นอน แต่ยามนี้ราวกับมันถูกหยามจากคนที่มันมอบจิตวิญญาณให้ ทั้งๆที่ช่วยให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้น พวกมันมันก็ควรจะตอบแทนเขาด้วยชีวิตมันสิถึงจะถูก
"เจ้าพวกทาสของข้า แย่งชิงเจ้าเด็กจิ้งจอกนั่นมาให้ข้า"ละอองสีดำรับฟังก่อนจะออกจากหอคอย ตรงไปยังพื้นที่ต่างๆซึ่งมันมีมากมายมหาศาล