...
..
.
.
พ่อมดหนุ่มหันหลังจากไปก่อนเร่งฝีเท้าของเขาเมื่อนึกถึงกับดักที่ตั้งไว้ริมทะเลสาบ ความหิวเริ่มทำให้เขารู้สึกหมดแรง
อาจมีปลาหรือไม่ก็สัตว์น้ำที่พอช่วยประทังความหิวของข้าได้บ้าง?
เมื่อเขาเดินไปได้ 20 เมตร ก่อนถึงริมชายฝั่งที่ดูคุ้นตา เขาค่อยๆกวาดสายตาสำรวจอีกครั้งและภาพที่เห็นทำให้เขาชะงักเมื่อพบความผิดปกติของเชือกไม้ที่ใช้ผูกยึดกล่องกับดัก
ร่องรอยการต่อสู้และความวุ่นวายถูกทิ้งไว้ตามชายฝั่ง เศษซากของเชือกและอุปกรณ์ต่างๆ กระจัดกระจายไปทั่วพื้นทราย รอยยับของเชือกบางส่วนคล้ายกับถูกตัดด้วยแรงที่มหาศาล เหมือนมีสิ่งบางอย่างหรือใครบางคนผ่านมาที่นี่อย่างเร่งรีบ
"เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน?" วิคตัสพึมพำในใจ
ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปที่พื้นทราย
เขาสังเกตเห็นปลาสีเงินลายจุดดำสองสามตัวตกอยู่ห่างจากกันไม่ไกลนักพวกมันนอนนิ่งอยู่บนพื้นอย่างไร้ชีวิตซึ่งทำให้วิคตัสเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ
เขาย่อตัวลงใกล้ๆเพื่อตรวจดูรอยเท้าที่ฝังลึกในพื้นทราย ความลึกของรอยเท้าบ่งบอกถึงสัตว์ขนาดใหญ่ที่เคลื่อนผ่านที่นี่แต่ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆที่ดูเกี่ยวข้องกับสภาพในบริเวณนี้เลย
วิคตัสค่อยๆก้มลงดูปลาที่ตกอยู่บนพื้นและพึมพำกับตัวเอง
" ..อย่างน้อยก็ยังมีอาหารสำหรับคืนนี้ "
เขาวิ่งออกไปเก็บพวกมันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า หลังจากติดอยู่ที่นี่สิ่งที่ตกลงกระเพาะของเขามีเพียงซุปเห็ดและผักป่าเท่านั้น นี่คือเนื้อมื้อแรกในรอบหลายวันที่ห่างหายไปนาน
เพราะความตื่นเต้นเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นดวงตาใต้ผิวน้ำหลายสิบคู่ที่จ้องมองขึ้นมาอย่างเงียบงัน
"โชคดีที่ยังพอได้ปลาพวกนี้มาบ้าง" เขาพึมพำกับตัวเองขณะนั่งลงบนพื้นชายหาดด้วยความพึงพอใจ หลังจากจัดการปลาทั้งหมดเด็กหนุ่มสูดกลิ่นหอมของเนื้อปลาก่อนจะเริ่มปรุงมันบนไฟที่เขาจุดเตรียมไว้
"นกนั่นอาจทำเป็นอาหารได้ก็จริง แต่ตา...ของพวกมันดูแปลกๆจังแฮะ"
เขายังรู้สึกกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับนกที่เขาเห็นเมื่อครู่ ดวงตาสีแดงชวนให้รู้สึกไม่สบายใจ
แม้ดูเหมือนว่าเขาจะเอาแต่หลบหนีพวกสัตว์ร้ายในป่าแห่งนี้แต่วิคตัสยังแอบสังเกตเห็นความแตกต่างบางอย่างของพวกมันได้
ฝูงนกบ้าเลือดพวกนั้นตาของมันย้อมไปด้วยสีแดงและอารมณ์ดุร้ายบ้าคลั่งของมันดูขาดสติไร้เหตุผลจนเกินไป แมลงบางตัวแม้จะมีขนาดใหญ่กว่าปกติแต่ยังมีประกายดวงตาแวววับเหมือนกับเต่ายักษ์ตัวนั้น
เขานึกไม่ออกว่าสิ่งนั้นคืออะไรคล้ายจะพบคำตอบอยู่ตรงหน้าแต่เหมือนมีหมอกบางๆปิดกั้นไว้
วิคตัสเหลือบมองทะเลสาบด้านหน้าที่นิ่งสงบทอดยาวไกลก่อนหรี่ตาลงตัดสินใจว่าวันนี้ต้องออกจากเกาะแห่งนี้ก่อนค่ำอย่างน้อยเขาจะได้เตรียมแผนขั้นต่อไปได้ถูก
ยิ่งเสียเวลากับที่นี่นานเท่าไหร่โอกาสที่จะจัดการตระกูลเซนทอเรียสก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
หลังจากที่วิคตัสกินอาหารเสร็จเขาลุกขึ้นจากพื้นและยืดตัวขึ้นเล็กน้อยจิตใจยังคงจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ต้องทำต่อไป เขามองไปที่ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ขวางทางการข้ามมันไปยังอีกฝั่งยังคงถือเป็นเรื่องยาก
วิคตัสยืนอยู่ข้างริมทะเลสาบก่อนรวบรวมสมาธิและยกคทาขึ้นในท่าทางสงบเขาหมุนคทาไปในอากาศเป็นจังหวะก่อนที่ปลายคทาจะส่องแสงสีฟ้าสดใส
" Arborisa Umbla !! "
ทันใดนั้นเถาวัลย์มากมายก็พุ่งออกมาจากอากาศ สานตัวเป็นสะพานสูงเกือบสองเมตรทอดยาวผ่านหมอกหนาที่ปกคลุมทะเลสาบลอยอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดลงอย่างมั่นคงที่อีกฝั่ง
วิคตัสยิ้มเล็กน้อยขณะที่สะพานนั้นเสร็จสมบูรณ์
.
.
...
.
.
"เอาล่ะ ข้ารักการมีเวทย์มนตร์จริงๆ"
เขาพึมพำกับตัวเองก่อนเตรียมตัวออกเดินทาง
***********
สะพานไม้โยกไหวตามกระแสลมที่พัดผ่าน ทำให้ทุกย่างก้าวของวิคตัสเต็มไปด้วยความกังวล เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามไรผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่ม ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูเหมือนจะรอการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้
"ทำไมข้ารู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่เลยล่ะ?"
วิคตัสคิดในใจขณะก้าวเท้าไปบนสะพาน
หมอกหนาที่ลอยอยู่เหนือทะเลสาบทำให้มองไม่เห็นปลายทางมีเพียงความรู้สึกอันหนาวเหน็บกลับเข้ามาแทนที่
วิคตัสรู้สึกถึงสายตาที่คอยเฝ้ามองจากด้านล่าง แม้จะไม่มีอะไรให้เห็นในหมอกหนานั้นแต่เขากลับรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างในความมืด
เสียงระลอกน้ำจากใต้สะพานกระเพื่อมขึ้นเล็กน้อย คล้ายมีบางอย่างกำลังแฝงตัวอยู่ใต้ผิวน้ำ แม้ว่ามันจะเบาบางและคลุมเครือในหูของคนอื่นแต่ในความเงียบสงบเช่นนี้หูของพ่อมดยังคงจับการเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี
"มันเงียบสงบเกินไปหรือเปล่า..?" เขาคิดขณะก้าวเดินต่อไป
ความสงบที่น่าขนลุกนี้เป็นสัญญาณเตือนถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาสำหรับเขา
ฝีเท้าของวิคตัสเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีกครั้งทุกย่างก้าวบนสะพานไม้เต็มไปด้วยความกดดันภายในใจที่เพิ่มขึ้น มันเหมือนกับว่าทุกวินาทีเขากำลังวิ่งเพื่อชีวิตของตัวเองจนเขามั่นใจว่าอาจลืมวิธีการหายใจไปชั่วขณะ
หลังจากที่ขาสั่นทั้งสองข้างสัมผัสพื้นดินวิคตัสก็หยุดหอบหายใจอย่างหนัก แม้ร่างกายยังคงตึงเครียดแต่เขารู้สึกได้ปลดปล่อยความกังวลออกไปบ้างเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงพื้นดินที่มั่นคง
เมื่อกี้นี้รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังยืนอยู่บนเส้นบางๆที่แบ่งแยกระหว่างชีวิตและความตายเลยจริงๆ !!
"ฟู่วว ทะเลสาบนั่นต้องมีสัตว์ร้ายอยู่แน่! …ป่าแถวนี้ชักจะน่ากลัวเกินไปอันตรายจริงๆ!!"
เขาบ่นกับตัวเองขณะที่พยายามตั้งสติให้กลับคืนมา
วิคตัสรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่วิ่งผ่านกระดูก ขณะมองไปยังทะเลสาบที่สงบนิ่งทุกอย่างรอบตัวเขากำลังเตือนถึงอันตรายที่รออยู่ในนั้น ความรู้สึกนี้ทำให้เขารีบออกห่างจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด
บางครั้งข้อเท็จจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่า 'โชค' เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเดินทาง เพราะหลังจากที่ร่างของเขาหายลับเข้าไปในป่าทึบริมชายฝั่ง ดวงตาสีเหลืองนับร้อยใต้ผิวน้ำก็พร้อมใจกันเปิดขึ้นจ้องมองเหยื่อที่หลุดรอดมันไป
สัตว์เลื้อยคลานตัวใหญ่ด้านข้างของมันเต็มไปด้วยเกล็ดแข็งที่สะท้อนเมื่อแสงตกกระทบผิวน้ำ เกล็ดเหล่านั้นแข็งแรงพอที่จะป้องกันการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตอื่น
ร่างที่แข็งแกร่งของมันดันตัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำจนเห็นส่วนของขากรรไกรที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมน่ากลัว
ดาร์คเคล เฝ้ามองเหยื่อที่จากไปด้วยความหิวกระหาย ดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนมีหลอดไฟอยู่ข้างในค่อยๆลอยขึ้นใกล้ผิวน้ำ เสียงน้ำกระเพื่อมบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของเหล่าจระเข้ที่รอคอยโอกาสอันสมบูรณ์แบบ
.
.
.
วิคตัสที่วิ่งจากไปยังคงรู้สึกถึงเสียงกระเพื่อมของน้ำที่ดังก้องในหูจึงทำให้เขาไม่กล้าจะหยุดฝีเท้าลงแม้แต่ก้าวเดียว
"ต้องหาทางออกให้เร็วที่สุด" เขาพึมพำในใจ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลแต่เขาก็ไม่กล้าหันหลังกลับไปมองที่ทะเลสาบแห่งนั้น
วิคตัสวิ่งผ่านป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และใช้เวลาไม่นานก่อนหยุดยืนตรงหน้ากำแพงหนามที่ทอดยาวขึ้นสูงของต้นแบล็คธอร์น
ตลอดทั้งวันเขาใช้เรี่ยวแรงที่สะสมไว้ทั้งหมดจนเกือบถึงจุดสิ้นสุดอีกทั้งการใช้เคาถาเพื่อสร้างสะพานไม้ก็สูญเสียพลังไปไม่น้อยเช่นกัน
นัยน์ตาคู่สวยสอดส่องก่อนพบโพรงเล็กๆใต้โคนต้นหนามที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่
เพื่อสร้างทางผ่านออกไปวิคตัสตัดสินใจบีบบังคับพลังเวทของเขาเพื่อสร้างทางผ่านออกไปอย่างยากลำบาก
"Viae Momentaria!"
"Lumen creare, viae tempus, advenire ad locum, exsiste in momento!"
ทว่าในขณะที่เวทมนตร์กำลังทำงานบางสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
จู่ๆลำคอของวิคตัสก็รู้สึกแห้งผากทุกๆลมหายใจของเขารู้สึกเหมือนถูกเผาให้เป็นผุยผงเหมือนมีเปลวไฟกำลังลุกลามไปทั่วร่างกาย อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นจนกลายเป็นความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่จิตใจ
ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
" ตราคำสาป!! "
เขาตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ขณะที่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถควบคุมได้
เพียงไม่นานผลกระทบจากสัญญาณของคำสาปก็กลับมาเล่นงานเขาอีกครั้ง วิคตัสรู้ดีว่าต้องรีบทำบางอย่างเพื่อหยุดมันแต่ร่างกายที่ถูกเผาด้วยพลังคำสาปทำให้เขาเริ่มเหนื่อยล้ามากขึ้นเรื่อยๆ
ในวินาทีนั้นเขารู้ดีว่าไม่มีเวลาให้คิดมากจึงรีบหยิบขวดโพชั่นฟื้นฟูจากมิติออกมาทันที มือของเขาสั่นเล็กน้อยก่อนกระชากฝาโพชั่นยกขวดขึ้นดื่มในอึกเดียว
โพชั่นสีฟ้าอ่อนไหลลงในคออย่างช้าๆความเย็นจากโพชั่นที่มีสมุนไพรเป็นส่วนผสมเริ่มกระจายไปทั่วร่างกาย พลังที่เหมือนจะหายไปกลับคืนสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ในขณะที่พลังเวทย์จากโพชั่นไหลเวียนเข้าสู่กระแสจิตวิญญาณของเขา วิคตัสกวาดมือขวาไปข้างหน้าข้อมือของเขาสั่นขณะร่ายคำพูดที่เต็มไปด้วยพลังเวทที่สะสมอยู่ในตัว
" Castodia Praesendi ! "
แสงสว่างจากเวทมนตร์ค่อยๆปรากฏขึ้นรอบตัวแผ่ขยายเป็นเกราะที่ปกป้องวิคตัสจากคำสาป
พลังแห่งคำสาปแตกแขนงแยกออกไปมากมายหลายกิ่งก้านคล้ายกับต้นไม้ใหญ่ที่บิดเบี้ยวเหนือจินตนาการรับรู้ของผู้คนในยุคปัจจุบัน
สิ่งที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดคือคำสาปที่มีจุดเริ่มต้นมาจากแม่มดผู้ร่ายคาถาโดยใช้มนต์ดำที่ทรงพลังเพื่อสร้างภัยพิบัติให้แก่เหยื่อหรือการปลุกเสกเครื่องรางสาปแช่งไปจนถึงคำสาปแห่งเลือดที่สามารถสังหารผู้คนนับพันได้ภายในชั่วพริบตา
ทว่าคำสาปที่วิคตัสเผชิญอยู่ในตอนนี้แตกต่างออกไป
มันไม่ได้มาจากมนต์ดำหรือพิธีกรรมที่สามารถทำลายล้างได้ในทันทีแต่เป็นคำสาปที่เกิดจากเจตจำนงของต้นหนามแบล็คธอร์นในป่าแห่งนี้
หากเป็นคำสาปที่ถูกร่ายขึ้นจากแม่มดจำเป็นต้องใช้มนต์คาถาที่ซับซ้อนและขั้นตอนในการตรวจสอบเพื่อระบุร่องรอยที่แท้จริงของคำสาปจึงจะสามารถสร้างพิธีกรรมชำระล้างที่ถูกต้องได้ไม่เช่นนั้นการล้างคำสาปอาจผิดพลาดจนทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
แตกต่างจากคำสาปที่เกิดขึ้นโดยพลังวิญญาณธรรมชาติสิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้พิธีกรรมใดๆ แค่เพียงสัมผัสเบาๆด้วยพลังเวทย์ก็สามารถรับรู้ถึงร่องรอยของมันได้แล้ว แม้เป็นแม่มดที่มีอายุน้อยที่สุดในศตวรรษก็อาจรับรู้ถึงตราคำสาปประเภทนี้ได้อย่างง่ายดาย
คำสาปนี้ไม่ได้มาจากมนต์ดำหรือเครื่องรางที่ต้องการคำสั่ง แต่เกิดจากเจตจำนงของต้นไม้ที่ยืดหยัดด้วยพลังชีวิตของตัวเองหากมีผู้ที่สัมผัสมันคำสาปจะถูกประทับลงบนตัวทันที
เนื่องจากพลังเวทย์ระดับ 3 ของวิคตัสทำให้เขาไม่สามารถสื่อสารกับต้นไม้เหล่านี้ได้โดยตรงแต่ยังพอช่วยให้เขาค้นพบคำสาปนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกที่วิคตัสรับรู้ในตอนนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยแต่เป็นคลื่นแรงกดดันที่สะท้อนออกจากต้นหนามแบล็คธอร์นที่เติบโตไปทั่วป่า
สิ่งเดียวที่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือคำสั่งที่แฝงอยู่ในพลังกระแสจิตของพืชต้นนี้ มันคือการ 'ขับไล่ผู้บุกรุก' เป็นคำสาปที่ดูเหมือนจะคอยปกป้องป่าแห่งนี้จากการบุกรุกของสิ่งมีชีวิตภายนอก
ตราคำสาปที่ลอยอยู่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอันแข็งแกร่งของต้นแบล็คธอร์นที่ถูกทิ้งร้าง
มันอาจเลวร้ายยิ่งขึ้นหากเขาไม่สามารถหาวิธีสลายคำสาปนี้ได้เร็วพอ ขณะที่พลังเวทย์ของเขาค่อยๆหมดลงอีกครั้งความวิตกกังวลในใจก็เริ่มกัดกร่อนความมั่นใจ
" ต้องรีบทำลายมันก่อน " เขากล่าวเสียงเบา มือขวาของเขาจับไปที่หน้าอกผสมผสานพลังเวทย์ในจิตใจอย่างรวดเร็ว
เขายกมือขึ้นข้างหนึ่งและเริ่มร่ายคาถาเพื่อสลายคำสาปที่ยึดร่างกายของเขาทันที
"Exilium Vincurer!"
เสียงร่ายคาถาดังกังวานไปในอากาศ ก่อนมีแสงสีเงินค่อยๆส่องออกจากปลายไม้คทาปรากฏเป็นแสงล้อมรอบเขาอย่างรวดเร็วร่างกายของวิคตัสรู้สึกเบาคล้ายกับหลุดพ้นจากพันธนาการ
เมื่อรับรู้ได้ถึงคำสาปที่สลายไปเขาจึงรีบลงมือร่ายมนต์คุ้มกันอย่างรวดเร็ว
Castodia Praesendi !
เกราะป้องกันก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเปล่งรัศมีแสงสีเขียวล้อมวนร่างของวิคตัสออร่าจากพลังธรรมชาติที่ดูเหมือนผสมผสานเข้ากับวิญญาณแห่งพืชทำให้ร่องรอยของมนุษย์ถูกปิดกั้นไว้แม้แต่พลังคำสาปจากต้นแบล็คธอร์นก็ไม่สามารถตรวจจับการมีอยู่ของเขาได้อีกต่อไป
วิคตัสหายใจแรงมือที่เคยมั่นคงเริ่มสั่นเล็กน้อยขณะเร่งคลานผ่านโพรงหนาม ขอบกิ่งแหลมคมทิ่มแทงผ้าคลุมจนเป็นรอยขาดวิ่นมากมายแม้เขาจะพยายามระวังแต่มันก็ยากจะหลบเลี่ยงทุกรากและหนามที่อยู่เกี่ยวรอบตัว หลังจากฝ่าฟันจนพ้นโพรงหนามในที่สุดวิคตัสก็หลุดออกจากป่าอาถรรพ์วาลดัลได้สำเร็จ
ร่างกายที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงโซเซออกมาจากความมืดของป่าหนามเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแบกภูเขาทั้งลูกบนบ่าตลอดทาง
ทันทีที่ก้าวพ้นขอบเขตของกำแพงหนามสีดำ ทิวทัศน์เบื้องหน้าที่แผ่ขยายออกไปคือทุ่งหญ้ากว้างสีหม่นใต้ขอบฟ้าสีจางแต่สำหรับวิคตัสมันช่างดูสดใสสว่างกว่าความน่าสะพรึงที่เขาพบเจอในป่า
ลมหายใจแรกที่ได้รับอากาศบริสุทธิ์ทำให้เขารู้สึกเหมือนเพิ่งหลุดออกมาจากขุมนรกทุกก้าวที่เท้าเดินสัมผัสเหมือนกับเหยียบย่ำไปบนเมฆ
แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ความรู้สึกโล่งอกเมื่อหลบหนีออกจากพื้นที่อันตรายได้สำเร็จทำให้ดวงตาของวิคตัสยังพอมีประกายแห่งความหวังเหลืออยู่บ้าง
"ในที่สุด...ข้าก็หลุดออกมาได้แล้ว "
เขาพึมพำเสียงแผ่วเบา
ความอ่อนล้าทำให้ร่างของวิคตัสทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงความคิดต่างๆล่องลอยไปจนถึงมื้ออาหารที่เขาคิดถึง
—สเต็กเนื้อวัวฉ่ำๆคู่กับโคล่าเย็นเจี๊ยบ
แม้เป็นเพียงภาพในหัวแต่ความรู้สึกนั้นกลับชัดเจนจนท้องของเขาคำรามตอบรับ
". ... เพิ่ม .. . มันฝรั่งอบ... ด้วย "
วิคตัสส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆปิดลงพร้อมกับสติของเขาที่พลันมืดดับไป
.
.
..
.
เหมือนมีเสียงกระซิบในสายลมเอ่ยเตือนกระซิบข้างหูว่าอันตรายยังไม่จบสิ้น
..
.
.!
...
..
ฝูงสัตว์สงครามขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนที่มุ่งหน้าไปตามชนเผ่ารอบๆผ่านลมหนาวที่พัดปลิวว่อนคล้ายคมมีดบาดผิวพร้อมกับทาสมากกว่า 10 คนที่ถูกบังคับให้เร่งฝีเท้าของพวกเขาเพื่อติดตามกลุ่มนักล่าของชนเผ่าดอร์สให้ทัน
ท่ามกลางกลุ่มหิมะที่เริ่มตกลงมาอย่างหนาแน่น บรรยากาศในขบวนเต็มไปด้วยความกลัวและสิ้นหวัง
เสียงลมที่หวีดหวิวดังก้องรอบตัวช่วยเน้นย้ำถึงความโหดร้ายของสถานการณ์ที่กำลังเผชิญไม่มีใครกล้าหลบหนีออกไปแม้จะเดินทางออกมาได้เกือบครึ่งวัน ทุกคนต่างรู้ดีว่าการกระทำที่โง่เขลาเช่นนั้นมีเพียงจุดจบที่รออยู่
นักรบชนเผ่าดึกดำบรรพ์จำนวนมากกว่าโหลมองดูขบวนทาสด้วยสายตาเฉยชา ชุดหนังที่ทำจากสัตว์ป่าทำให้พวกเขาดูดิบเถื่อนและน่าเกรงขาม
แม้เสียงร้องไห้โวยวายน่าสังเวชเพียงใดก็ไม่มีใครได้รับความเห็นใจจากพวกเขา สายตาของนักรบเต็มไปด้วยความเย็นชาและไร้ความปรานี เหมือนพวกเขาเคยชินกับภาพแห่งความทุกข์ที่อยู่ตรงหน้า
"รีบเดินต่อไปอย่าชักช้า!!" เสียงนักรบดังขึ้น แต่ไม่ใช่เพื่อปลอบใจหรือให้ความหวังเพียงแค่เป็นการย้ำเตือนถึงการเดินทางที่ยังไม่สิ้นสุด
ขณะที่มือของพวกเขากุมอาวุธอย่างระมัดระวัง ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขตที่พวกเขากำลังจะผ่านคือ ป่าอาถรรพ์วาลดัล พื้นที่ต้องห้ามที่มีเรื่องราวเล่าขานถึงพลังแห่งความมืดและสัตว์ร้ายที่ไร้ความเมตตา
เมื่อพวกเขาเดินทางเข้าสู่แนวเขตของป่า ต้นไม้ที่สูงใหญ่และมืดทมิฬเริ่มโอบล้อมทางเดิน เถาวัลย์หนามสีแดง Scarlet Veil โผล่ขึ้นแทรกซ้อนตามต้นแบล็คธอร์นทำให้บรรยากาศดูอึดอัดยิ่งขึ้น
ทาสบางคนเริ่มมีอาการหวาดกลัวและตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ลมหนาวเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆเสียงลมที่หวีดหวิวยังคงดังก้องไปทั่วป่ากลุ่มขบวนยังคงเดินหน้าต่อไปในความเงียบงันมีเพียงเสียงฝีเท้าที่เร่งขึ้นโดยพร้อมเพรียงกันอย่างไม่มีสาเหตุ
นักรบหลายคนจับอาวุธในมือไว้แน่น แม้จะไม่ได้แสดงความหวาดกลัวแต่พวกเขาต่างรู้ดีถึงเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้
ชายนักรบผู้หนึ่งกล่าวขึ้นเบาๆ
"เราจะผ่านที่นี่ไปโดยไม่หยุดพักจนกว่าจะพ้นเขตป่า เร่งฝีเท้าเร็วเข้า!! "
ร่างของทาสที่เดินโซซัดโซเซใต้เงาทึบค่อยๆ ล้มลงไปตามเส้นทางขณะที่หน่วยสอดแนมวิ่งกลับมาหาชายที่เดินนำหน้าขบวน
"ท่านไคออร์ส!" หน่วยสอดแนมหอบหายใจหนัก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
"หากเรามุ่งหน้าต่อไปตามแผนที่วางไว้ เราจะไม่ทันเวลาของท่านนักบวชถ้าหากล่าช้า—"
"ไม่ต้องพูดซ้ำ" ไคออร์สขัดจังหวะ น้ำเสียงของเขาเย็นชาแต่หนักแน่นดวงตายังคงจ้องตรงไปข้างหน้าโดยไม่หันมามอง
" นักบวชอูม่าคาดหวังให้เราทำงานสำเร็จ ทาสทั้งหมดต้องถูกส่งตัวกลับถึงเผ่าไม่ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไร "
หน่วยสอดแนมกัดฟันแสดงสีหน้ากังวล
"แต่ท่านไคออร์ส หากเราล่าช้า... ท่านนักบวชอูม่าอาจไม่พอใจ—"
"เจ้ากำลังบอกให้ข้าทำอะไร?" ไคออร์สหันมามองด้วยสายตาเย็นยะเยือก
"ทิ้งทาสไปกลางทางรึ? หรือให้พวกมันหนีไปตายเองในป่านี่?"
เขาขยับเข้าใกล้หน่วยสอดแนมด้วยร่างกายสูงใหญ่ยืนตระหง่านจนเงาซ้อนทับเหนืออีกฝ่าย
"ถ้าเจ้ากลัวนักบวชอูม่าขนาดนั้น เจ้าควรจะทำให้แน่ใจว่าเราจะไปถึงเผ่าให้ทันไม่ใช่มาส่งเสียงหวาดกลัวอยู่ที่นี่ "
หน่วยสอดแนมนิ่งงันไม่กล้าสบตาเขาก้มหน้ารับคำสั่งเบา ๆ
"ข้าเข้าใจแล้วท่านไคออร์ส ข้าจะรีบเร่งเส้นทางให้เร็วที่สุด!! "
ไคออร์สมองตามขณะที่หน่วยสอดแนมกลับไปจัดการขบวน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉียบคมเขาหันไปออกคำสั่งกับนักรบคนอื่น
"เพิ่มความเร็วห้ามหยุดจนกว่าเราจะพ้นเขตป่าอาถรรพ์ !"
นักรบที่เหลือพยักหน้ารับคำสั่งทันที
ท่ามกลางความมืดและเสียงลมพัดที่ดังขึ้นเรื่อยๆมีบางสิ่งรอบตัวที่ไม่อาจอธิบายได้คล้ายกับเสียงกระซิบเตือนเบาๆจากป่า
...
.
..