" ทริย่าทำไมเจ้าถึงเรียกหญิงชราคนนั้นว่า แม่มด?....มันหมายความว่ายังไง? "
วิคตัสถามด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย เขายังไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน คำว่า 'แม่มด' ที่ถูกเรียกดูเหมือนมีบางอย่างแตกต่างกับตัวตนของเขา
ทริย่ามองสบตากับอูรอคก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง ในขณะที่ทาสคนอื่นๆมองวิคตัสด้วยสายตาแปลกๆอีกครััง
"อย่างที่ข้าเคยบอกไปถึงตัวตนของพวกเขา ผู้ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นนักบวชของเผ่า คือผู้ที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งและสามารถขอพลังจากวิญญาณบรรพบุรุษเพื่อปกป้องดูแลทุกคนในเผ่า.."
ทริย่าเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะอธิบายต่อไป
"พวกเขาเกิดมาทำหน้าที่อันศักสิทธิ์เพื่อคอยสื่อสารกับเหล่าทวยเทพและวิญญาณแห่งผืนป่า ส่วนมากจะมีพลังในการรักษาและขับไล่สิ่งชั่วร้าย รวมถึงการมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นด้วย ..."
วิคตัสยังคงครุ่นคิดคำว่า 'พลังวิญญาณ' ที่ทริย่าพูดถึงทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างพลังเวทย์ของเขากับสิ่งที่เผ่าดอร์สเรียกว่า 'พลัง' เขาพยายามจับความหมายในคำพูดของทริย่า
ทริย่าลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อเสียงเบาลง
" แต่ก็มีบางชนเผ่าที่ถูกดูแลโดย นักบวชแห่งคำสาปหรือหมอผีด้วยเหมือนกัน ข้าเคยได้ยินมาว่าพลังของพวกเขาน่ากลัวและทรงพลังยิ่งกว่า..!! "
เธอหยุดพูดก่อนมองไปที่ทาสคนอื่นและกระซิบเบาๆ
"บางครั้งพวกเขาสามารถทำให้ซากศพลุกเดินได้ ใช้คำสาปแช่งโดยยืมพลังจากวิญญาณชั่วร้าย ต่างจากนักบวชตามชนเผ่าทั่วไปมาก!!"
คำพูดของทริย่าทำให้วิคตัสขมวดคิ้ว ความคิดในใจของเขาหมุนวนไปหมด พลังที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่าง นักบวช และ หมอผี
" ...แต่เมื่อกี้ถ้าข้าไม่ได้เข้าใจผิด ข้าได้ยินเจ้าเรียกเธอว่าแม่มดตัวตนของเธอไม่เหมือนพวกเขาหรอ? "
วิคตัสถามเสียงเรียบแต่เต็มไปด้วยความสงสัยเขาจับจ้องไปที่อูรอคเพื่อรอฟังคำตอบ อูรอคเหลือบมองทริย่าเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจเบาๆ แล้วหันกลับมาสบตาวิคตัส
" ก็ไม่เชิง..นั่นคือคำที่เราใช้เรียกผู้ที่มีพลังวิญญาณน่ะสิ เพราะผู้คนทั่วไปไม่อาจรู้ว่าตัวตนของพวกเขามีพลังเช่นไรทุกคนจึงใช้คำว่า ' แม่มด ' เพื่อแสดงความเคารพและหลีกเลี่ยงการทำให้พวกเขาไม่พอใจหรือเกิดความเข้าใจผิด....เจ้าเองก็ต้องระวังเรื่องนี้ไว้ด้วย"
วิคตัสพยักหน้าช้าๆ เขารับฟังคำอธิบายแต่ในใจยังคงเต็มไปด้วยคำถาม ความคิดนั้นทำให้เขารู้สึกสับสนยิ่งขึ้น
แสดงว่า 'แม่มด' ที่คนพวกนี้รู้จักอาจแตกต่างออกไปไม่เหมือนกับเรางั้นหรอ..… ??
"ไม่มีการตามล่า?" วิคตัสเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงของเขาดังพอให้ทุกคนหันมามอง
"ข้าหมายถึง ไม่มีใครอยากจับพวกเขาไป? อย่างที่ทริย่าพูดว่ามีบางชนเผ่าที่มี 'หมอผี' หรือ 'นักบวชแห่งคำสาป' ด้วยตัวตนและพลังเช่นนั้น พวกเขาไม่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อชนเผ่าอื่นๆ หรือ?"
"นั่นอาจเป็นเรื่องจริงในบางพื้นที่แต่มีไม่บ่อยนัก ข้าไม่เคยได้ยินถึงการตามล่าหรือลงโทษนักบวชมาก่อน"
อูรอคกล่าว น้ำเสียงของเขาราบเรียบแต่แฝงด้วยความมั่นใจ
"แต่ในเผ่าของเรา ทุกคนให้ความสำคัญกับพลังของนักบวชเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการรักษาและคำพยากรณ์ พวกเขาได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำ เพราะพลังของพวกเขาช่วยให้เผ่าของเรามีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น! "
คำพูดของอูรอคทำให้วิคตัสตั้งใจฟังมากขึ้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่ดูจะมีความภาคภูมิใจในคำพูดของตน
"พวกเขามักได้รับการเคารพและถูกคุ้มครองโดยนักรบในเผ่า..."
วิคตัสขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำพูดนั้นก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
"คุ้มครอง...แบบปกป้องน่ะหรือ?"
อูรอคพยักหน้าเล็กน้อย
"แน่นอน!! ..นักบวชเป็นเสมือนทรัพยากรที่ล้ำค่าของชนเผ่าไม่มีใครกล้าคิดร้ายต่อพวกเขานอกจากจะเป็นการท้าทายอำนาจของนักบวชแล้ว มันยังหมายถึงการลบหลู่เหล่าทวยเทพและวิญญาณแห่งผืนป่าอีกด้วย !!"
ทริย่าเสริมพลางมองไปยังวิคตัสด้วยแววตาที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในคำพูดของเธอ
"และพวกเขาก็ไม่ได้เพียงแค่คุ้มครองเผ่าในยามสงบ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมสำคัญ การตัดสินใจของพวกเขามักเป็นที่ยอมรับโดยปราศจากการโต้แย้ง เจ้าก็เห็นกับตาตอนที่เราถูกพาตัวไปที่กระโจมของแม่มดอูม่า!? "
คำอธิบายนี้ทำให้วิคตัสเริ่มเข้าใจถึงบทบาทและอำนาจของนักบวชในเผ่าดอร์สมากขึ้น แม้จะยังคงมีคำถามเกี่ยวกับความลึกลับของพลังวิญญาณที่พวกเขาใช้
"นักบวชอูม่าเองก็มีพลังการรักษาเหมือนกัน?"
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยเอ่ยถามขึ้น
ทริย่าสบตากับอูรอคและฮาเทลก่อนจะพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง
"แม่มดอูม่า เธอเป็นนักบวชของเผ่าดอร์ส แต่ไม่มีใครเคยรู้ว่าพลังของเธอคืออะไร แม้แต่ทาสอย่างพวกเราก็ไม่เคยเห็นเธอแสดงพลังออกมา...แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้ารู้มา คือเธอไม่เหมือนนักบวชคนอื่นๆ "
".....ไม่เหมือน?"
"ใช่" ทริย่าตอบก่อนลดเสียงลงอีกครั้ง เหมือนกลัวว่าคำพูดของเธอจะถูกลมพัดไปถึงหูผู้ไม่พึงประสงค์
"บางคนเล่ากันว่าเธอไม่ได้มีแค่พลังรักษา แต่ยังสามารถเรียกพลังบางอย่างที่ไม่มีใครอธิบายได้ออกมา ในดินแดนตะวันออกไม่มีแม่มดคนไหนที่สามารถเอาชนะพลังของเธอได้ !! "
คำพูดนั้นทำให้วิคตัสขมวดคิ้ว ความคลุมเครือของข้อมูลยิ่งทำให้เขาสงสัยมากขึ้น
"แต่ถ้าพลังของเธอแข็งแกร่งขนาดนั้น ทำไมถึงยังไม่มีใครรู้อีกล่ะ? หรือพวกเขากลัวเกินกว่าจะถามเธอ? "
อูรอคถอนหายใจ
"ไม่ใช่แค่ความกลัว แต่มันคือความเคารพในตำแหน่งนักบวชที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพวกเรา การตั้งคำถามต่อพลังของเธอถือเป็นการลบหลู่ และไม่มีใครอยากเสี่ยง..."
วิคตัสพยักหน้าอย่างช้าๆความสงสัยยังคงลอยอยู่ในอากาศเป็นปริศนารอคำตอบ
หรือว่าเป็นพลังแบบเดียวกัน? ...แต่ทำไมเราสัมผัสไม่ได้ถึงแหล่งพลังเวทย์จากตัวเธอล่ะ?
ท่ามกลางความเงียบสงบที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง ในที่สุดทาสคนหนึ่งที่ทนความสงสัยไว้ไม่ไหวจึงถามคำถามออกไป
" นี่เจ้าทาสตัวน้อย ..ข้ามาคิดดูแล้วตัวตนของเจ้าแปลกมากที่สุด ยังมีคำถามมากมายที่ข้าไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเจ้าถึงรอดออกมาจากป่าอาถรรพ์ได้? ทั้งภาษาแปลกๆรวมถึงตัวเจ้าที่ไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานเหล่านี้ด้วย !? "
...ชิ! เจ้าเด็กนี่ดันอยากรู้ไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว!
วิคตัสนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมองไปที่ฮาเทล เขารู้สึกเหมือนถูกบีบให้ตอบคำถามที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สายตาของทาสที่มองมาทำให้เขารู้ว่าไม่มีทางหนีจากความสงสัยของทุกคนได้
" ฮ่าาฮ่าๆ ... นั่นสินะ ข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่ามาที่นั่นได้ยังไง เอาเป็นว่าเผ่าที่ข้าเคยอยู่นั้น แตกต่างจากที่นี่มาก "
เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนพูดเสริมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"บางทีอาจเป็นเพราะข้ารู้จักเส้นทางป่าที่ไม่ค่อยมีใครกล้าเดินเข้าไปก็ได้ .."
ทาสคนนั่นจ้องมองวิคตัสด้วยสายตาไม่เชื่อ พลางขมวดคิ้วแน่น
" เส้นทางที่ไม่มีใครกล้าเดิน? เจ้ากำลังพูดถึงอะไรกันแน่? ไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน!! "
วิคตัสสบตากับเขาพลางยิ้มมุมปากเล็กน้อย
"ไม่เคยมีใครพูดถึงก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มี จริงไหม? ถ้าเจ้าอยากรู้ขนาดนั้นทำไมไม่ตามข้าไปดูด้วยตาตัวเองเลยล่ะ?"
คำตอบของวิคตัสทำให้บรรยากาศรอบๆดูตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย ทาสคนนั้นขยับปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
วิคตัสยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่ยังคงไม่เชื่อคำพูดของเขา เขาใช้ปลายนิ้วลูบไปตามเชือกที่พันอยู่รอบข้อเท้า ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"เจ้าอาจยังไม่เข้าใจตอนนี้...แต่ว่าในทุกสถานที่ยังมีสิ่งที่ผู้อื่นไม่ควรก้าวล้ำเข้าไป สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงและสิ่งที่ควรปกป้องหากเจ้ามีโอกาสได้เห็นด้วยตาตัวเอง เจ้าจะเข้าใจ"
ทาสคนนั้นเงียบไปสักครู่ สายตาของเขายังคงจับจ้องมาที่วิคตัสก่อนที่จะหลบสายตาลงไปที่พื้น
ถ้ำเงียบงันจนได้ยินเสียงหายใจของทุกคนอย่างชัดเจน ทุกคนต่างรู้สึกถึงบรรยากาศที่หนักหน่วงขึ้นมาอย่ากระทันหัน
"เจ้าพูดเหมือนว่ามีบางอย่างที่ข้าไม่ควรรู้..."
ทาสคนนั้นพูดเสียงต่ำ
วิคตัสยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเอนตัวพิงกำแพงถ้ำ ราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างก่อนตอบกลับไปอย่างแผ่วเบา
"บางทีการไม่รู้ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด..."
"เราถูกขังมานานแค่ไหนแล้ว? ข้าเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเป็นเหยื่อของพิธีกรรมนี้หรอกใช่มั้ย?"
ทาสคนนั้นหยุดชะงักไปสักพัก เมื่อได้ยินคำถามของวิคตัส เขามองไปที่วิคตัสด้วยความเครียดที่เริ่มแสดงออกชัดเจนบนใบหน้า
"เวลาผ่านไปนานพอสมควรแล้ว... ข้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะทำอะไรกับเราต่อ บางทีนักบวชอูม่าอาจจะกำลังเตรียมพิธีสังเวย " ทริย่าพูดเสียงต่ำ ปลายนิ้วของเธอจับแน่นไปตามเชือกที่พันรอบข้อมือ
วิคตัสถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"การสังเวยเทพอสูร...ถ้าพวกเขาคิดว่าพวกเราเป็นเครื่องมือเพื่อบางสิ่งบางอย่าง ก็คงยากที่จะหลีกหนีจากมันไปได้"
เขาพูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง หวังว่าจะไม่ทำให้คนอื่นๆรู้สึกกดดันมากขึ้น
"ข้าไม่รู้หรอกว่าเราจะมีเวลาเหลืออีกนานแค่ไหน แต่ว่าตอนนี้... เราก็ยังอยู่ที่นี่ ยังไม่ตายก็ถือว่าโชคดีไป"
วิคตัสหันไปมองฮาเทลอีกครั้งก่อนก้มลงมองที่พื้นในขณะคิดอะไรบางอย่าง
"บางที... เราอาจต้องหาทางออกจากที่นี่ "
"ไม่มีประโยชน์หรอก ถ้ำแห่งนี้มีทางเข้าเพียงทางเดียวเพื่อไว้ขังนักโทษและทาสอย่างพวกเรา เป็นไปไม่ได้ที่จะมีทางหลบหนีออกไป "
จู่ๆเสียงเล็กๆของเด็กผู้ชายที่ฟังดูแปลกๆก็ดังขึ้นจากมุมนึงของถ้ำทำให้วิคตัสรู้สึกตกใจ
วิคตัสหันไปตามเสียงที่ดังขึ้น พบกับเด็กชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่มุมลึกด้านในของถ้ำ ด้วยร่างกายเล็กๆที่ผอมแห้งจนผิวหนังเกือบสัมผัสกระดูกเขาสวมชุดที่ขาดวิ่นและดูเหมือนจะอดทนต่อความยากลำบากมาเป็นเวลานาน
"เจ้าหมายความว่าไง?"
วิคตัสเขาก้าวไปใกล้เด็กชายที่ดูเหมือนจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ดวงตาสีหม่นของเด็กชายมีแววเฉลียวฉลาดที่ดูไม่เหมือนทาสคนอื่นๆ
"ข้าหมายความว่าที่นี่ไม่มีทางออก ไม่มีใครหนีออกไปได้แม้แต่ความหวังที่ริบหรี่ก็ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านหินของคุกถ้ำนี้ "
วิคตัสขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเด็กชายไม่ได้ดูสิ้นหวังเหมือนสภาพของเขาแต่มันมีอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นคำท้าทาย
"แล้วเจ้าว่าเราควรทำอย่างไร?"
" โอกาสเดียวที่จะหลบหนีได้คือต้องรอเวลาที่พวกเขาพาเราออกไป ใช้ช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับพิธีกรรม แต่โอกาสนั้นมีน้อยมากและอาจไม่สำเร็จ .."
วิคตัสจ้องเด็กชายอย่างตั้งใจ
" เจ้าชื่ออะไร? "
เด็กชายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
" ลีนอส... พวกเขาเรียกข้าแบบนั้น"
"เอาล่ะ ลีนอส ทำไมเจ้าถึงคิดว่าโอกาสสำเร็จนั้นต่ำมาก? ถ้าเรามีจังหวะที่สามารถหลุดรอดออกไปได้เราก็แค่วิ่งให้เร็วที่สุดและแยกกันไปเพื่อสร้างความวุ่นวาย.. "
น้ำเสียงของเขานุ่มลง แต่ยังคงไว้ซึ่งความจริงจัง
ลีนอสเหลือบมองรอบตัวอย่างระวัง สายตาของเขาจับจ้องไปยังมุมที่มืดสลัวซึ่งนักรบเฝ้าอยู่ห่างออกไป เขาก้มตัวลงเล็กน้อย
"ในลานพิธีกรรมไม่ได้มีแค่ชาวเผ่า ยังมีหัวหน้าเผ่าเดอลุสและนักรบระดับสามอีก พวกเขาไม่เหมือนนักรบทั่วไปมีทั้งความเร็วและพลังที่แข็งแกร่งกว่าเรา ยิ่งมีอาคมของนักบวชอูม่าแล้วด้วยโอกาสรอดของเราแทบริบหรี่ !"
เขาพูดช้าลงเหมือนไม่อยากเอ่ยถึง
"ไม่มีใครหนีพ้นสายตาของนางได้ นางรู้... รู้ทุกอย่าง ลำพังพวกเราแค่ทาสไร้ค่าจะเอาอะไรไปสู้กับคนพวกนั้น....!! "
"ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาจุดอ่อน ทุกอย่างต้องมีช่องโหว่ การสังเวยที่เร่งรีบเช่นนี้พวกเขาไม่สามารถเฝ้าระวังได้ทุกอย่างหรอก เชื่อข้าสิ.."
ทุกคนมองหน้ากันแล้วตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
เวลาผ่านไปจนถึงสิบวันอย่างเชื่องช้า ความมืดในถ้ำกลืนกินความหวังและกำลังใจของทาสทุกคนจากความกลัวที่สะสมและความหิวโหยที่เกาะกินจิตใจ เสียงฝีเท้าของนักรบดังขึ้นที่ทางเข้าถ้ำ แสงไฟจากคบเพลิงวูบไหวไปมาเป็นสัญญาณบอกว่าความเลวร้ายที่พวกเขาหวาดกลัวกำลังจะมาถึง
อูรอคที่นั่งอยู่ใกล้ทางเข้าถ้ำได้ยินเสียงก่อนใคร เขาตัวสั่นและถอยกลับมาด้วยความกลัว
"พวกเขามาแล้ว..." เขาพูดเบาๆ ขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา
เหล่านักรบเผ่าดอร์สก้าวเข้ามาพร้อมใบหน้าที่ไร้ความปรานี พวกเขาจ้องมองทาสทั้งหลายราวกับเป็นเพียงวัตถุที่ไร้ชีวิตก่อนจะตะโกนคำสั่ง
"ลุกขึ้นเจ้าพวกขยะ..เร็วเข้า! ข้าจะไม่พูดซ้ำ!"
ทาสแต่ละคนเริ่มลุกขึ้นอย่างช้าๆ วิคตัสกัดฟันแน่น ขณะที่เขามองเห็นทาสบางคนล้มลงทริย่าพยายามพยุงตัวทาสที่อ่อนแรงจากการอดอาหารมานานหลายวัน
อากาศเย็นพัดเข้ามาเมื่อพวกเขาถูกพาตัวออกสู่ด้านนอกจนร่างกายสั่นสะท้านอย่างไม่สามารถควบคุมได้
การเคลื่อนขบวนทาสเริ่มขึ้นในเช้าตรู่ อูม่ายืนอยู่หน้าขบวนในฐานะผู้นำพิธี นางสวมผ้าคลุมยาวสีดำประดับด้วยกระดูกสัตว์ ทาสทั้งหมดถูกมัดมือไว้ด้วยเชือกหยาบ หนึ่งในนั้นคือวิคตัสที่ยืนอยู่ตรงกลาง
ขบวนถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยการผลักดันของนักรบเผ่าดอร์ส ความเงียบทำให้แม้แต่เสียงกระซิบก็ฟังดูดังไปหมด
"พวกเราจะไปที่ไหนกัน?" วิคตัสถามเสียงเบา ขณะหันไปมองลีนอสที่เดินเคียงข้าง
"ไปยังลานพิธีกรรม....อาจจะอยู่ไม่ไกลจากป่าวาลดัล "
ระหว่างทางขบวนได้ผ่านต้นไม้ใหญ่ที่มีเถาวัลย์สีดำพันกันแน่น กิ่งก้านของมันดูเหมือนจะขยับยื่นออกมาจับทุกคนที่เดินผ่านไว้
วิคตัสสังเกตเห็นดอกไม้สีขาวแปลกๆที่ดูเหมือนจะคุ้นเคย พวกมันกระพริบแสงสีเงินจาง ๆราวกับกำลังเตือนถึงอันตรายบางอย่าง
" ..ลีนอสเจ้าเห็นแสงแปลกๆนั่นมั้ย ?? "
"ตรงไหนกัน? นั่นก็แค่ดอกไม้ป่าทั่วไปไม่ใช่หรอ?? "
วิคตัสเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับเสียงต่ำ "ไม่...เหมือนมันกำลังเตือนอะไรบางอย่าง"
ลีนอสหยุดเดินชั่วขณะ ก่อนจะหันมามองวิคตัสด้วยสีหน้าที่ยังคงไม่เข้าใจ
"บางทีเจ้าก็คิดมากไป เอาเถอะ...เราไม่ควรหยุดอยู่ที่นี่นานรีบเดินเร็วเข้าเจ้ากำลังทำให้พวกเขาสงสัย "
...