Chereads / The High Priest / Chapter 21 - บทที่ 21 : ผู้แทรกแซง

Chapter 21 - บทที่ 21 : ผู้แทรกแซง

"เจ้าคิดจริงๆหรอว่าจะสามารถควบคุมชีวิตของผู้อื่นได้...? "

วิคตัสยิ้มอย่างท้าทายขณะที่จ้องมองชายผู้แข็งแกร่งตรงหน้า ดวงตาสีสวยที่อาบย้อมไปด้วยเลือดแต่กลับไม่มีความเกรงกลัวใดๆซ่อนอยู่

...

.

โอ้ ..ชีวิตของทาสตัวน้อยจบสิ้นแล้ว

เมื่อทุกคนต่างคิดไปในทิศทางเดียวกันและพร้อมเตรียมรอชมการแสดงที่น่าตื่นเต้นอย่างใจจดจ่อ ทันใดนั้นความประหลาดใจระลอกใหม่ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

มีดกระดูกขนาดใหญ่ยกขึ้นสูงเหนือศีรษะก่อนจะตัดลงภายในครั้งเดียว

ฉึก!

เสียงมีดกระดูกแหวกอากาศดังวาบ รวดเร็วและเฉียบขาดราวสายฟ้าฟาดสับลงไปยังเชือกที่รัดข้อมือของวิคตัสจน บางคนที่ยืนมองถึงกับสะดุ้งถอยหลัง ร่างเล็กๆของทริย่าถึงกับยกมือปิดปากกลั้นเสียงหวีดร้องเธอกัดฟันจนแน่น

ไคออร์สหรี่ตาลงเขาขยับเข้ามากระชากเส้นผมของวิคตัสอย่างรุนแรง มือใหญ่หยาบกร้านที่เต็มไปด้วยรอยแผลยกศีรษะของวิคตัสให้เผชิญหน้ากับตนเอง

"ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะสืบหาความจริงจากพวกนอกรีตอย่างเจ้า "

"ข้าควรควักหัวใจกับลูกตาที่น่าเกลียดคู่นี้มาประดับสัตว์สงครามเพื่อไม่ให้มันสูญเปล่า น่าเสียดายที่ท่านนักบวชไม่ยอมเห็นด้วย .."

ไคออร์สไม่รอให้เขาตอบ ร่างใหญ่โตของเขาจับแขนวิคตัสไว้แน่น ก่อนจะเหวี่ยงเขาไปกระแทกกับเสาหินบนลานพิธีเสียงดัง

เสียงกระแทกรุนแรงดังก้องจนเด็กบางคนที่เฝ้าดูถึงกับหลับตา อูรอคน้ำตาไหลออกมาด้วยความหวาดกลัว ร่างของวิคตัสร่วงลงพื้นดังตุบเขาอ้าปากก่อนกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มสีแดงเปรอะบนพื้นดิน

รสชาติของเลือดและความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายทำให้เขารู้สึกถึงขีดจำกัดของตัวเองเสียงหัวเราะเยาะจากผู้คนดังก้องอยู่ในหูขณะที่สายตาของวิคตัสค่อยๆพล่ามัวอีกครั้ง

....

..

..

ความรู้สึกถึงน้ำหนักตัวที่หายไปกะทันหันเหมือนหินที่ถูกโยนลงสู่บ่อน้ำลึก ร่างกายลอยละล่องในความว่างเปล่า

ดวงตาสีมรกตค่อยๆกวาดมองไปรอบตัว ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง ถ้ำสีทมิฬที่คุ้นตา ทุกสิ่งดูเหมือนจะซ้อนทับกับภาพในความทรงจำ เขาหยุดเพียงชั่วครู่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้และรีบวิ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

ถ้ำลึกเข้าไปเรื่อยๆจนความมืดเข้าปกคลุมแต่เขาไม่สนใจที่จะจุดไฟหรือหาแสงสว่าง

ผลึกแร่สีม่วงเข้มส่องประกายวาววับในความมืดราวกับดวงตาของสัตว์ร้าย มันโผล่ขึ้นมาตามขอบผนังและเพดานถ้ำในรูปทรงแปลกๆที่ดูไม่เป็นระเบียบ บางก้อนมีขนาดใหญ่พอๆกับหัวคน บางก้อนเล็กจิ๋วเหมือนเศษกระจก

แต่สำหรับวิคตัสสิ่งเหล่านั้นไม่มีค่าอะไรเลย เขาไม่แม้แต่จะเหลียวมองเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เขากำลังตามหาตอนนี้

วิคตัสรีบหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มืดมิดภายในถ้ำเพื่อไม่ให้ไปสัมผัสเข้ากับสิ่งที่คอยเฝ้าระวังอยู่ในถ้ำและมุ่งหน้าไปด้านในเพื่อยืนยันบางสิ่ง

ในเงามืดนั้น...ยังคงมีเงาของชายคนหนึ่งถูกตรึงไว้ด้วยโซ่หนาที่เปื้อนสนิมห้อยลงมาจากเพดานของถ้ำ อักขระสีดำพันรอบข้อมือและลำคอจนดูเหมือนเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไร้เรี่ยวแรง

"เจ้า…อีกแล้วรึ?"

ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นชายลึกลับพูดขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

"ข้าต้องการความช่วยเหลือ! " วิคตัสรีบพูดอย่างไม่อ้อมค้อมทันที

ชายด้านบนเอียงศีรษะเล็กน้อยเสียงโซ่ขยับตามการเคลื่อนไหวช้าๆของเขา ดวงตาจ้องตรงมาพยายามเจาะลึกลงไปในหัวใจของวิคตัส

" ทำไมข้าต้องช่วยเจ้าด้วย? "

ประโยคนั้นราวกับมีน้ำหนักกดทับลงบนไหล่ของวิคตัส แต่เขารู้ดีว่าไม่มีเวลาให้ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว

"เพราะข้ารู้ว่าท่านทำได้ ข้าเคยเห็นท่านใช้พลังนั่น... ครั้งนี้มันต่างออกไป! ข้าถูกจับโดยพวกชนเผ่าที่มีชื่อว่า ดอร์ส พร้อมกับทาสคนอื่นๆ พวกมันจะสังเวยเราให้กับบางสิ่งที่ข้ารู้ว่าไม่ใช่เทพสูรอะไรนั่นแน่ ๆ! "

เสียงของวิคตัสเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ชีวิตของเขาและทุกคนอยู่ที่การตัดสินใจของชายคนนี้

"ยังมีคนโง่ที่เชื่อเรื่องพวกนั้นอยู่อีกหรอ? หึ สมกับเป็นพวกมันจริงๆ ..แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าจะต้องช่วยเจ้าอยู่ดี "

น้ำเสียงเยาะเย้ยเอ่ยขึ้น

วิคตัสยืนนิ่งท่ามกลางความเงียบในถ้ำ ความหวังสุดท้ายได้พังทลายลงต่อหน้าต่อตา เขาหยุดหายใจสักครู่ก่อนทิ้งตัวลงกับพื้นหินที่เย็นเฉียบไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัว

"ข้า...ขอโทษ..." เสียงวิคตัสแผ่วเบาราวกับพึมพำกับตัวเอง ขอโทษที่ทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นความยุ่งเหยิงมาจนถึงจุดนี้

อีกฝ่ายเพียงคิ้วขมวดและจ้องมองไปยังวิคตัสด้วยสายตาที่ไม่อาจบอกความรู้สึกได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการช่วยเหลือเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่พลังที่กักเก็บไว้ได้ถูกใช้ไปเกือบหมดจากเหตุการณ์ครั้งก่อน

เอคารอน พอจะคาดเดาได้ถึงการกระทำของชนเผ่าดอร์สจากพิธีกรรมนองเลือดที่พวกเขากำลังลงมือ อาจเกี่ยวข้องกับสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาหรือจะพูดให้ชัดเจนกว่านี้คือ

...

..

.

.. ตั้งแต่ที่เด็กคนนี้ปรากฏตัว

เป็นเวลานานหลายร้อยปีตั้งแต่เกิดสงครามในป่าวาลดัล การผนึกเส้นทางเพื่อปิดกั้นผู้คนภายนอก แม้แต่พลังวิญญาณของนักบวชมากมายก็ไม่อาจเล็ดรอดเข้ามาในดินแดนของคุกกักขังนี้ได้

สำหรับชนเผ่าฝั่งตะวันออกพวกเขาหวาดกลัวพลังของสัตว์อสูรที่อยู่ในป่าอาถรรพ์มีเพียงผู้ที่อยู่เบื้องหลังความจริงเรื่องราวทั้งหมดเท่านั้นที่มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนที่สุด ซึ่งหนึ่งในไม่กี่คนที่อยู่เหตุการณ์ครั้งนั้นถูกขังอยู่ในถ้ำแห่งนี้

เด็กคนนี้มีพลังมากขนาดไหนกัน?? ถึงสามารถทะลุผ่านมิติฝันที่เต็มไปด้วยพลังป้องกันของนักบวชระดับสูงจากวิหารบาร์บาโรสได้อย่างง่ายดาย?

.. ...ข้าจะทำอย่างไรดี จะปล่อยให้พวกชนเผ่าด้านนอกจัดการเขาแบบนี้ไม่ได้!!

เอคารอน ละจากความคิดมากมายที่วนเวียนในสมอง เขาพยายามเรียบเรียงคำพูดเพื่อหาวิธีให้อีกฝ่าย แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรเด็กตรงหน้าก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางแข็งกร้าว

วิคตัสถอนหายใจหนักๆและปัดฝุ่นตามตัว มือของเขาเลื่อนไปยังบาดแผลที่มีร่องรอยของเลือดที่หยุดนิ่ง

"ทำไม...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ทุกที? ข้าแค่ต้องการอิสรภาพแค่ต้องการมีชีวิตอยู่อย่างเงียบสงบ แต่ดูเหมือนเทพแห่งความตายคงไม่เห็นด้วย " เสียงของเขาแผ่วเบา เหมือนพยายามหาคำตอบที่ไม่มีทางเป็นไปได้

วิคตัสยกมือขึ้นเช็ดหน้าด้วยท่าทางเหนื่อยล้าทั้งจากการสูญเสียที่ไม่มีวันหวนคืนและการเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่ดูเหมือนจะไร้จุดหมาย

"ข้าเคยคิดว่า... ถ้าต่อสู้ไปเรื่อยๆมันจะต้องมีทางออกซักวันแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นข้าไม่สามารถต่อสู้กับโชคชะตาได้จริงๆ "

" งั้นเรามาทำให้มันจบเร็วขึ้นอีกนิดเถอะ ข้าเองก็เหนื่อยที่จะดิ้นรนต่อไปแล้วเหมือนกัน..! "

เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นพร้อมกับพลังที่แผ่ออกมาจากตัวเขา

พลังที่มองไม่เห็นเริ่มแผ่กระจายจากร่างของเขาจนอากาศรอบตัวสั่นไหว ความมืดที่เคยปกคลุมถ้ำเหมือนถูกแสงสีม่วงอ่อนแหวกออก

ถ้อยคำคาถาโบราณที่ยาวเหยียดหลั่งไหลออกมาจากปากของวิคตัสเหมือนเสียงกระซิบจากโลกอื่นที่ทับซ้อนกันหลายชั้น

เอคารอนขมวดคิ้วแน่น เขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติแต่ไม่ทันจะเอ่ยคำใดออกมา มือของวิคตัสก็สะบัดไปตามทิศทางต่างๆอย่างแม่นยำ

วูมมมมม!

ลำแสงสีม่วงก่อตัวขึ้นรอบตัววิคตัส วงเวทย์เรืองแสงจางๆปรากฏขึ้นใต้เท้าของเขาก่อนหมุนช้าๆเหมือนกลไกนาฬิกาที่เริ่มเดิน แสงสีม่วงนั้นเริ่มกลายเป็นเส้นบางๆเคลื่อนไหวไปในอากาศพวกมันเลื้อยอย่างแผ่วเบาคล้ายใยแมงมุมขนาดยักษ์ที่แผ่กว้างออกไปทุกทิศทาง

ด้วยจำนวนมากมายของ 'กรงขัง' เขาจึงไม่อาจทำลายพวกมันทั้งหมดได้ในครั้งเดียว วิคตัสรู้ดีว่าการโจมตีครั้งนี้อาจไม่พอที่จะทำลายพลังของโซ่ทุกเส้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาเชื่อว่าการก่อกวนนี้จะสร้างความปั่นป่วนได้ไม่มากก็น้อย

"ตระกูลแม่มดของเราไม่เคยติดค้างใครทั้งความแค้นและการช่วยเหลือ ทุกสิ่งมักถูกตอบแทนกลับไปอย่างสมน้ำสมเนื้อ..."

เสียงของเขาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำขณะที่มือทั้งสองยังคงร่ายอักขระในอากาศ วิคตัสขมวดคิ้วแน่น เหงื่อซึมลงมาตามไรผมพลังที่ใช้ไปเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก

แสงที่หมุนรอบตัวเขาค่อยๆเปลี่ยนจากลำแสงบาง เป็นวงกลมขนาดใหญ่ อักขระเรืองแสงบนโซ่ตรวนเริ่มแผดเสียงแหลมสูงกรีดร้องดังก้องไปทั่วถ้ำ

"เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!"

โซ่ที่เคยนิ่งสนิทกลับเริ่มดิ้นรนเหมือนมีชีวิต มันพยายามสะบัดตัวออกจากการคุกคามของเวทย์สีม่วง เสียงของอักขระคำสาปที่สลักอยู่บนโซ่กรีดร้องแหลมสูงอย่างเจ็บปวด

"ข้าขอโทษด้วยที่ปล่อยท่านออกไปไม่ได้…แต่ข้าหวังว่าการลงมือครั้งนี้อาจพอมีประโยชน์บ้าง…ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจจากความช่วยเหลือครั้งก่อน..."

"เจ้า... เจ้าจะตายถ้าทำแบบนี้!" เอคารอนตะโกนสุดเสียงจนแตกพร่า

"เงียบน่า..." วิคตัสหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า

วิคตัสตั้งสมาธิเพื่อรวมพลังเวทย์ให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การลงมือครั้งนี้ไม่เพียงแค่ช่วยเหลือแต่ยังเป็นการตอบแทนความน้ำใจที่เขาเคยได้รับมา หวังว่าสิ่งที่เขาทำครั้งนี้จะไม่สูญเปล่า

หากพลังเวทย์ในร่างกายถูกถ่ายเทออกไปจนเกินขีดจำกัด ด้วยคาถาโบราณที่ซับซ้อนเช่นนี้จะดึงเอาจิตวิญญาณของพ่อมดออกมาทดแทน เมื่อร่างกายสูญเสียพลังเหล่านั้นไปก็ไม่ต่างจากเปลือกไม้ที่ว่างเปล่า

วิคตัสยอมรับว่าเขาคิดแผนนี้ขึ้นมาด้วยอารมณชั่ววูบ แต่เมื่อพิจารณาอีกทีก็ไม่มีอะไรน่าเสียใจไปกว่าการถูกกลืนกินจากพลังชั่วร้ายของหญิงชราที่รออยู่ด้านนอกเหมือนกัน

ในเมื่อสุดท้ายวิญญาณต้องสูญสลายไปเหมือนกัน ...ทำไมไม่ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นล่ะ?

คำถามนี้ดังก้องอยู่ในใจเขาขณะที่ดวงตาส่องประกายด้วยความชัดเจน

โซ่ตรวนคำสาปถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะเพื่อกักขังชายคนนี้ไว้ มันเชื่อมโยงกับผนังของถ้ำด้านบนอย่างแน่นหนาเหมือนกับเป็นส่วนเดียวกันกับถ้ำขนาดใหญ่และยังมีจำนวนมากเกินกว่าจะจัดการได้หมดในเวลาที่เร่งรีบเช่นนี้

แม้พลังเวทย์ของวิคตัสที่โจมตีจะเป็นไปอย่างช้าๆ แต่สิ่งนี้จะคล้ายกับไวรัสตัวร้ายที่ค่อยๆแพร่กระจายออกไปเวลาที่เหลือไม่อาจรอคอยได้ เขาต้องรีบดำเนินการก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

พลังเวทย์พุ่งทะยานจากฝ่ามือของวิคตัส เข้าชนโซ่อักขระสีดำที่ลอยอยู่กลางอากาศ เสียงของพลังที่ต่อสู้กันดังก้องจนห้องโถงสั่นสะเทือนในที่สุดพลังเวทย์ของเขาก็ทำลายกรงอักขระลงได้ หยดเม็ดของพลังสีดำกระเด็นรอบๆ ขณะที่ต้นอ่อนของหญ้าสีเขียวสดใหม่แผ่ขยายทั่วพื้นที่ ราวกับการเกิดใหม่จากความมืดมิด

วิคตัสหันไปมองคนตรงหน้า ดวงตาซีดเซียว คิ้วขมวดแน่นด้วยความเจ็บปวดราวกับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขากัดฟันแน่น

" หยุดเถอะ! "

" โปรดหยุดก่อน! "

เสียงทั้งสองดังขัดจังหวะขึ้นพร้อมกันอย่างกระทันหันทำให้วิคตัสตกใจจนเสียสมาธิ แววตาเบิกกว้างขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหวของมือพลันหยุดชะงักราวกับมีใครกดปุ่มหยุด

อักขระเวทย์ที่ลอยอยู่กลางอากาศบิดเบี้ยวผิดรูป เส้นสายของมันกระตุกแรงราวกับเชือกที่ถูกดึงจนขาด

ปัง!!

แรงระเบิดสะท้อนออกมาจากจุดกึ่งกลางของพลังเวทย์พวยพุ่งออกไปทุกทิศทางราวกับคลื่นระลอกใหญ่ ปะทะเข้าใส่วิคตัสจนร่างของเขาปลิวกระแทกกำแพงจนเกิดเสียงดังสนั่น

วิคตัสล้มลงกับพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียว แม้ในช่วงสุดท้ายเขาได้รีบเปลี่ยนการเคลื่อนไหวเพื่อยับยั้งคาถาแต่ผลของฟันเฟืองที่ย้อนกลับยังคงตกกระทบใส่เขาอยู่ดี

แสงประกายในดวงตาสีเขียวพยายามจ้องมองไปยังเงาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางฝุ่นฟุ้งด้วยความตื่นตระหนก ทันทีที่หมอกควันจางหายไปโถงของถ้ำที่เคยราบโล่งตอนนี้มีรูปปั้นน้ำแข็งแปลกๆตั้งอยู่ไม่ขยับเขยื้อน

รูปปั้นตรงหน้าเปล่งประกายแสงสีฟ้าจางๆ พร้อมไอเย็นจากน้ำแข็งที่ปล่อยออกมาซึ่งดูขัดแย้งกับบรรยากาศภายในถ้ำเป็นอย่างมาก

"..อะไรน่ะ..!!..."

บรรยากาศเงียบงันไม่มีการเคลื่อนไหวจากรูปปั้น ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของสิ่งมีชีวิตใด วิคตัสรู้สึกคล้ายกับมีสายตากำลังจ้องมองเขาผ่านรูปปั้น

" นั่นไม่ใช่หนทางที่จะช่วยเขา สิ่งสำคัญตอนนี้คือพาท่านหนีจากชนเผ่าดอร์สให้ได้ก่อน!! "

วิคตัสสะดุ้งขึ้นดวงตาสีเข้มเบิกกว้าง เขาหันไปมองรูปปั้นน้ำแข็งด้วยความตื่นตระหนก

..

.... รูปปั้นพูดได้ด้วย!!

" นักบวชเคียโซ ? "

สายตาคมจ้องมองผลึกน้ำแข็งแปลกตาที่เพิ่งปรากฎตัวขึ้นก่อนจะคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้ในทันที

" ดีใจที่ได้พบอีกครั้ง ท่านเอคารอน อีกไม่กี่เดือนจะครบรอบการโคจรของจันทร์สีม่วงครั้งที่ 13 ตอนนี้ฤดูหนาวใกล้มาเยือนแล้ว ..."

การทักทายที่ฟังดูคุ้นเคยมาพร้อมกับคำบอกเล่าที่ราวกับอ่านใจของเอคารอนได้อย่างแยบยล คำถามมากมายต่างผุดขึ้นมาอย่างไม่จบสิ้นในจิตใจของเขา

"เจ้ายังคงเฝ้ามองจากที่นั่น...แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ ? "

" เป็นสิ่งเดียวที่พอทำได้นอกจากการอธิฐาน และยังมีบางสิ่งที่ข้าต้องเฝ้าดู..."

'ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนเก่าของ 'คนรู้จัก' แสดงว่าไม่ใช่ศัตรูสินะ?'

วิคตัสถอนหายใจพร้อมกับลดความระมัดระวังลง แม้คาถาจะถูกขัดขวางระหว่างทางแต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมไม่อาจย้อนกลับได้ เวทมนตร์ที่ถูกร่ายออกมาก่อนหน้ายังคงทำงานได้อยู่ชั่วขณะ

เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายใหม่เกิดขึ้น วิคตัสจึงรีบปรับคลื่นพลังเวทย์ที่วุ่นวายในตัวเองทันที พลังจราจลที่เกิดจากการยกเลิกคาถาโดยไม่ได้ตั้งเช่นนี้มีความอันตรายเป็นอย่างมากต่อพ่อมดแม่มด หากไม่รีบจัดการพลังให้กลับคืนสู่ความสงบทันเวลา เวทย์มนตร์ในตัวจะปั่นป่วนคล้ายคลื่นพายุในทะเลก่อนระเบิดตัวเองออกมา

ฟู่ววว อันตราย อันตราย จริงๆ!

ขณะนั้น ดูเหมือนผลึกน้ำแข็งจะค่อยๆขยับตัวเล็กน้อยและหันมาจ้องมองวิคตัสก่อนส่งเสียงเบาๆที่ชัดเจน

"ผู้มีพลังเอ๋ย...หากท่านต้องการความช่วยเหลือ ข้าพอมีหนทางบางอย่าง"

วิคตัสมองด้วยความประหลาดใจ

" เอ่อ...แล้วท่านคือใครกัน?"

"ตัวตนของข้าไม่สำคัญพอที่จะพูดถึง เราต้องแก้ไขวิกฤตที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้เสียก่อน ดูเหมือนว่าเราจะมีศัตรูร่วมกัน"

"ศัตรู? " วิคตัสเลิกคิ้ว

" ผู้ที่ทำพิธีสังเวยครั้งนี้คือแม่มดแห่งเผ่าดอร์ส เธอมีแผนการจะดูดกลืนพลังของท่านและทำให้กลายเป็นเครื่องมือของพวกเขา . .."

..

.

..

ระ..ร้ายยกาจจ !!!

" รู้จักเธอด้วยหรอ! แถมแม่มดเฒ่านั่นยังต้องการพลังข้าอีกด้วย? ว่าแล้วเชียวทำไมพวกมันถึงดูแปลกๆชอบกล "

วิคตัสรู้สึกกดดันก่อนเหล่ตามองรูปปั้นแปลกที่ส่งเสียงออกมาได้

"แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าท่านมาเพื่อช่วยจริงๆ? เราไม่รู้จักกันซักหน่อย ..แถมยังอยู่ในรูปปั้นประหลาดอีกด้วย? นี่ดูไม่น่าเชื่อถือกว่าอีก!! "

เอคารอน : ....

เคียโซ : .....

..

.