Chereads / The High Priest / Chapter 17 - บทที่ 17 : บทพิพากษา

Chapter 17 - บทที่ 17 : บทพิพากษา

ซีเรน ( Seren ) หรือที่ชนเผ่าเรียกว่า "ผู้ต้องคำสาป" เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสาปแช่งด้วยพลังความมืดมิดจากยุคโบราณ

ร่างของซีเรนนั้นดูคล้ายกับมนุษย์แต่ดวงตาของมันถูกแทนที่ด้วยความมืดที่ดำสนิทราวกับหลุมไร้จุดสิ้นสุด ผิวทั้งตัวปกคลุมด้วยรอยเส้นแผลสีดำเหมือนเส้นเลือดที่ผุดขึ้นจากภายในข้อมือจะกลายเป็นกรงเล็บที่ผิดรูปและอันตราย

เมื่อคำสาปเติบโตพวกซีเรนจะลืมสัญชาตญาณเดิมของมนุษย์ที่เคยมีมาทั้งหมด พวกมันจะสูญเสียความรู้สึกด้านอารมณ์เหลือเพียงการกระทำและจิตใจที่ถูกครอบงำโดยคำสาป

การคุกคามนั้นคล้ายกับอสูรทมิฬสัตว์ร้ายที่ถูกกลืนกินจากความมืดเสียงของพวกมันเหมือนคำสาปที่อัดแน่นไปด้วยความกระหายเลือดที่พร้อมกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า

การติดคำสาปของซีเรนเริ่มต้นจากการถูกโจมตีด้วยพลังความมืดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สัญญาณของคำสาปจะปรากฏขึ้นในรูปแบบของเงามืดที่ลอยวนเวียนอยู่รอบตัวผู้ที่ถูกสาปแช่งโดยไม่รู้ตัว

ในช่วงแรกจะไม่ทำให้ผู้ถูกสาปรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงโดยตรงแต่พลังแห่งคำสาปจะเริ่มแทรกซึมเข้าไปในร่างกายทีละน้อยผ่านทางลมหายใจ เลือด หรือแม้แต่พลังวิญญาณในร่างกาย

เมื่อเวลาผ่านไปคำสาปจะเริ่มแสดงร่องรอยบนตัวอย่างชัดเจน ผิวหนังของเหยื่อจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีดำคล้ำจากนั้นรอยแผลที่ดูเหมือนเส้นเลือดสีดำจะเริ่มนูนเด่นขึ้นจากภายใน

เสียงที่ดังจากภายในลำคอเริ่มกลายเป็นเสียงคำรามที่ไม่ใช่ของมนุษย์และจิตใจของผู้ที่ถูกคำสาปจะเริ่มหลุดออกจากกรอบความเป็นมนุษย์กลายเป็นสัตว์ร้ายที่เสียการควบคุม

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการติดคำสาปคือ "ช่วงสูญเสียสัญชาตญาณ" ซึ่งจะเกิดขึ้นในระยะสุดท้ายจนทำให้ความรู้สึกของการเป็นมนุษย์ค่อยๆหายไป ในที่สุดร่างกายและจิตใจจะถูกครอบงำโดยความมืดจนกลายเป็น ซีเรน สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่ไม่เหลือความเป็นมนุษย์ในตัวอีกต่อไป..กลายเป็นอสูรกายที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือด

ในกระโจมของนักบวชหญิงชราตอนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่เย็นยะเยือก กลิ่นสมุนไพรและน้ำมันระเหยลอยคละคลุ้งไปทั่วจนแทบหายใจไม่ออกสัญลักษณ์และเครื่องรางแปลกๆถูกแขวนเรียงรายบนแท่นบูชาด้านหลังที่นั่งของเธอ

เสียงกระซิบบทสวดเป็นภาษาที่วิคตัสไม่คุ้นเคยดังขึ้นจากปากของอูม่าที่ยืนอยู่ตรงกลางวงกลมพิธีกรรมของเธอ บนพื้นมีผงสีขาวที่ถูกวาดเป็นรูปวงกลมและเส้นสายสลับซับซ้อนอย่างประณีต

วิคตัสยืนอยู่ตรงกลางวงกลม ความรู้สึกของเขาตึงเครียดไปทั่วร่างกาย ทุกการเคลื่อนไหวถูกจำกัดด้วยเชือกที่มัดไว้แน่นกับมือและข้อเท้า เหมือนกับว่าเขาถูกผนึกไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวได้ตามใจ

แม้จะพยายามขยับแต่พลังในตัวเขายังคงถูกบีบบังคับอยู่ภายใต้การควบคุมของเชือกครอบงำที่แน่นหนา

"..การที่เจ้ารอดออกมาจากป่าวาลดัลได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้ ข้าสงสัยนักว่าเจ้ามีร่องรอยของคำสาปซีเรนอยู่หรือไม่ "

อูม่ากล่าวคำถามที่แฝงไปด้วยความสงสัยขณะที่เธอจับไม้คทาไม้ดำที่ประดับด้วยร่างแปลกประหลาดหมุนวนในมือ เสียงแหบพร่าของนางกรีดผ่านความเงียบงันของกระโจม

วิคตัสจ้องมองหญิงชราอย่างระแวดระวังก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความสับสน

" ....ข้า....ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านกำลังพูด "

อูม่าแสยะยิ้มเย้ยหยัน ริมฝีปากที่ซีดเผือดเผยเห็นฟันสีเหลืองน่าขยะแขยงของนาง

"โอ้...ฟังมันพูดสิ! ภาษาแปลกๆนั่น! พวกเจ้าจงมองไว้! มองดูให้ดีว่าคนผู้นี้เป็นสิ่งใด! นี่อาจเป็นร่องรอยของ ผู้แปดเปื้อน! "

เสียงพึมพำด้วยความสงสัยและหวาดกลัวดังแทรกมาจากผู้คนที่ล้อมวงดูพิธีกรรมในขณะที่อูม่ายกคทาขึ้นชี้ไปยังวิคตัส

"พวกผู้แปดเปื้อนมักเป็นเช่นนี้เสมอ มันจะไม่รู้ตัวจนกว่าคำสาปจะกลืนกินมันทั้งร่าง! แต่ไม่เป็นไร วันนี้ข้าจะทำให้ทุกอย่างกระจ่างแก่พวกเราเอง!"

อูม่ายกคทาขึ้นเหนือหัวก่อนพึมพำในลำคอจากนั้นร่างแปลกประหลาดที่ประดับอยู่บนไม้เท้าก็เริ่มบิดตัวราวกับมีชีวิต

ดวงตาสีแดงปรากฏขึ้นก่อนที่แสงจากคทาเก่าๆสีดำจะพุ่งออกมาราวกับเปลวไฟมุ่งตรงเข้าหาเขาขณะที่เสียงหัวเราะเย้ยหยันของอูม่าก้องอยู่ในอากาศ

" เจ้าจะไม่อาจซ่อนตัวอีกต่อไป! ความจริงของมันจะปรากฏต่อทุกสายตาของชนเผ่าดอร์สแล้วเราจะตัดสินกันว่าเจ้า....คือสิ่งใด! "

ร่างกายสของวิคตัสสั่นสะท้านจากแรงกดดันที่มองไม่เห็น ขณะที่แสงจากคทาสาดเข้าหาเขาเหมือนสายฟ้าที่พุ่งตรงลงมา

ร่างของเขาแข็งค้างเหมือนถูกกดด้วยแรงบีบอัดมหาศาลที่กำลังบดขยี้กระดูกทุกชิ้นในร่างกาย มีเสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นในหัวราวกับวิญญาณแห่งความทุกข์ทรมานที่โหมกระหน่ำ

อูม่า หลับตาลงช้าๆริมฝีปากของนางขยับเบาๆ คล้ายท่องคาถาที่ไร้เสียง แสงจากคทาของนางลามไปทั่วตัววิคตัสเหมือนตาข่ายที่กำลังตรวจจับทุกส่วนในร่างเขา ความเงียบอันที่น่าอึดอัดเข้าปกคลุมผู้คนในกระโจม

ทันใดนั้นอูม่าก็ลืมตาขึ้นดวงตาของนางฉายแววสับสน ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราด

" เป็นไปไม่ได้!...ไม่มีร่องรอยคำสาปซีเรนอยู่ในตัวมัน! "

เสียงพึมพำจากฝูงชนดังระงมขึ้นอีกครั้ง

หัวหน้าเผ่าเดอลุสยืนเงียบอยู่สักพักก่อนหันไปมองหน้าไคออร์สด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย จากนั้นสายตาของเขาก็หันกลับไปจ้องมองวิคตัสด้วยความหวาดระแวงที่ทวีคูณยิ่งขึ้น

"บางสิ่งในตัวมัน…ซ่อนเร้นยิ่งกว่าที่ข้าคาดไว้ มันอาจหลบเลี่ยงสายตาของเรา แต่นั่นไม่ได้แปลว่ามันเป็นผู้บริสุทธิ์!"

เธอกระแทกคทาลงกับพื้นอีกครั้ง

"ข้าจะหาความจริงจนกว่าทุกอย่างจะกระจ่าง! จำไว้ ผู้ที่รอดจากป่าวาลดัลไม่มีทางไร้มลทิน "

คำพูดของเธอดูเหมือนจะได้ตัดสินวิคตัสไปแล้ว เขารู้สึกถึงการคุกคามที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดนั้น มันไม่ใช่แค่การสอบสวนแต่เป็นการตรวจสอบที่เต็มไปด้วยเจตนาร้าย

อูม่า หันไปสั่งทาสที่ยืนอยู่ใกล้ๆด้วยเสียงเย็นชา

"ถอดชุดของมันออก! ข้าจะค้นหาตราบาปคำสาปซีเรน! บางทีอาจมีร่องรอยซ่อนอยู่ในตัวมัน "

ท่าทางของทาสเหล่านั้นไม่มีการลังเลแต่อย่างใดยังคงทำตามคำสั่งก่อนทอดมองวิคตัสโดยไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจใดๆ

วิคตัสรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่สัมผัสบนผิวหนังของเขา ขณะที่ทาสเริ่มถอดชุดของเขาอย่างไร้มนุษยธรรมทุกสัมผัสทำให้เขารู้สึกถึงความอับอายที่ถูกปฏิเสธความเป็นมนุษย์แต่เขายังคงพยายามข่มใจไม่ให้แสดงความอ่อนแอออกมา

แม้กระทั่งคำพูดที่พยายามจะสื่อออกไปก็ไม่สามารถช่วยให้เขาหลุดพ้นจากการเป็น "ซีเรน" ในสายตาของคนเหล่านี้ได้

ดูเหมือนด้วยอารยะธรรมและภาษาที่แตกต่างกันทำให้คำที่พูดออกไปเป็นเหมือนคำสาปในหูของคนป่าเถื่อนพวกนี้ ?

นักรบของชนเผ่าที่ยืนรอบๆเริ่มถอยห่างไปทีละคน ดวงตาของพวกเขาจับจ้องมาที่วิคตัสอย่างหวาดระแวง แม้แต่ทาสที่ยืนใกล้วิคตัสบางคนก็เริ่มแสดงสีหน้ากังวล

อูม่าจ้องมองวิคตัสอย่างไม่ลดละ สายตาของนางเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจขณะที่ตรวจสอบทุกตารางนิ้วบนร่างกายของเขาแต่กลับไม่พบสิ่งใดที่ยืนยันคำสาปซีเรน

ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อยพึมพำเบาๆ ราวกับไม่อยากยอมรับความจริง

" ไม่มีร่องรอย...ไม่มีคำสาป "

เสียงพึมพำของฝูงชนที่เฝ้ามองรอบๆดังขึ้นอีกครั้ง บางคนมีความสงสัยบางคนก็เต็มไปด้วยความตกใจ

ขณะที่วิคตัสยังคงยืนนิ่งร่างกายเปลือยเปล่าของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลและฝุ่นดินแต่ในสายตาของชนเผ่าเขากลับเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้

อูม่าหันกลับไปมองหัวหน้าเผ่าเดอลุส

" ขังมันไว้จนกว่าพวกเราจะตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไรกับมัน! " นางกล่าวด้วยเสียงแข็งกร้าว ก่อนกระแทกคทาลงกับพื้นจนเกิดเสียงสะท้อน

ทาสที่ล้อมรอบวิคตัสรีบลากเขาออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมทาสคนอื่นๆที่ถูกพาตัวมา วิคตัสพยายามฝืนตัวเองให้ก้าวเดินรับรู้ถึงแรงบีบที่หนักหน่วงบนแขนของเขาขณะที่ดวงตาทุกคู่จ้องมองมาราวกับเขาเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ต้องกำจัด

เสียงพูดคุยดังขึ้นในกระโจมอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงจากคบเพลิงนั้นลุกโชนไม่มีทีท่าว่าจะดับลง

ท่ามกลางการถกเถียงที่คุกรุ่น หัวหน้าเผ่าดอลุสยังคงนิ่งเงียบจ้องมองไปที่อูม่าและผู้ที่ยืนอยู่รอบๆ

"เราไม่สามารถตัดสินมันเพียงแค่จากสิ่งที่เห็นตอนนี้ได้ หากปล่อยให้มันหลบหนีไปไม่มีใครรู้ว่ามันจะสร้างปัญหาอะไรได้บ้าง "

อูม่าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ท่าทางที่แสดงออกชัดเจนว่ามั่นใจในสิ่งที่เธอทำนั้นถูกต้องก่อนส่งเสียงเย้ยหยัน

"...มันอาจจะยังไม่รู้ตัวเองว่าเป็นผู้แปดเปื้อน หรือใช้พลังบางอย่างเพื่อปกปิดคำสาปทำให้เราไม่อาจมองเห็นได้ แต่ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้มันเป็นภัยต่อเผ่าของเรา !! "

เสียงกระซิบเริ่มดังกระจายไปทั่วกระโจมผู้คนต่างเริ่มพูดถึงวิคตัสอย่างเงียบๆ

"ตัวตนเด็กคนนี้นั้นไม่ธรรมดามีสิ่งชั่วร้ายซ่อนอยู่ภายในเกินหยั่งรู้ เมื่อเขาเข้ามาในนี้ความมืดที่ถูกปิดตายเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง! "

คำพูดของอูม่าหยุดการสนทนาในกระโจมลงทันที

ทุกคนจ้องมองไปที่เธอด้วยความตกใจ ไคออร์สรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในใจเขารู้ว่าเผ่าของเขากำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

"เราควรแจ้งให้ชาวเผ่าทราบถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่? "

ทันใดนั้น อูม่าก็กราดเสียงขึ้นขัดขวางคำพูดของไคออร์ส ทำให้กระโจมเต็มไปด้วยความเงียบงัน ทุกสายตาหันไปหานักบวชหญิงในทันที

"ไม่! หากข่าวนี้แพร่กระจายจะยิ่งทำให้เกิดความสับสนและความกลัวข้าจะไม่ยอมให้เผ่าดอร์สล่มสลายเพราะความหวาดกลัว! "

ความเกรี้ยวกราดของเธอทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบสนิท หัวหน้าเดอลุสมองไปที่อูม่า เขาคิดทบทวนคำพูดของเธอและตอบออกมาอย่างระมัดระวัง

"หมายความว่าอย่างไร? เราไม่สามารถปล่อยให้มันอยู่ในเผ่าได้อีกต่อไปหากมันส่งผลร้ายต่อเรา.! "

อูม่าเงียบไปชั่วครู่ดวงตาของเธอแสดงความโลภแต่กลับไม่มีใครสังเกตุ

"หากข่าวนี้แพร่กระจายไปความโกลาหลจะเกิดขึ้นและเราจะไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ข้าไม่อยากให้เผ่าของเราตกเป็นเหยื่อของคำสาปข้าจะหาทางควบคุมมันให้ได้.."

คำพูดของอูม่าชวนให้เกิดคำถามในใจของทุกคน ความโลภในดวงตาของเธอที่พยายามเก็บซ่อนอยู่ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้กับผู้ฟัง

แม้เธอจะพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกนี้แต่พลังที่สัมผัสได้จากวิคตัสทำให้เธอปรารถนาที่จะครอบครองมัน

พลังนั้น..มากเกินกว่าจะปล่อยให้ตกอยู่ในมือของใคร

"ไคออร์ส ทำไมเจ้าถึงพามันกลับมายังเผ่า?"

คำถามของหัวหน้าเดอลุสเหมือนสายฟ้าฟาดลงไปกลางใจของไคออร์ส แม้เขาจะเป็นนักรบที่เคยชินกับการเผชิญหน้ากับอันตราย แต่นี่คือคำถามที่เต็มไปด้วยความกดดันและความไม่ไว้วางใจ

ไคออร์สตอบกลับด้วยความลังเลเล็กน้อย

"เพราะด้วยเวลาที่กระชั้นชิดเราจึงไม่สามารถนำทาสกลับมาได้ครบตามที่ท่านนักบวชต้องการ ข้าจึงตั้งใจใช้มันรวมกับทาสคนอื่นๆสำหรับพิธีสังเวยเทพอสูร "

เสียงของความสงสัยและความวิตกกังวลทำให้บรรยากาศยิ่งตึงเครียดขึ้นไปอีก ทุกคนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับวิคตัสและความตั้งใจของไคออร์ส

เดอลุสจ้องมองไคออร์สอย่างจับผิด

"เจ้า...ใช้เด็กชายคนนี้เป็นส่วนหนึ่งของพิธีสังเวย? เจ้าไม่เห็นหรือว่ามันมีพลังบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้? ความผิดพลาดครั้งนี้อาจทำให้เผ่าดอร์สต้องชดใช้ในราคาที่สูงเกินกว่าจะรับได้!! "

ในขณะที่ทุกคนนิ่งเงียบกับพลังกดดันของหัวหน้าเผ่านักบวชหญิงชราอูม่ากลับยิ้มเยาะก่อนพูดขัดจังหวะ

"ข้าคิดว่า...มันเป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลแต่คงไม่ใช่สำหรับทุกคนในนี้ ใช่ไหม ไคออร์ส? "

คำพูดอูม่าดูเหมือนจะจงใจยั่วให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นเธอแสร้งยิ้มให้กับการตัดสินใจของไคออร์ส

"ข้าทำไปเพื่อเผ่าเพื่อให้พิธีสำเร็จตามที่ท่านต้องการ แม้ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะเป็นอันตรายหรือไม่ข้าเพียงทำสิ่งที่จำเป็นในสถานการณ์ที่เร่งด่วน "

เดอลุสคิ้วขมวดคำพูดของนักรบชนเผ่าหากพิจารณาจากความเป็นจริงก็มีส่วนถูกต้องอยู่บ้าง

"แต่หากมันกลายเป็นภัยพิบัติ... เจ้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด! ข้าไม่ต้องการให้เผ่าของเราต้องตกอยู่ในความเสี่ยงเพราะความประมาทของเจ้า! "

การสนทนากำลังจะปะทุขึ้นเป็นความขัดแย้งระหว่างไคออร์สและเดอลุสความไม่ไว้วางใจที่มีต่อวิคตัสและการตัดสินใจของไคออร์สเริ่มเห็นชัดขึ้น

ในขณะที่อูม่ามองทุกคนด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดาเธอกำลังคุมเชิงทุกฝ่ายเพื่อให้ได้ผลประโยชน์จากสถานการณ์นี้

อูม่าหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มเย็นชาที่เต็มไปด้วยเจตนาชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในทุกการเคลื่อนไหวของเธอ

"ข้าจะจัดการเอง ...ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไรกับมัน "

เสียงนั้นช่างเย็นเยือกราวกับคมดาบที่ค่อย ๆ เฉือนความรู้สึกของผู้ที่อยู่รอบตัว ความเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างของเธอทำให้ทุกคนในห้องต้องหันมองด้วยความหวาดกลัว แม้กระทั่งหัวหน้าเดอลุสและไคออร์สที่มักจะเข้มแข็งก็กดดันภายใต้สายตาของนักบวชหญิง

"มันไม่จำเป็นต้องพึ่งมือคนอื่น ข้าจะทำให้เด็กนั่นรู้ว่าพลังที่ยิ่งใหญ่ของชนเผ่าดอร์สคืออะไร และโลกนี้จะได้รู้ว่าผู้ที่แปดเปื้อนคำสาปซีเรนจะไม่สามารถหลบหนีไปได้ง่ายๆ!"

" หากมันไม่มีคำสาปซีเรนซ่อนอยู่ในตัวก็ไม่เป็นไรเรายังใช้มันเป็นเครื่องมือได้อยู่ดี "

เธอหันไปมองไคออร์สที่ยืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจากการตัดสินใจของอูม่า แต่ในที่สุดเขาก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ

"ท่านมั่นใจหรือว่าจะปล่อยให้เด็กชายคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม? เรายังไม่รู้ที่มาของมันดี "

หญิงชรายิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็นก่อนพูดด้วยการตัดสินใจที่แน่วแน่

"สิ่งที่ไม่สามารถคาดเดา...คือสิ่งที่ทำให้มันน่าตื่นเต้นไม่ใช่หรือ? พิธีกรรมนี้ต้องสำเร็จเพื่ออนาคตของเผ่าดอร์ส ทุกอย่างจะเริ่มต้นเมื่อพิธีกรรมถึงเวลาของมัน.! "

ทุกอย่างเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่มีทางย้อนกลับ คำพูดของอูม่าเหมือนเป็นการประกาศความตายที่กำลังจะมาเยือนจนทุกคนในกระโจมเริ่มสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

.

.

.