ขบวนชนเผ่าดอร์สยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไคออร์สนำพวกเขาออกจากเขตป่าวาลดัลด้วยความเร็วขณะที่นักรบคนอื่นๆเริ่มหันกลับมาพูดคุยและหัวเราะกัน
วิคตัสลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ความเจ็บปวดจากเชือกที่บาดข้อมือและข้อเท้าส่งผ่านมาทุกการเคลื่อนไหว หัวของเขาหนักราวกับถูกโขกกับหิน แม้แต่ความทรงจำยังคงพร่ามัว
เขาหันมองรอบๆและพบสายตาจากทาสที่เดินอยู่ข้างๆที่จ้องมองด้วยความหวาดระแวงไม่กล้าเข้าใกล้ราวกับเขาเป็นเชื้อโรค
"อึก..." วิคตัสครางเสียงแผ่ว อาการมึนงงทำให้เขาพูดอะไรไม่ได้มากแต่เสียงครางของเขาดังพอที่จะดึงความสนใจของนักรบดอร์สคนหนึ่ง
" ,฿@#")'/?..$££π " ชายร่างใหญ่ผิวคล้ำเดินเข้ามาใกล้เสียงของเขาแข็งกระด้างและไม่เป็นมิตร วิคตัสมองขึ้นไปก่อนพบกับดวงตาสีเหลืองอำพันจ้องลงมาที่เขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
"นิ่งไว้!อย่าทำอะไรโง่ๆ...พวกมันจะฆ่าเจ้า" ทาสคนหนึ่งกระซิบเตือนเบาๆด้วยความเร่งรีบและหวาดกลัว
นักรบดอร์สหัวเราะในลำคออย่างขบขันก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกับไคออร์ส
"น่าสมเพชสิ้นดี....หึ" ไคออร์สพูดเป็นภาษาของเขาเอง ขณะที่นักรบคนอื่นหัวเราะตาม แม้วิคตัสจะฟังไม่ออกแต่เขารับรู้ได้จากน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยาม
วิคตัสเริ่มหายใจแรงขึ้น เขาไม่เข้าใจภาษาเหล่านั้น แต่เขาอ่านความหมายในแววตาของพวกเขาได้ชัดเจน พวกมันไม่ไว้ใจเขาและที่เลวร้ายกว่านั้นพวกมันเห็นเขาเป็นสิ่งที่ต้องกำจัด
วิคตัสพยายามขยับตัวแต่เชือกที่รัดแน่นทำให้ทุกการเคลื่อนไหวเจ็บปวด
เขารู้สึกได้ถึงสายตาของคนรอบตัวทั้งนักรบและทาสที่มองมาพวกเขาไม่ได้มองด้วยความเห็นใจแต่ด้วยความรังเกียจ
ไคออร์สยังคงเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาก่อนที่ดวงตาของเขาจะเป็นประกายเยือกเย็น มือหนึ่งยกขึ้นเป็นสัญญาณให้ขบวนหยุด ความเงียบเข้าปกคลุมอย่างกะทันหันแม้แต่เสียงใบไม้สั่นก็ยังเหมือนจะหยุดไปชั่วขณะ
"มีอะไรจะพูดมั้ยเจ้าคนนอกรีต?" ไคออร์สพูดช้าๆในคำพูดที่แฝงด้วยความเย็นชา
วิคตัสรู้สึกเหมือนเวลาหยุดไปชั่วขณะ เขาไม่ได้เข้าใจคำพูดของไคออร์สแต่ความกดดันที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นทำให้รู้สึกถึงการคุกคามที่ไม่อาจหลบหลีกได้
วิคตัสกัดฟันพยายามข่มความเจ็บปวดเขาตอบเสียงแผ่ว พยายามไม่สบตากับผู้คุมตัว
"ข้า... ข้าไม่รู้ ข้าจำอะไรไม่ได้..."
วิคตัสเริ่มพูดในภาษาของตัวเอง แต่ทุกคำที่ออกจากปากกลับเป็นเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เสียงของเขาดังแปลกหูและขบวนทั้งหมดกลับหยุดหายใจเมื่อได้ยินภาษาแปลกประหลาดนั้น
นักรบคนหนึ่งเบิกตากว้าง ราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
"นั่นมันภาษาของชนเผ่าต้องสาป!?"
นักรบอีกคนก้าวเข้ามาและพูดเป็นภาษาของชนเผ่าดอร์สด้วยความเร่งรีบ
"เด็กนี่มาจากป่าวาลดัลที่ไม่เคยมีใครรอดออกมาได้นอกจากปีศาจ มันเป็นลางร้าย!! มันเป็นพวกซีเรน !!!ข้าบอกแล้วว่าเราควรฆ่ามันทิ้ง !"
คำพูดนั้นกระตุ้นเสียงครางแผ่วจากทาสหลายคน พวกเขาถอยห่างจากวิคตัสราวกับว่าเขาเป็นโรคร้ายที่แพร่เชื้อได้
ทาสบางคนในขบวนสะดุ้งเล็กน้อย พวกเขาเริ่มซุบซิบกันเบาๆ
"มันคือ ซีเรน! พวกต้องสาป!!" เสียงหนึ่งในกลุ่มทาสดังขึ้นอย่างลืมตัวใบหน้าของเขาซีดเผือดเมื่อรู้ตัวว่าพูดคำต้องห้ามออกไป
วิคตัสสะดุ้งตกใจกับท่าทางของทุกคนที่มองเขาราวกับเป็นตัวประหลาดเขาพอจับใจความและศัพท์แปลกๆที่คนพวกนี้พูดซ้ำๆได้บ้าง
... Se..ren... ซี..ซีเรน ?
แต่ก่อนที่เขาจะมีโอกาสถามหรือแม้แต่โต้ตอบอะไร ไคออร์สก็ฟาดอาวุธไปยังกลุ่มทาสด้วยท่าทางที่ดุร้ายราวกับพายุ
"หุบปาก!" เสียงตวาดดังก้อง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมไม่แสดงความรู้สึกใดๆนอกจากความโกรธที่ถูกเก็บไว้ในลึกที่สุดของดวงตาคู่นั้น
"เจ้าทุกคนคิดว่าจะหลุดรอดด้วยการกระทำเช่นนี้งั้นหรอ ไอ้พวกโง่?"
ทาสทุกคนหุบปากเงียบก้มหน้าลงด้วยความกลัวทันที
ความตึงเครียดในอากาศยังคงอยู่ทว่าความกลัวกลับสะท้อนออกจากทุกใบหน้าสายตาที่มองมาที่วิคตัสเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจยังคงเดินหลีกเลี่ยงห่างจากเขาโดยไม่พูดอะไร
ไคออร์สหันไปมองวิคตัสด้วยแววตาที่ไม่อ่อนลง "มันไม่สำคัญหรอกว่ามันจะเป็นใครแต่เราจะพามันไปที่เผ่า ถ้ามันเป็นภัยร้ายจริงข้าจะเป็นคนจัดการมันด้วยตัวเอง! "
เขาประกาศเสียงดังราวกับต้องการย้ำความแน่วแน่ให้ทุกคนรับรู้ คำพูดของไคออร์สดังก้องไปทั่วก่อนที่ขบวนจะเริ่มเคลื่อนตัวต่ออีกคร้้งแต่ความหวาดระแวงที่จับจ้องไปยังวิคตัสกลับยิ่งลึกซึ้งขึ้น
"เจ้าคือซีเรน..ภัยร้าย....ที่ต้องถูกกำจัด"
เสียงของทาสด้านหลังบ่นพำพึมดังขึ้นอีกครั้งราวกับคำพูดนั้นกำลังสะท้อนภายในหัวของทุกคนที่ได้ยิน
ทาสคนนั้นรีบก้มหน้าลง มือสั่นระริกขณะเอื้อมไปจับสร้อยข้อมือไม้เก่าๆราวกับหาที่พึ่งพิงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
วิคตัสยังคงเงียบเพื่อสังเกตสถานการณ์แม้จะไม่เข้าใจภาษาที่คนเหล่านี้พูดแต่ความรู้สึกของการถูกตราหน้าว่าเป็นตัวอันตรายจากทุกคนนั้นชัดเจนเกินไป
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาเดินพ้นจากแนวร่มเงาของป่าทึบ ความตกใจครั้งใหญ่ก็แล่นเข้ามาใส่วิคตัสอย่างจัง
เขายืนตัวแข็งราวกับขาทั้งสองถูกตรึงไว้กับพื้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะมองไปยังทิวทัศน์ที่แปลกตา ทุกอย่างรอบตัวดูแตกต่างจากที่เขาคุ้นเคย ท้องฟ้าไม่ใช่สีฟ้าอ่อนเหมือนที่เคยรู้จักแต่เป็นสีม่วงเข้มที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกแปลกๆลอยไปมาเหมือนมีชีวิต
ทุกๆสิ่งที่เขามองเห็นทำให้รู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย
"น-นี่มันที่ไหนกัน?" เขากระซิบเสียงสั่น ขณะมองไปที่ทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยต้นไม้แปลกๆและพื้นดินที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พื้นดินรอบๆแห้งแล้งเต็มไปด้วยรอยแตกที่ถูกความร้อนทำลาย
ดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนฟ้ายังคงเป็นสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุด มันมีขนาดใหญ่กว่าที่เขาคุ้นเคยมากและรอบๆดวงอาทิตย์มีดาวเคราะห์หลายดวงลอยวนเวียนไปมา
บางดวงมีสีฟ้าอมเขียว บางดวงมีสีส้มสดใส แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมากที่สุดคือการที่ดวงอาทิตย์ไม่เคลื่อนไหวตามปกติมันหมุนวนเหมือนมีอะไรบางอย่างควบคุมมันอยู่
วิคตัสรู้สึกเหมือนกำลังติดอยู่ในที่ที่ไม่สามารถหนีจากไปได้และทุกๆอย่างที่เคยรู้จักได้หายไปในชั่วพริบตา เขาพยายามตั้งสติแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้
"นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกับข้า? ทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้?" เสียงเขาสั่นและเบาจนแทบไม่สามารถได้ยินตัวเองพูดราวกับกลัวที่จะได้ยินคำตอบจากโลกที่ไม่รู้จักนี้
เขาเค้นสมองพยายามคิดหาคำอธิบายแต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร ความจริงที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งทำให้เขาสับสนมากขึ้น
วิคตัสหันกลับไปมองตัวเองก่อนพบว่าถูกมัดแน่นอยู่กับเสาไม้ในท่าทางที่ทำให้เคลื่อนไหวได้ยาก มือและเท้าถูกผูกด้วยเชือกหนาที่มัดแน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก
แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจที่สุด
เพราะจู่ๆความรู้สึกของการสูญเสียพลังเวทย์ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขาได้หายไปจนหมดสิ้นวิคตัสพยายามเรียกพลังออกมาอีกครั้งแต่กลับมีเพียงมือของเขาที่เคลื่อนไหวในอากาศอย่างว่างเปล่า
"ไม่... ไม่จริง...เกิดอะไรขึ้นกับข้า!!?"" เขาพูดกับตัวเองอย่างสับสนพยายามสอดส่ายตามองหาคำตอบจากทุกทิศทาง
มันเหมือนกับการถูกตัดขาดจากโลกเดิมที่เขารู้จัก เขาไม่สามารถรับรู้ได้ถึงอะไรที่เป็นของตัวเองหรือแม้กระทั่งความสามารถที่เคยมี
วิคตัสหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อดึงตัวเองกลับมาจากความตื่นตระหนก
ใจเย็นๆ ต้องคิดให้ได้ว่าทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้
ความคิดนี้ดังก้องในหัวคล้ายเป็นด้ายเส้นสุดท้ายที่เขายึดไว้
วิคตัสหลับตาลงชั่วครู่พยายามเพ่งสมาธิเพื่อสัมผัสถึงพลังเวทย์ในตัวเองแต่ยังคงมีเพียงความว่างเปล่าที่ตอบกลับมาเหมือนกับว่ามีบางสิ่งปิดกั้นทุกช่องทางที่เขาเคยรู้จัก
เขากัดฟันแน่นพร้อมกับความกลัวที่แทรกเข้ามาในหัวใจ
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งสิ่งแรกที่ดึงความสนใจของเขาคือกลุ่มนักรบดอร์สที่กำลังจ้องมองเขาอย่างไม่ไว้วางใจ
.
..
.
เมื่อขบวนเดินทางผ่านพ้นแนวต้นไม้หนาแน่นใน ป่าอาถรรพ์วาลดันวิคตัสรู้สึกได้ถึงความกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากทุกทิศทาง
เสียงพูดคุยของเหล่านักรบดอร์สดังถี่ขึ้นกว่าเดิม แม้จะเป็นภาษาที่วิคตัสไม่เข้าใจแต่โทนเสียงที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบนั้นบ่งบอกว่าพวกเขาใกล้ถึงจุดหมายแล้ว
เขาเหลือบมองไปรอบๆเพื่อสังเกตเส้นทางก่อนจะเห็นต้นไม้แปลกๆสูงชะลูดที่มีเถาวัลย์พันกันเหมือนกรงขังตั้งอยู่ด้านหน้า
เส้นทางเริ่มลาดชันและเต็มไปด้วยหินที่ถูกกัดเซาะอย่างผิดธรรมชาติ สัญลักษณ์แปลกๆ ที่ถูกสลักบนหินแต่ละก้อนทำให้เขารู้สึกหนาวเย็นถึงกระดูก สิ่งนี้ไม่ใช่แค่เครื่องหมายแต่ดูเหมือนเป็นคำเตือนถึงบางสิ่ง
ทันทีที่พวกเขาก้าวพ้นแนวป่าเสียงกลองทุ้มต่ำก็ดังก้องขึ้นมาจากที่ไกลๆคล้ายต้อนรับกลุ่มนักรบที่กลับมา
หัวใจของวิคตัสกระตุกวูบเสียงนั้นไม่ใช่เสียงแห่งการเฉลิมฉลองแต่มันมีแรงกดดันแฝงอยู่ในทุกจังหวะที่ดังขึ้น
เพียงไม่นานขบวนของพวกเขาก็เดินเข้าสู่ชนเผ่าดอร์สที่ดูราวกับภาพที่หลุดออกมาจากฝันร้าย
กระโจมที่ทำจากไม้และหนังสัตว์เรียงรายอยู่บนพื้นดินเต็มไปด้วยร่องรอยและกลิ่นไม่พึงประสงค์กระโจมบางส่วนมีเสาไม้ขนาดใหญ่ที่สลักสัญลักษณ์ลึกลับประดับด้วยหัวกระโหลกสัตว์ตั้งอยู่ข้างๆ
วิคตัสถูกผลักให้เดินเข้าไปที่ลานกว้างแห่งหนึ่งพร้อมกับทาสคนอื่นๆจากนั้นนักรบที่เหลือรอบตัวก็เริ่มเงียบลงราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้ลมหายใจของเขาติดขัด
บริเวณกลางหมู่บ้านมีแท่นหินขนาดใหญ่ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยโซ่หนาสลักลวดลายเดียวกันกับหินในป่าที่เขาพบก่อนหน้านี้
เขาไม่มั่นใจว่าแท่นหินนั้นมันมีไว้สำหรับอะไรแต่ลางสังหรณ์บอกว่าเขาคงไม่ชอบคำตอบที่ได้รับอย่างแน่นอน . . .
วิคตัสมองไปรอบๆด้วยความกลัวเขาสัมผัสได้ถึงสายตาของผู้คนในเผ่าที่จ้องมองมาที่เขา บางคนแสดงออกถึงความสงสัยขณะที่บางคนมีสีหน้าที่ไม่ไว้วางใจ
เสียงพูดคุยเบาๆของคนในเผ่าดังขึ้นเมื่อวิคตัสถูกพาเดินผ่านไป
"ซีเรน..." คำๆนี้หลุดออกจากปากของชายชราที่นั่งอยู่ใกล้กองไฟสายตาของเขาเต็มไปด้วยการดูหมิ่น
"ดูมันสิ มันเป็นพวกต้องคำสาป! ทำไมท่านไคออร์สถึงพาพวกมันเข้ามาที่เผ่าของเรา!!" หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกระซิบกับคนข้างๆแต่เสียงของเธอดังพอให้วิคตัสได้ยิน
แม้เขาจะไม่เข้าใจความหมายแต่โทนเสียงและสายตาที่พวกเขามองเขาก็เพียงพอจะทำให้เขารู้ว่านั่นไม่ใช่คำชื่นชมแน่นอน
วิคตัสหันไปมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชาแต่ไม่ได้ส่งเสียงออกไป
"พวกเจ้าเงียบสักที!" นักรบคนหนึ่งตะคอกเสียงดังก้อง ใบหน้าของเขาดูกราดเกรี้ยวและดุดัน คนในเผ่าก้มหน้าหลบสายตาแต่สายตาของพวกเขายังคงจับจ้องที่วิคตัสด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"เจ้าเด็กนี่มันตัวปัญหาชัดๆ..ถ้ามันก่อเรื่องอีกข้าจะจัดการมันทันที!! "
นักรบอีกคนกระซิบกับเพื่อนขณะจับเชือกที่พันมือวิคตัสแน่นขึ้น
วิคตัสเม้มปากแน่นหูของเขารับฟังเสียงเหล่านั้นแม้จะไม่เข้าใจแต่รู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวกลายเป็นคำกล่าวหาที่มองไม่เห็น
" นี่คือที่ที่เจ้าจะถูกตัดสิน!! " ชายที่ชื่อไคออร์ส หันกลับมาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แม้จะไม่เข้าใจคำพูดนั้นแต่แววตาที่เย็นยะเยือกของชายคนนั้นทำให้เขารู้ว่าไม่มีความหวังใดรออยู่ข้างหน้า
"ตามข้ามาเราต้องไปพบกับหัวหน้าเผ่าและนักบวช"
ไคออร์สพูดขึ้นก่อนพาวิคตัสและเหล่าทาสทั้งหมดไปยังกระโจมที่ตั้งอยู่กลางลานจตุรัสของชนเผ่า
กระโจมใหญ่ตั้งตระหง่านเหนือทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว ผืนหนังสัตว์สีเข้มถูกประดับด้วยลวดลายที่ดูเหมือนอักษรแปลกๆบางอย่างที่วิคตัสไม่อาจเข้าใจ
เครื่องรางและกระดูกสัตว์ที่แขวนไว้รอบกระโจมแกว่งไปมาตามแรงลมส่งเสียงกระทบกันเหมือนคำกระซิบจากวิญญาณที่มองไม่เห็น
"อย่าชักช้า! รีบเดินเข้าไป!!" ไคออร์สกล่าวอย่างหมดความอดทนเมื่อวิคตัสชะงักไปเพียงชั่วครู่
ยิ่งเข้าใกล้กระโจมตรงหน้าวิคตัสสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ มันไม่ใช่พลังเวทย์ที่เขาคุ้นเคยแต่เป็นบางสิ่งที่เก่าแก่และลึกลับราวกับว่าพื้นดินใต้กระโจมนั้นมีชีวิต
.
...
.
..
เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาด้านในวิคตัสรู้สึกถึงอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปทันที
ความอบอุ่นจากแสงไฟที่ลุกโชนทำให้เขาตื่นตัวขึ้น กลิ่นอับของอาหารที่หมักหมมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเครียดทำให้หัวใจผู้คนสั่นไหว
การประชุมในกระโจมดูเหมือนจะเกิดขึ้นมานานแล้วจนวิคตัสรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ตกค้างอยู่ในอากาศ
ตรงกลางกระโจม เดอลุส หัวหน้าเผ่าที่มีรูปร่างสูงใหญ่และน่าเกรงขามนั่งอยู่บนบัลลังก์ไม้ที่ประดับไปด้วยเครื่องรางจากกระดูกสัตว์และอัญมณีแปลกประหลาด
เขามองมาที่วิคตัสด้วยสายตาดุดันเหมือนกำลังวัดค่าความสำคัญของเขาในสถานการณ์นี้ จมูกของเขาผุดขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะได้กลิ่นบางอย่างจากวิคตัสที่ไม่อาจเข้าใจได้
ข้างๆเขาคือ อูม่า นักบวชหญิงสูงวัยที่มีพลังลึกลับนั่งนิ่งราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเงาในห้อง
สายตาของเธอเต็มไปด้วยความมืดราวกับกำลังอ่านจิตใจของวิคตัสอย่างละเอียดเธอไม่ได้พูดอะไร แต่การจ้องมองนั้นชัดเจนเหมือนเธอรู้บางอย่างที่ผู้คนไม่อาจเข้าใจ
"ชายคนนั้นเป็นใคร?" เดอลุสถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
"ข้าพบชายคนนี้ถูกโยนออกมาจากป่าอาถรรพ์ เขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของเรา"
ไคออร์สตอบกลับทันทีเสียงของเขามีความเร่งรีบแต่คงความเคารพต่อหัวหน้าเผ่าไว้ได้อย่างดีท่าทางมั่นคงแม้ภายในใจเขายังคงไม่แน่ใจนักเกี่ยวกับตัวตนของวิคตัส
" ป่าอาถรรพ์?!! " เดอลุสกล่าวพลางขมวดคิ้ว เขาหรี่ตาลงเหมือนกำลังพิจารณาสิ่งที่ไคออร์สพูดนึกถึงเรื่องราวลึกลับเกี่ยวกับป่านั้นที่เคยได้ยินมาก่อน
"..มันเป็นพวกซีเรนรึป่าวอูม่า?! "
"นี่คงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ? ..ส่วนเรื่องที่มันเป็นพวกซีเรนหรือเปล่าข้าคงต้องตรวจดูให้แน่ใจก่อนอีกครั้ง " อูม่าเอ่ยขึ้นเสียงเบา สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปที่วิคตัสราวกับพยายามค้นหาคำตอบในตัวเขา
บรรยากาศเงียบลงไปชั่วขณะก่อนที่เดอลุสจะพูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม
"ถ้าชายคนนี้เป็นผู้ต้องสาป เป็นซีเรน ..มันจะไม่ใช่แค่ปัญหาแต่เป็นภัยที่ต้องถูกจัดการ"