เมื่อสายตาของวิคตัสปรับเข้ากับความมืดได้เพียงพอที่จะเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัว ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขาแทบหยุดหายใจร่างกายแข็งทื่อราวกับถูกตรึงไว้กับพื้น
เส้นผมของเขาชี้ขึ้นเหมือนคนโดนไฟฟ้าช็อต ซึ่งหากสถานการณ์นี้ไม่บีบคั้นนักก็คงจะดูน่าขบขันไม่น้อย เมื่อเบื้องหน้าเขาคือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรมีตัวตนอยู่ในโลกนี้
มันคือเต่ายักษ์… ทว่าความยิ่งใหญ่ของมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้วิคตัสหวาดหวั่น หากแต่เป็นรูปลักษณ์ที่ราวกับหลุดออกมาจากฝันร้าย
กระดองของมันคล้ายกับสร้างขึ้นจากหินสีดำสนิท พื้นผิวที่หยาบกร้านมีรอยแตกร้าวเหมือนผืนแผ่นดินแห้งผาก ตะไคร่น้ำและรากพืชแห้งกรอบพันเกี่ยวตามขอบกระดองบางส่วนห้อยลงมาอย่างไร้ระเบียบ คล้ายกับซากปรักหักพังที่ถูกธรรมชาติเข้าครอบงำ
แสงจางๆลอดผ่านจนทำให้เห็นรูปร่างทรงพลังของสัตว์โบราณที่หลงเหลือจากยุค มันหายใจช้าๆและหนักหน่วงเสียงคล้ายหินบดกันดังก้องในอากาศ ขาทั้งสี่ที่หนาพร้อมกับเล็บยาวสีดำมี ดวงตาสีเข้มลึกที่ขุ่นมัวสะท้อนแสงเล็กน้อยในความมืด แต่มันยังคงนิ่งไม่ส่งเสียงใดนอกจากการหายใจช้าๆที่ดูจะผิดปกติ
วิคตัสกลั้นหายใจก่อนค่อยๆถอยหลังกลับอย่างช้าๆพยายามปกปิดตัวตนของเขาให้ได้มากที่สุด ทุกวินาทีผ่านไปแต่กลับรู้สึกยาวนานหลายชั่วโมง
'เอาล่ะ ค่อยๆถอยอย่างช้าๆ...ใช่แบบนั้นแหละ '
พ่อมดหนุ่มปลอบใจตัวเองขณะที่พยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ขณะที่วิคตัสพยายามก้าวถอยหลังออกไปเสียงคำรามโหยหวนทุ้มต่ำดังขึ้นอีกครั้งกระทบเข้ากับความเงียบรอบข้างจนทุกอย่างหยุดนิ่ง
เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากหวังเพียงว่ามันจะไม่หันมาสนใจเขา
" บางทีมันอาจ...ตายแล้ว? " วิคตัสพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
แต่ทันใดนั้น เต่ายักษ์ก็กะพริบตา!
"โอ้พระเจ้า...!" เขากลั้นเสียงกรีดร้องในลำคอ
'...มันอาจจะไม่ได้เห็นข้าชัดเจนขนาดนั้น?'
เขาหลอกตัวเอง พร้อมเร่งฝีเท้าเพิ่มขึ้นอีกหวังว่าจะสามารถหลบหนีไปได้ทัน แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ขยับตัวเสียงทุ้มต่ำสะเทือนอากาศก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"GRRRRRRRrrrrrrrrr!!!"
" GRRRRRRRRrrrrrrrrrrrrrrrr!!!! "
เสียงกรีดร้องโหยหวนกว่าทุกครั้งดังขึ้นทำให้วิคตัสหยุดยืนนิ่งสั่นสะท้านก่อนมองย้อนกลับไปและพบว่าตัวเองเพิ่งขยับออกจากตำแหน่งเดิมได้เพียง 3 ก้าวเท่านั้น
เหงื่อเย็นเยียบไหลซึมผ่านด้านหลังจนเขารู้สึกว่าหากถอดชุดคลุมมาบิดออกตอนนี้คงได้น้ำหลายถังเลยทีเดียว สายตาที่หวาดระแวงแอบมองไปยังสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ใหญ่อีกครั้งก่อนเห็นสิ่งผิดปกติ
ขาที่คล้ายกับแท่นศิลาหินของเต่ายักษ์ยืนหยัดท่ามกลางเศษซาก เลือด และเมือกสีเข้มไหลเยิ้มปกคลุมไปทั่ว
นกเวนเดอร์ฝูงใหญ่บินโฉบไปมารุมกัดกินเนื้อที่หลุดออกจากร่างของเต่าราวกับพวกมันกำลังแย่งชิงซากอันล้ำค่า
แต่เต่ายักษ์กลับยืนนิ่งอย่างไม่แยแส วิคตัสรู้สึกถึงความหดหู่แปลกๆ คล้ายว่ามันไม่ได้ส่งเสียงเพราะความโกรธ แต่มันเจ็บปวดอย่างเหลือเกิน
'หรือว่ามันไม่สามารถขยับตัวได้?'
ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว เมื่อเขาสังเกตเห็นว่านกเวนเดอร์หลายตัวไม่ได้ถูกตอบโต้เลยทั้งที่มันสามารถบดขยี้พวกนกเหล่านั้นได้ง่ายดาย
วิคตัสเดาสถานการณ์จากสิ่งที่เห็นก่อนตัดสินใจนั่งหลบอยู่ตรงมุมด้านข้างเพื่อคอยสังเกต
ฝูงนกเวนเดอร์ยังคงเพลิดเพลินกับโต๊ะอาหารของพวกมัน เลือดและชิ้นเนื้อของเต่ายักษ์ถูกจิกกินอย่างกระหายแต่กลับไม่มีใครสนใจวิคตัสที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง
ตราบใดที่ยังมีเนื้ออสูรวิญญาณซึ่งเต็มไปด้วยพลังให้พวกมันลิ้มรสมนุษย์ธรรมดาที่ดูอ่อนแอมีเพียงกระดูกกับเนื้ออันน้อยนิดก็ไม่ต่างอะไรจากเศษอาหารที่ไร้ค่าในสายตาของพวกมัน
'ใครจะสนใจชิ้นเนื้อเล็กๆแบบนั้นกันล่ะ?'
วิคตัสที่ไม่รู้ตัวว่าเขาเพิ่งถูกประเมินค่าเป็นแค่เศษเนื้อในสายตาของเหล่านกเวนเดอร์ยังคงเฝ้ามองดูการกระทำของพวกมันด้วยความสนใจ
ท่ามกลางม่านหมอกหนาทึบของป่าวาลดัลดวงตาสีเขียวเปล่งประกายทันทีเมื่อเห็นบางสิ่งบนหลังเต่ายักษ์ตัวนั้น กระดองที่แข็งแกร่งและใหญ่โตเหมือนกับภูเขามรกตมีต้นไม้หลากหลายพันธุ์เติบโตขึ้นเหมือนเป็นโลกย่อมๆที่ซ่อนอยู่บนหลังของมัน
วิคตัสหลบอยู่ในป่าที่ไร้ชีวิตและสีสันมา 2 วัน จนทำให้เขารู้สึกเหมือนตกอยู่ในโลกที่ไม่มีทางออกเขาแทบไม่เคยพบเจอสิ่งที่ดูปกติเลย แม้แต่พืชในป่านี้ก็แปลกประหลาดเสียจนเขาคิดว่าตัวเองอาจจะกำลังนั่งดูทีวีจอขาวดำอยู่
ช่วงจังหวะที่เขากำลังสับสนอยู่กลิ่นหอมหวานก็ลอยมาแตะจมูก ผลไม้สีทองสดใสดูเหมือนจะมีเสน่ห์ดึงดูดจิตใจอย่างมากจนไม่อาจต้านทานได้กลิ่นหอมเบาบางที่แผ่ออกมาจากมันทำให้เขารู้สึกหิวโหยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ฝูงนกที่หิวกระหายที่บินวนอยู่รอบๆกลับไม่ยอมเข้าใกล้ผลไม้เหล่านั้นราวกับว่าอะไรบางอย่างทำให้มันไม่สามารถสัมผัสกับสิ่งนั้นได้
แต่แล้วความสงสัยก็ผุดขึ้นในใจ
....หรือผลไม้อาจมีพิษ?"
ความคิดนี้ทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาสีเขียวจ้องมองผลไม้ด้วยความระแวง นี่อาจจะเป็นแค่ผลไม้ธรรมดาหรืออาจเป็นกับดักที่ซ่อนอยู่ใต้รูปลักษณ์น่าลิ้มลองนี้
เขากำลังอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยสิ่งลึกลับ บางทีความสวยงามนี้อาจเป็นเพียงภาพลวงตา...
.
.
.
.
.
ภายใต้คลื่นน้ำที่เงียบสงบของทะเลสาบคือแหล่งอาศัยของสัตว์เลื้อยคลานกระหายเลือดทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นปลาเกล็ดศิลารวมถึงกลุ่มจระเข้ที่มีขนาดยาวเกือบ 30 ฟุต แต่พวกมันต่างต้องยอมแพ้ให้กับพลังที่น่าสะพรึงกลัวของอสูรวิญญาณ
ร็อคดรัม คือชื่อของเต่าอสูรวิญญาณที่ปกครองทะเลสาบวาลดอนอาณาเขตเกินกว่าครึ่งทางด้านหลังของเกาะคือพื้นที่ล่าที่ถูกครอบครองโดยมัน
ถึงแม้จะเป็นเพียง 'ลูกเต่า' ที่อายุไม่กี่สิบปีก็ตามแต่ด้วยสายเลือดของอสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งต่างจากสัตว์ทั่วไปทำให้มันมีชีวิตรอดท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่อันตรายของป่าอาถรรพ์แห่งนี้ได้อย่างไร้กังวล
แม้ไม่เคยขึ้นไปยังเกาะหนามรกร้างบนชายฝั่งแต่ร็อคดรัมก็คุ้นเคยกับบริเวณรอบๆที่ซึ่งไร้พลังชีวิตของทุกสรรพสิ่ง จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อนมีลำแสงสีเจิดจ้าพุ่งตกลงมาจากท้องฟ้าและพลังแปลกๆนั้นก็ปะทุขึ้นทั่วทั้งเกาะป่าดำ
ร็อคดรัมที่ใช้ชีวิตอยู่เพียงแต่ในทะเลสาบและริมชายฝั่งตัดสินใจมุ่งหน้าเข้าไปในป่าดำเพื่อค้นหาที่มาของพลังวิญญาณที่มันสัมผัสได้
ด้วยสายเลือดอสูรและร่างกายที่ทนทานทำให้มันใช้ชีวิตปราศจากปัญหาต่างๆมาได้โดยตลอดจึงคิดว่าพื้นที่ด้านบนเกาะอาจไม่แตกต่างกันมากนักอีกทั้งสัตว์ป่าในละแวกนี้ก็ไม่สามารถต้านพลังของมันได้ด้วยเช่นกัน
แต่ใครจะรู้ว่าความคิดที่โง่เขลาครั้งนี้จะกลายเป็นหลุมพรางขนาดใหญ่สำหรับมัน
ทันทีที่ร็อคดรัมก้าวเข้าสู่ด้านในของป่าทมิฬมันก็ถูกชักจูงด้วยความตะกละโดยฝูงนกเวนเดอร์เจ้าเล่ห์ ก่อนเดินลึกเข้าไปทางอีกฝั่งหนึ่งของเกาะที่ใหญ่โตนี้และเหยียบเข้ากับกองหนามของพืชมีพิษชนิดหนึ่ง
ควีนดรอคไนด์ (Queen Drocnide) คือพืชที่มีพิษร้ายแรงที่สุดทางตอนใต้ของเกาะวาลดัล
ด้วยรูปลักษณ์ที่คล้ายกับมงกุฏแหลมคมและอันตรายของมันจึงถูกยกย่องให้เป็นราชินีแห่งพิษในป่าจากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่
บริเวณโคนของต้นไม้สีดำที่สูงใหญ่ถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์หนามแหลมคมซ้อนทับกันเป็นพุ่มสูงกว้างหลายตารางเมตรด้วยสีที่กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมที่นี่ทำให้บริเวณนี้เป็นเหมือนหลุมกับดักขนาดใหญ่
เมื่อมีสิ่งมีชีวิตสัมผัสมันในช่วงแรกจะรู้สึกเหมือนถูกไฟแผดเผาก่อนที่ความรุนแรงจะค่อยๆเพิ่มขึ้นจนกระทั่งระบบประสาททั้งหมดของผู้เคราะห์ร้ายสูญเสียความรู้สึกไปหลังจากนั้นเหยื่อที่ติดกับดักจะถูกหนามมงกุฏสีดำดูดเลือดจนแห้งเหือดและตายลงในที่สุด
ร็อคดรัมที่ตกเป็นเหยื่อกำลังติดอยู่ท่ามกลางกับดักเถาวัลย์ควีนดรอคไนด์พืชพิษอันตรายที่สุดในป่าแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นมนุษย์หรือสัตว์ป่าที่ตกลงไปแน่นอนว่าพวกมันอาจจบชีวิตลงภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที
ด้วยผิวหนังที่ทนทานกับพลังวิญญาณของอสูรวิญญาณทำให้มันสามารถยื้อชีวิตตัวเองมาได้นานกว่า 40 นาที ถึงแม้จะมีพลังที่สูงกว่าสัตว์ป่าทั่วไปแต่ร่างกายของมันก็เริ่มชาจนไม่สามารถเคลื่อนไหวทำได้เพียงส่งเสียงคำรามที่น่าสังเวชออกมาเท่านั้น
" GRRrrrrrrrrrrrrr!!!! "
' ฮึ่มม!! เจ้าพวกนกขี้ขลาดแน่จริงก็หยุดใช้ปีกน่ารำคาญนั่นซะ..มาสู้กัน!! '
นอกจากพิษที่ค่อยๆแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายการโจมตีของฝูงนกกเวนเดอร์ที่ฉีกดึงร่างของมันเป็นระยะๆทำให้มันหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ถึงแม้มันจะเจ็บปวดแต่มันก็ไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้
อย่างไรก็ตามอุบัติเหตุและความบังเอิญครั้งนี้ได้นำร็อคดรัมไปสู่หายนะครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของมันจนกลายเป็นเชือกผูกคอตนเอง
ไม่ช้าก็เร็วชีวิตมันอาจจบสิ้นลงบนเกาะแห่งนี้
มงกุฎดอกตูมสีดำของต้นควีนดรอคไนด์ยังคงพ่นเมือกพิษสีม่วงก่อนแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายส่งผลต่ออวัยวะภายในของมันทีละนิด
บาดแผลตามลำตัวที่เกิดขึ้นจากการฉีกกระชากของนกปีศาจทำให้พิษร้ายเข้าสู่ด้านในได้อย่างง่ายดายเสียงคำรามที่เคยเต็มไปด้วยพลังค่อยๆอ่อนแรงลงหลังจากเวลาผ่านไปได้ไม่นาน
เมื่อนกอสูรทมิฬสังเกตเห็นพลังวิญญาณของเต่ายักษ์เริ่มริบหรี่ลงดวงตาสีแดงละโมบของมันก็เริ่มสว่างแวววับพากันขยับปีกเตรียมปิดฉากลมหายใจเหยื่อตรงหน้า
แกนคริสตัลของอสูรวิญญาณเป็นสิ่งล้ำค่าและหายากมีใครบ้างจะไม่ต้องการละ ?!!
หลังจากเฝ้ารอจนถึงวินาทีสุดท้ายเหล่าฝูงนกหลายสิบตัวก็พร้อมใจกันพุ่งเข้าใส่ร่างกายอันมหึมาของอสูรวิญญาณในความเร็วที่สายตาของคนธรรมดาไม่อาจมองเห็นได้ทัน
.
.
.
.
"Vinculum Tenebris Impetunum!"
..
.
.
เพียงชั่วลมหายใจก่อนที่จะงอยปากแหลมคมจะทันได้สัมผัสร่างของเต่ายักษ์ เถาวัลย์ไม้สีเข้มคล้ายขนเม่นก็พุ่งขึ้นจากพื้นดินแทงทะลุร่างฝูงนกที่หิวกระหายอย่างไม่ทันตั้งตัว
เลือดสีแดงสาดกระเด็นทั่วกลางอากาศดั่งสายฝนท่ามกลางดวงตาสีที่เบิกกว้างของร็อคดรัมความตื่นตระหนกพุ่งเข้ามาในจิตใจของมัน มันรู้สึกถึงความรุนแรงของพลังที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
หลังจากเถาวัลย์เวทมนต์ปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้ายออกไปใบไม้สีเขียวเหล่านั้นก็แห้งเหี่ยวลงไปพร้อมๆกับขนนกที่ปลิวว่อนทั่วท้องฟ้าทันทีวิคตัสเหลือบมองรอบข้างอย่างระวังเมื่อแน่ใจว่าไม่มีนกปีศาจหลงเหลืออยู่เขาจึงค่อยๆเดินออกจากตำแหน่งที่ซ่อนตัว
คาถาโจมตีเมื่อครู่ต้องอาศัยความเร็วและพลังจู่โจมที่แม่นยำมากที่สุดเพื่อกำหนดทิศทางของหอกไม้ ครั้งนี้โชคดีที่ไม่มีนกตัวอื่นซ่อนอยู่ด้วยความประมาทของพวกมันทำให้วิคตัสจัดการกลุ่มนกผู้หิวโหยได้อย่างง่ายดายภายในขั้นตอนเดียว
ท่ามกลางพื้นที่รกร้างที่เต็มไปด้วยกลิ่นเลือดฉุนๆที่ติดอยู่ในอากาศ มีเพียงเถาวัลย์สีม่วงเข้มที่ยื่นยาวออกมาจากลำต้นของควีนดรอคไนด์เถาวัลย์เหล่านั้นแผ่ขยายไปตามพื้นดินและเกาะเกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่ที่ตายไปแล้ว ส่วนหนึ่งของมันดูเหมือนจะเคลื่อนไหวเองได้คล้ายกับว่ามันมีสัญชาตญาณป้องกันตัว
วิคตัสรีบหยิบไม้คฑาของเขาขึ้นมาแล้วหมุนมันในอากาศสะบัดมือข้างหนึ่งเพื่อร่ายคาถาเบาๆ เสียงเวทย์ดังขึ้นเป็นเสียงคล้ายสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ เพียงไม่นานแสงสีเขียวก็สว่างไสวออกมาก่อนจะมีลมเย็นๆ พัดผ่านและปัดกวาดต้นหนามที่รายล้อมออกไปจากทางเดิน
วิคตัสหยุดและหันกลับไปมองที่กระดองของมันที่ปกคลุมไปด้วย "สวนไม้" ที่เริ่มเปลี่ยนสีตามฤดูกาล สีเขียวเริ่มซีดจางลงและถูกแทนที่ด้วยเฉดสีเหลืองทำให้กระดองนั้นดูคล้ายกับกำลังจะพังทลายลงในไม่ช้า
ลมหายใจของเต่าหินตัวใหญ่เริ่มเคลื่อนไหวช้าลงทุกที แม้ดูเหมือนว่ามันไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกแล้วก็ตามแต่ก็ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่ามันจะไม่ลุกขึ้นมาฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ
.. .จริงไหม ??
เต่าหินยักษ์หรี่สายตาอันตรายของมันจ้องมองมนุษย์ตัวเล็กที่เดินเข้ามาอย่างกระวนกระวาย
ผลจากพิษที่เข้าสู่ร่างกายทำให้ไม่สามารถต่อสู้หรือหลบหนีได้อีกต่อไปร็อคดรัมพยายามส่งเสียงขู่คำรามออกมาจากลำคอของมันอย่างยากลำบากแต่เสียงที่เล็ดรอดออกมานั้นกลับเป็นเพียงเสียงครวญครางที่ฟังดูน่าสมเพชจนเกินทน
ท่ามกลางความเงียบสงบการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นดึงดูดสายตาเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดีก่อนที่เขาจะหันไปมองสัตว์ประหลาดตรงหน้าพร้อมกับพิจารณาถึงบางสิ่ง
" เฮ้!! เจ้ายักษ์ใหญ่ ถ้ายังอยากมีชีวิตรอดเจ้าควรอยู่นิ่งๆและเชื่อฟังข้าจะดีกว่า "
ใครอยากจะไปเชื่อฟังมนุษย์ตัวเล็กจิ๋วหลิวเช่นนี้กัน?! พวกมนุษย์ล้วนต่ำช้าไม่ต่างจากสัตว์ปีศาจโง่เง่า
GRRRrrrrrrrrrrrrrrrrrr!!! ...
ร็อคดรัมทำได้เพียงสาปแช่งอีกฝ่ายในใจเท่านั้น ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่อยากฉีกกระชากมนุษย์ตรงหน้าออกเป็นชิ้นๆ
วิคตัสจงใจเมินเฉยต่อสายตาคับแค้นใจที่จ้องมองเขาราวกับจะปล่อยเข็มนับพันเล่มออกมา
เขายืนอยู่หน้าร่างใหญ่โตของเต่าหินยักษ์ก่อนค่อยๆเดินสำรวจรอบตัวของมัน สายตาจับจ้องไปทุกบาดแผลที่มีบนร่างกายเผื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาดในการจัดการ
มีรอยแผลลึกที่ฝังลงไปในผิวหนังจนเห็นเนื้อสีเข้มของมัน ผิวหนังที่แข็งแกร่งคล้ายเปลือกหินถูกทำลายจนเห็นได้ถึงความรุนแรง
กลิ่นคาวเลือดขมๆเจือจางในอากาศบ่งบอกว่ามีพิษปะปนอยู่ วิคตัสจ้องมองเข้าไปใกล้ๆเมือกสีเขียวเข้มที่ดูผิดธรรมชาติแทรกอยู่ตามรอยแผล
" พิษเริ่มทำงานไปถึงขั้นวิกฤตแล้ว .. มันลุกลามได้เร็วขนาดนี้เลยหรอ? "
เขากระซิบกับตัวเอง มือข้างหนึ่งยื่นออกไปสัมผัสบริเวณขอบแผลที่ดูเหมือนจะอักเสบไวจนผิดสังเกต
.
...
..
....
...
.