การทำนายฝันและคำพยากรณ์เปรียบเสมือนพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่หยั่งรากลึกในสายเลือดของเหล่าแม่มด เป็นพิธีกรรมอันทรงพลังที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ
ทว่าตระกูลของวิคตัสกลับแตกต่างออกไปจากตระกูลนักพยากรณ์อื่นๆในโลกเวทมนตร์ ยายของเขาซึ่งเป็นที่นับถือในฐานะ "แม่มดแห่งคำพยากรณ์" ผู้ไม่เคยใช้ชีวิตของสิ่งมีชีวิตใดเป็นเครื่องสังเวยเพื่อแลกกับคำพยากรณ์ของเธอ
หลักการนี้เกิดจากความเชื่อมั่นอันแน่วแน่ว่า "พลังแห่งการทำนายไม่ควรถูกชโลมด้วยเลือดของผู้บริสุทธิ์" คุณยายจึงเลือกที่จะพึ่งพาพลังจิตอันบริสุทธิ์เพื่อเป็นการเคารพต่อทุกสรรพสิ่ง
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือความแม่นยำของคำพยากรณ์ที่สูงจนน่าทึ่ง หลายคนจึงสงสัยว่าพลังของเธอมาจากสิ่งใดและทำไมเธอจึงไม่ต้องพึ่งเครื่องสังเวยเหมือนแม่มดคนอื่น ๆ
แต่ราคาสำหรับการแลกเปลี่ยนของคำทำนายนั้นกลับสูงมากจนน่าตกใจด้วยเช่นกัน มักหมายถึงการสูญเสียที่ไม่อาจชดเชยได้ สิ่งนี้ทำให้วิคตัสรู้สึกถึงความกดดันและความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับการทำงานในศาสตร์นี้
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงครั้งแรกที่ถูกบังคับให้เข้าศึกษาศาสตร์แห่งการพยากรณ์กับยายของเขา ความทรงจำนั้นกลับลอยขึ้นมาได้อย่างชัดเจน
.
.
.
.
ราวกับว่าเรื่องเหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานภาพของหญิงชราในชุดคลุมยาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงสลัวของห้องเรียนที่เต็มไปด้วยตำราเวทย์และเครื่องมือพยากรณ์ที่หลากหลาย
วิคตัสนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ที่มีอายุมากกว่า 700 ปีด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกับการพยายามทำความเข้าใจขั้นตอนพิธีกรรมที่ยาวเหยียดหลายหน้ากระดาษในตำรา
เขารู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของเขากำลังจะหลุดออกจากอก เมื่อคำศัพท์ที่ซับซ้อนและรายละเอียดที่ละเอียดมากมายทำให้เขารู้สึกว่าวิชาเรียนนี้ไม่ใช่สำหรับเขา
" ข้าทำไม่ได้! . . .ไม่เอาแล้วท่านยายย !! "
เขาตะโกนกรีดร้องจนสุดท้ายไม่อาจทนต่อแรงกดดันได้ เขาจึงตัดสินใจวิ่งหนีหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
เสียงหัวเราะของคุณยายที่ดังตามหลังเขายังคงก้องอยู่ในหูคำพูดของหญิงชราเหมือนจะไล่ตามเขาไปทุกแห่งหน
" การเรียนรู้คือเส้นทางบทเรียนที่เราต้องผ่านไปให้ได้ แม้จะยากลำบากแต่มันจะนำไปสู่ตัวตนที่แท้จริงของหลาน . . . . . .ไม่ช้าก็เร็ว "
วิคตัสนึกถึงคำพูดติดปากของหญิงชราผู้อ่อนโยนที่คอยพร่ำสอนเขาเสมอ
" ทุกสิ่งบนโลกต่างรักและหวงแหนชีวิตของตนเองทั้งนั้น การเอาชีวิตผู้อื่นเพื่อสนองความต้องการของตนเองจะต้องแบกรับชะตากรรมที่หนักหนาสาหัสเกินกว่าที่จะชดใช้ไหว จงจำสิ่งนี้ไว้ให้ดี… "
คำสอนนี้กลับดังก้องในหูของเขาอยู่เสมอนึกถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดของผู้ที่เคยให้กำลังใจในยามที่เขารู้สึกกลัว คำสอนนั้นไม่เพียงแต่เกี่ยวกับศาสตร์พยากรณ์แต่ยังสอนให้เขาเห็นคุณค่าของชีวิตและความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
การเรียนรู้ศาสตร์แห่งพยากรณ์ในวิถีทางที่แตกต่างออกไปกับการแลกเปลี่ยนที่ต้องเสียสละชีวิตของผู้อื่นดูเหมือนจะไม่ใช่เส้นทางที่เขาต้องการเดินทาง
"หากต้องเลือก ข้าเลือกที่จะไม่แลกเปลี่ยนชีวิตกับอะไรทั้งนั้น" เขาพึมพำกับตัวเอง
"เมื่อไหร่ที่ข้าจะเข้าใจมันได้จริงๆสักที . . .โอ้ยแค่คิดก็ปวดหัวแล้วจริงๆ"
ความฝัน เป็นอีกเส้นทางสำคัญในการรับส่งข้อความจากจักรวาลถึงเหล่าแม่มดแต่มันไม่ได้เป็นไปตามตรรกะหรือสิ่งที่พบเห็นเสมอไป
อีกทั้งบางความฝันอาจมีเพียงภาพสัญลักษณ์หรือการเล่นคำนั่นหมายความว่าฝันที่เห็นจงใจทำให้ผู้พยากรณ์สับสนเพราะพวกเขามักจะกระโดดไปมาในเวลาและสถานที่ที่ต่างกันออกไปทั้งยังใช้องค์ประกอบทุกประเภทหรือแม้แต่สัตว์ป่าเพื่อเป็นตัวแทนของสิ่งอื่นๆ
ดังนั้นหากคุณต้องการทำนายฝันได้อย่างแม่นยำคุณต้องรู้ให้ลึกถึงตัวตนของพวกมันว่ามีความหมายอะไร?
คำตอบที่ชัดเจนจะขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคนส่วนรายละเอียดความฝันมักถูกแต่งเติมขึ้นมาจากประสบการณ์และสิ่งที่พบเจอล่าสุดของผู้ฝัน การให้ความสนใจกับทุกองค์ประกอบรวมถึงความรู้สึกที่มีในความฝันจะช่วยให้ผู้พยากรณ์ค้นพบการตีความหมายที่ถูกต้องได้ในที่สุด
แต่สิ่งที่วิคตัสพบดูเหมือนจะไม่ใช่ความฝันสำหรับการทำนายเลยสักนิดเพราะหากเป็นเพียงความฝันร่างกายของเขาจะไม่มีทางถูกคุกคามแต่บาดแผลที่ข้อเท้าเป็นสิ่งพิสูจน์ได้ดีว่ามันคือเรื่องจริง
วิคตัสพยายามรวบรวมสมาธิหลังจากเหตุการณ์แปลกประหลาดเมื่อคืน บาดแผลที่ข้อเท้ายืนยันให้เขารู้ว่ามันไม่ใช่แค่ความฝันสิ่งที่เขาได้สัมผัสนั้นมีอยู่จริงและมันสามารถคุกคามเขาจากที่ไหนสักแห่งในความมืดมิด
เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าๆในกระท่อมเวทมนตร์ยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดทุกครั้งที่ขยับตัวเท่าที่จำได้เมื่อคืนนี้หลังจากที่เขาหลับตาลงเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่โลกอีกใบ สถานที่แปลกๆที่เขาพานพบในความฝันนั้นทั้งดูเหมือนจริงและคุ้ยเคย
.
.
.
.
.
ที่สำคัญยังมีเรื่องนั้นอยู่อีกด้วย
'ชายที่ถูกขังในถ้ำแปลกๆและรูปแบบพลังที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน ..ยังมีกรงเล็บสีดำพวกนั้นอีก สิ่งนี้มันหมายถึงอะไรกัน?'
วิคตัสนั่งทบทวนข้อมูลที่เขาเคยศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวผิดปกติเหล่านั้นแต่ก็ไม่พบอะไรที่พอเชื่อมโยงกันได้เลยอีกทั้งกรงเล็บสีดำนั้นยังคงเป็นปริศนาที่ชวนขนลุกอีกด้วย
ถ้าหากมันเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์บางประเภท หรือสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนล่ะ ...?
เป็นเพียงไม่กี่วันที่เขาใช้ชีวิตอยู่บนเกาะนี้ แต่กลับมีเรื่องราวแปลกๆเกิดขึ้นให้เขาตกใจได้ตลอดเวลา ความเงียบงันในป่าด้านนอกช่างน่าขนลุก แม้แต่เสียงกระซิบของลมที่พัดผ่านแทบจะฟังดูเหมือนการกระซิบของวิญญาณที่ยังคงวนเวียนอยู่ในพื้นที่นี้
บางทีการหาตำแหน่งพิกัดที่ถูกต้องตอนนี้อาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดก่อนลงมือทำสิ่งต่าง ๆ
วิคตัสถอดชุดคลุมหญ้าแห้งสีดำก่อนแช่ตัวลงในอ่างอาบน้ำไม้สีเข้มที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกฝั่งของมุมห้องเครื่องมืออำนวยความสะดวกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นระหว่างที่เขานั่งรอผลของการปรุงน้ำยา วัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่นำมาจากต้นไม้ในป่า
น้ำต้มสมุนไพร Lady Bloody จากค่ำคืนที่ผ่านมาถูกปรับลดอุณหภูมิจนได้ที่ ก่อนที่จะถูกเทลงในอ่างไม้เพื่อใช้อาบน้ำ
วิคตัสไม่ได้เพียงแค่ประหยัดพลังเวทย์ที่ใช้เรียกน้ำเท่านั้น แต่ยังได้รับการฟื้นฟูจากสมุนไพรหลากหลายชนิดที่ถูกต้มไว้อีกด้วย
กลิ่นหอมของสมุนไพรตลบอบอวลอยู่รอบตัวเขาขณะที่น้ำอุ่นไหลผ่านผิวหนังผลของสมุนไพรช่วยรักษาอาการบาดเจ็บและเติมเต็มพลังเวทย์ ทำให้วิคตัสรู้สึกถึงความสดชื่นที่ค่อยๆซึมซับเข้าสู่ร่างกาย
เขานั่งหลับตาในอ่างโดยไม่รู้ตัวว่าพลังเวทย์ที่ซ่อนอยู่ในร่างกายเริ่มหมุนเวียนออกมาอย่างช้าๆ การเคลื่อนไหวของพลังนั้นทำให้เขารู้สึกถึงความเข้มแข็งและความเชื่อมโยงกับธรรมชาติแต่ความรู้สึกนี้ก็กลับทำให้เขานึกถึงสิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง
เป็นเวลาเกือบปีที่เขาหยุดฝึกฝนเวทมนตร์จากหลายสาเหตุรวมถึงการปกปิดตัวตนของตระกูลด้วยเช่นกัน
ช่วงเวลานั้นความกดดันและความกลัวทำให้เขาเก็บซ่อนพลังไว้ในตัวแต่ตอนนี้ในช่วงเวลาที่เขาอยู่คนเดียวกลางป่าทึบความรู้สึกอิสระกลับเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้ง
ร่างกายของเขาเหมือนกำลังตื่นขึ้นจากการหลับใหลที่ยาวนานและความปรารถนาในการฝึกฝนเวทมนตร์เริ่มกลับคืนมา
ในที่สุดวิคตัสก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนที่เกิดขึ้นจากร่างกายของเขาราวกับว่าพลังเวทย์ในตัวกำลังเตรียมตัวที่จะทะลุผ่านระดับพลังเวทย์แต่ด้วยสถานการณ์สุ่มเสี่ยงที่อยู่รอบตัว เขาทำได้เพียงควบคุมพลังนั้นไว้และปล่อยให้มันสงบนิ่งอยู่ในตัวเขาก่อน
"ไว้ค่อยจัดการเรื่องนี้ทีหลังล่ะกันตอนนี้คงต้องรีบหาทางออกจากป่านี้ก่อน..""
เขาพึมพำกับตัวเองรู้สึกถึงความกังวลที่เกาะกุมอยู่ในใจ
วิคตัสลูบไล้ข้อมือตัวเองที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการหลบหนีก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆและเริ่มหมุนเวียนพลังเวทย์ให้สอดคล้องกับจังหวะการเต้นของหัวใจ
ใช้เวลาเกือบ 30 นาทีในการยับยั้งพลังเวทย์ก่อนจะลุกขึ้นสวมชุดคลุมตัวเดิมที่แขวนไว้ด้านข้างและเริ่มลงมือเก็บของทั้งหมดลงในพื้นที่มิติเพื่อเตรียมออกเดินทางอีกครั้ง
ทันทีที่ประตูไม้เก่าแก่ถูกเปิดออกกลิ่นของหญ้าสดด้านนอกก็ลอยเข้ามากระทบจมูกของเขาทันที
มันช่างสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
วิคตัสทอดสายตามองสนามหญ้าที่เติบโตขึ้นชั่วข้ามคืนด้วยความดีใจ เขารู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่กำลังฟื้นคืนชีพเขารีบก้าวออกไปจนไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งเล็กๆที่อยู่รอบตัว
ใบเรียวเล็กสีน้ำเงินสดใสที่โบกไปมาของดอกไม้นอกกระท่อมดูสะดุดตาเป็นพิเศษช่างน่าเสียดายที่ความสวยงามของมันกลับไม่มีใครสังเกตเห็น
ดอกนิมิต ที่เติบโตท่ามกลางผืนดินที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของพลังเวทย์จากอาณาเขตที่คอยปกป้องมัน ดอกไม้นี้ไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตธรรมดาแต่ยังเป็นพืชที่มีจิตวิญญาณและมีความตระหนักรู้
ใบของมันเริ่มโบกไปมาอย่างเร่งรีบราวกับกำลังพยายามสื่อสารกับเจ้านายผู้เป็นที่รักของมัน
....เฮ้! นายท่าน! จะไปไหนน่ะ? ท่านคงไม่ปล่อยให้ข้าเหี่ยวเฉาอยู่คนเดียวในป่ามืดนี่ใช่มั้ยย?
.
.
.
หลังจากที่วิคตัสออกจากอาณาเขตเวทย์ที่ล้อมรอบกระท่อมของเขาความรู้สึกปลอดภัยจากมนต์คุ้มกันก็ค่อยๆหายไปจากความรู้สึก
อากาศที่เย็นชื้นแผ่ซ่านเข้ามาทันทีที่ข้ามผ่านเส้นเขตแดน ความเงียบสงบที่เคยชินถูกแทนที่ด้วยเสียงรอบข้างที่ไม่คุ้นเคย
เสียงลมหนาวเบียดเสียดพัดผ่านต้นไม้และกิ่งไม้ที่ดังเป็นระยะราวกับมีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่รอบตัวเขาในความมืดสลัว
วิคตัสก้มเก็บเมล็ดสมุนไพรที่พบระหว่างทาง มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสานไว้แน่นขณะที่สายตายังคงมองหาเครื่องหมายเล็กๆบนต้นไม้ที่เขาทำไว้ครั้งก่อนโชคดีที่ครั้งนี้ไม่มีเหตุการณ์แปลก ๆเกิดขึ้นอีก
.
.
"GRRRRRrrrrrrrrrrrr!!"
จู่ๆเสียงคำรามดังขึ้นจากมุมนึงของป่าด้านหน้าก็ดังขึ้นจนทำให้เขาหยุดชะงักทันที วิคตัสหันหน้าไปตามทิศทางของเสียงโดยที่มือจับอยู่บนมีดกริชที่พึ่งหยิบขึ้นมาเขาสูดหายใจเข้าก่อนจะสบถออกมาเบาๆ
การเดินทางที่ควรจะสงบสุขกลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในฉากสยองขวัญ วิคตัสรู้สึกถึงความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นในใจ ขณะที่เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่ามันต้องการท้าทายให้เขาหยุดเดินต่อไป
" ฮึ่ม! ให้ข้าเดินสบาย ๆสักวันไม่ได้รึไงกัน? ถ้าคิดว่าข้าจะถอยกลับเพราะเสียงนี้...เจ้าคิดผิดแล้ว ฮัดช่าาา !! "
เขาแกล้งบ่นออกมาราวกับไม่เกรงกลัวแต่มือที่จับมีดยังคงกระชับแน่นขึ้นทุกการเคลื่อนไหว เสียงสัตว์ป่าดังขึ้นเขย่ากระดูกหูทั้งสามจนเกือบทำให้เขาหัวใจวายตายด้วยความตกใจ
วิคตัสพยายามควบคุมตัวเองและรวบรวมสติ ก่อนจะหันกลับไปทางเสียงนั้นอย่างระมัดระวัง เขายังต้องรวบรวมพืชสมุนไพรหายากเหล่านี้ และที่สำคัญวันนี้เขาจะไม่ยอมให้เสียงน่ารำคาญนั่นมาหยุดเขาจากการเดินทาง
ความชัดเจนของเสียงบ่งบอกได้ว่าอาจมีบางสิ่งอยู่ไม่ไกลจากเขา
ด้วยความระมัดระวังเขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของเสียงก่อนจะรีบหยิบไม้คทาออกมาเพื่อสร้างเถาวัลย์สีเขียวส่งตัวเองขึ้นไปบนยอดไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อเตรียมรับมือ
หมอกหนาที่บดบังวิสัยทัศน์ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูไม่ชัดเจนเขาจึงตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในความมืด เพื่อสังเกตการณ์
เสียงคำรามของสัตว์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องให้ได้ยินเป็นระยะหลังจากผ่านไปสักพักเมื่อแน่ใจว่าไม่มีตัวอะไรแปลกๆเข้ามาจู่โจมวิคตัสจึงลงมาด้านล่างก่อนเริ่มค้นหาที่มาของเสียงด้วยความสงสัย
เส้นทางถูกแยกออกไปตรงข้ามกับทะเลสาบครั้งก่อน รอบๆมีเพียงหนามเล็กสีดำขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่นจนดูราวกับไม่มีทางไปต่อได้ วิคตัสจ้องมองไปข้างหน้า ก่อนจะพึมพำด้วยเสียงเบา
"มีอะไรซักอย่างอยู่ที่นั่น ?"
วิคตัสใช้พลังเวทย์อย่างระมัดระวังเพื่อแหวกเส้นทาง กิ่งหนามกระตุกตามแรงพลังเวทย์และโค้งตัวเป็นทางอุโมงค์ขณะที่ขวดยาพิษสีม่วงในมืออีกข้างถูกจับไว้แน่น
"ถ้าอะไรโผล่มาตอนนี้...รับรองว่าไม่ตายดีแน่" เขาบ่นเบาๆขณะก้าวเดินต่อไป
เมื่อแรงลมกระโชกที่พัดมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดปะทะเข้าใบหน้าของวิคตัสฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงักทันที
...คงเป็นที่นี่สินะ ?
เขาคิดในใจขณะยืนอยู่ในความมืดที่มีแต่เสียงลมพัดและกลิ่นเลือดพร้อมกับสัญชาตญาณที่ตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง
นัยตาสีเขียวหรี่ลงอย่างระวังก่อนปรับโฟกัสเพื่อจ้องมองผ่านกิ่งหนามรกที่ขึ้นอยู่ตรงหน้า เงาบางอย่างเคลื่อนไหวแว่บผ่านระหว่างกิ่งไม้แต่สิ่งนั้นเร็วเกินกว่าจะรู้แน่ชัดว่าคืออะไร หัวใจของวิคตัสเต้นรัวในอกความเงียบที่ถาโถมเข้ามาหนักอึ้งยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนทั้งโลกนี้กำลังจะกลืนเขาไป
'ตัวอะไรน่ะ?'
ความรู้สึกของการถูกตามล่าหวนกลับมาอีกครั้ง มือที่ถือไม้คทาเริ่มชุ่มเหงื่อเขากำมันแน่นขึ้นเพื่อบังคับตัวเองให้อยู่เฉย ขณะที่จิตสำนึกมุ่งไปที่การระวังสิ่งที่อยู่ข้างหน้าในสถานการณ์เช่นนี้การเคลื่อนไหวเร็วเกินไปอาจหมายถึงความตาย