ท่ามกลางสายฝนหวดกระหน่ำ ณ ผาเดียวดาย ร่างหนึ่งยืนตระหง่านบนชะง่อนผาที่ด้านล่างเป็นหุบเหวลึกเกินหยั่ง
ตรงหน้าร่างนั้นคือกลุ่มอริไพรีที่หมายชีพตน ศัตรูตรงหน้าเหล่านั้นคือเหล่าเทพเทวาผู้เห็นว่าเหล่าตนคือผู้ครอบครองฤทธานุภาพแห่งความดีงาม คือผู้ถูกต้อง คือผู้ปกปักรักษาแห่งผืนนภาแลปฐพี ผู้มีรูปกายงดงาม และผู้เอื้ออารี เป็นเผ่าพันธุ์ที่เอาแต่สรรเสริญยกย่องตัวเองเพื่อหยันเหยียดเบียดเบียนเผ่าพันธุ์ที่ต่ำชั้นกว่า นั่นคือชนชั้นของ 'เหล่ายักษาผู้น่าเวทนา'
ทำเป็นแสร้งว่ามีไมตรีให้ แล้วมุสาลวงล่อให้เหล่าเผ่ายักษ์อสุราผู้ไม่ทันระวังตนร่วมมือในการกวนน้ำอมฤต ลวงว่าจะจ่ายแจกแบ่งสรรตามกำลังที่เข้าร่วม ที่ไหนได้...หลังเสร็จสิ้นทุกสิ่งที่มุ่งหวัง เหล่าทวยเทพอันเรืองฤทธาก็เผยธาตุแท้ที่ต่ำทรามเสียยิ่งกว่าชนชั้นอสูร ยึดทุกสิ่งที่ควรเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมแห่งยักษ์ไป แล้วขับไล่เข่นฆ่าราวกับมิเคยมีไมตรีกัน
แต่ยักษามิยินดีถอยร่นดังเหล่าเทพชั่วปรารถนา เช่นนั้นสงครามเทวาอสูรจึงอุบัติ
เหล่าเทพผู้ได้เสวยอมฤตอุดมไปด้วยอิทธิฤทธิ์เพิ่มพูนไพศาล ต่างกับเหล่ายักษาอสูรมารที่หมดกำลังไปอักโขแล้วกับการร่วมกวนเกษียรสมุทรในครานั้น แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มากด้วยอำนาจแลพลัง ทว่า ณ เพลานี้ก็หาได้เหลือเรี่ยวแรงต่อกรใดๆ กับเหล่าผู้มีฤทธาไม่
ท้ายที่สุดยักษาก็มิอาจต้านทาน ถูกไล่ต้อนหักหาญผลาญชีวินจนแทบสิ้นทั้งเผ่า
ขุนพลยักษ์ตนหนึ่งที่ยังยืนหยัดแม้จะเหลือเพียงแขนข้างเดียวกับร่างที่โชกชโลมไปด้วยโลหิต ร่างนั้นยืนจังก้าอยู่ตรงริมชะง่อนผาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้เหล่าเทพนั้นมุ่งมายังตนเพียงหนึ่ง เปิดทางให้เหล่าลูกหลานในเผ่าที่เหลือได้หลบลี้เอาชีวิตรอด
ท่ามกลางสายฝนสาดกระหน่ำ แสงวาบของสายฟ้าหวดฟาดพาดผ่านทิฆัมพรราวกับแส้ม้า พร้อมกระแสเสียงกัมปนาทคำรามครามครืน
ผู้ใกล้วายชนม์เหยียดยิ้มเยาะหยันในห้วงสุดท้ายแห่งชีวิตตน ก้มร่างลงใช้มือข้างที่เหลืออยู่กอบกำดินเปียกขึ้นมาหยิบมือแล้วป้ายปาดตรงหน้าผากโหนกลากเป็นปื้นตั้งแต่หน้าผากจรดริมฝีปาก พลางเอ่ยคำสาปแช่ง!
"ข้าแต่ผืนปฐพีโปรดเป็นพยาน ข้าผู้นี้ขอแลกด้วยลมหายใจแลวิญญาณทั้งหมดแด่ท่าน เพื่อสาปสรรเผ่าพันธุ์แห่งเทวัญชั้นฟ้าผู้เป็นทุรยศแก่เผ่าพันธุ์ข้า ขอให้พวกมันประสบแต่ความบรรลัยฉิบหายให้เท่ากันกับเผ่าพันธุ์ข้า ขอให้พวกมันจมอยู่กับความทุกข์โศกเวทนา เจ็บไข้ล้มตายไม่มีวันขาดสายประดุจห่าฝนนี้!! ทำร้ายพวกข้าไว้เท่าใดก็ขอให้พวกมันฉิบหายเท่ากัน!!! ให้พวกมันที่ถือตัวว่าเป็นเทพผู้สร้างกลายร่างไม่ต่างจากเดรัจฉานอสูร ไม่อาจเสวยสุขในทิพยใด ๆ ให้มันกินได้เพียงเลือดเนื้อจนเป็นที่รังเกียจไปทั่วสารทิศ!! ขอให้คำที่ข้าลั่นออกไปด้วยวิญญาณนี้ถือเป็นคำตาย หาได้มีอำนาจใดลบล้างได้ไม่!! และแม้ถึงวันที่มันเจ็บเท่ากันแล้ว หากมิใช่ลูกหลานแห่งเผ่าพันธุ์ยักษาผู้ต้องตามตำราเป็นผู้ถอนคำสาปสรรนี้แล้วไซร้ ก็ให้พวกมันจมอยู่กับทุกขเวทนาต่อไป อย่าได้ผุดได้เกิด ชั่ว กัป ชั่ว กัลป์!!"
สิ้นคำสุดท้ายสายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาที่ด้านหลังเพื่อตอบรับในคำสาปแช่งนั้น ขุนพลยักษ์เหยียดยิ้มเย็นก่อนที่ร่างนั้นจะหงายหลังทิ้งลงไปยังหุบเหวที่ลึกสุดหยั่ง แหลกเหลวอยู่ ณ ก้นบึ้งนั้นพร้อมคำสาปสรรที่แสดงฤทธานุภาพออกมาในทันที!
*
*
*
*
*
หัวใจยักษาร้าวรวด การถูกเหล่าเทพหักหลังนั้นมันยังไม่หนักเท่าการถูกเพื่อนร่วมตายทรยศ แต่แม้เจ็บแค้นเท่าไหร่ยักษาตนนี้ก็ไม่อาจหักใจต่อสหายเทพเพียงหนึ่ง ในขณะที่บริกรรมคำแช่งชักจึงจงใจยกเว้นเทพตนนั้นไว้ แล้วค่อยจากไปด้วยหัวใจที่แหลกสลาย
*
*
*
*
*
หลังคำสาปสรรเมืองที่สวยงามราวสรวงสวรรค์ชั้นดุสิตก็พินาศย่อยยับลงไป เหล่าทวยเทพที่แม้ยังเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งน้ำอมฤตแต่ก็ไม่อาจต้านทานความรุนแรงของคำแช่งนั้น ทำให้ลูกหลานที่เกิดใหม่ล้มตายไปเกือบทั้งเผ่า เหล่าเทพที่เหลือรอดก็แทบจะกลายสภาพเป็นอสูรที่ต้องดำรงชีพด้วยเลือดเนื้อของเหล่ามนุษย์
จากเผ่าพันธุ์แห่งเทพเทวัญที่สูงศักดิ์ต้องตกต่ำเข้าขั้นเดรัจฉาน นั่นจึงทำให้เหล่าเทพที่ยังเหลือรอดพยายามอย่างหนักเพื่อหาวิธีแก้ไข ทางเดียวที่จะสามารถแก้ได้คือต้องให้ลูกหลานยักษ์สายเลือดเดียวกับผู้สาปเป็นคนแก้ ทว่าหลังพวกตนเทพไท้ทำการอันเป็นทุรยศโดยการยึดน้ำอมฤตเป็นของตนทั้งหมดแล้วนั้นก็ได้ไล่ล่าพร่าผลาญเหล่ายักษ์จนสิ้นทั้งเผ่า มันจึงไร้ซึ่งผู้แก้ไข
แต่กาลนั้นก็ไม่ได้ทำให้เหล่าผู้ที่ถือตนว่าเป็นคนวิเศษเลิศล้ำถอดใจ เทพไท้ผู้มีฤทธิ์จึงสร้างยักษ์ขึ้นใหม่ด้วยเลือดเนื้อจากซากศพของยักษ์ที่ตนเข่นฆ่า เพื่อให้กำเนิดยักษ์ในยักษ์ตนใหม่ที่สามารถแก้ไขคำสาปสรรได้
ทว่าเรื่องนั้นก็หาได้ง่ายดาย ยักษ์ที่ถูกสร้างขึ้นไม่อาจทดแทนวงศ์วานแห่งสายเลือดแท้ อีกทั้งการทดลองสร้างยักษ์มิใช่เรื่องง่าย ตัวอ่อนบ้างตายบ้างพิการไม่สามารถเติบใหญ่สมบูรณ์ เพียงครึ่งหนึ่งที่สามารถรอดพ้นจนเติบใหญ่กระนั้นก็มิได้หมายความว่าจะรอดขึ้นมาเป็นยักษ์แต่กลับกลายเป็นอสูรที่ไร้จิตสำนึกใดที่ต่ำช้ายิ่งกว่าภพแห่งเดรัจฉาน แม้เทพเหล่านั้นจะรู้ตัวว่ากำลังจะสร้างหายนะ แต่ก็ไม่ยอมล้มเลิกในการเพาะยักษ์ขึ้นมาล้างคำสาป เพราะแม้จะมีโอกาสแค่ 1 ในล้านพวกเขาก็ยังมีความหวัง
แต่ยิ่งนานวัน นอกจากการทดลองจะไม่สำเร็จผลดังใจแล้ว ความเสื่อมสลายก็คืบคลานเข้ามาทุกขณะ เหล่าเทพไม่อาจอยู่รอความตายที่ดินแดนของตน ท้ายสุดจึงคิดอพยพโยกย้ายทิ้งหลอดทดลองที่มีมากมายหลายล้านไว้ ทั้งที่ถูกทำลายและยังมีตัวอ่อน โดยมิสนใจอีกว่ามันจะกลายเป็นตัวอะไร อสูร หรือ ยักษ์
ในช่วงกลียุคที่สุดพรแห่งอมฤตก็ไม่อาจส่งทอดได้ทั้งหมด เหล่าเทพไท้กลายกลับเป็นสิ้นฤทธา เผ่าพันธุ์ล่มสลายเมื่อปลายสมัยที่แดนดุสิตกับแดนมนุษย์ยังเชื่อมโยง เมืองดุสิตแห่งทวยเทพล่มสลายมีเพียงส่วนหนึ่งที่หนีรอดลงมาพักพิงยังแดนมนุษย์ จบสิ้นตำนานแห่งเผ่าพันธุ์ที่เคยยิ่งใหญ่
แต่เรื่องเลวร้ายที่พวกเขาได้ทำไว้มันยังไม่จบ การเริ่มต้นแห่งกลียุคจึงได้ลุกลามลงสู่โลกมนุษย์ด้วย เพราะเหล่าอสูรที่ถูกทิ้งไว้ในดินแดนดุสิตไม่ได้ล้มตาย กลับเพิ่มพูนกำลังพลเหลือคณานับ ขยายเผ่าพงศ์ครอบครองแดนดุสิตที่เสื่อมถอย แม้อสูรทดลองที่สร้างขึ้นนั้นส่วนใหญ่จะล้มเหลวกลายเป็นเพียงอสูรที่มีเพียงสัญชาตญาณไม่มีหัวคิดจิตใจ แต่เหล่าเทพไม่รู้ว่ามันยังมีตัวอ่อนส่วนหนึ่งที่สามารถพัฒนาจนเกือบกลับมาใกล้เคียงกับเผ่ายักษ์ ที่มีมันสมองและมีรูปโฉมที่ไม่ต่างเทพ
เหล่าอสูรผู้มีสมองนั้นสถาปนาตัวขึ้นเป็นเผ่าอสูร เผ่าพันธุ์อสูรนี้ขยายกำลังพลจากหลอดทดลองพราดพรวดรวดเร็วจนวันหนึ่งแดนดุสิตที่ล่มสลายก็ไม่อาจรองรับความหิวกระหายของพวกมัน ทรัพยากรถูกล่าล้างจนแทบไม่เหลือเพราะพวกอสูรระดับล่างมันกินไม่เลือก สุดท้ายพวกมันก็เริ่มรุกรานไปยังพื้นที่อื่น และเพราะแดนดุสิตกับแดนมนุษย์ยังยึดโยงกันผ่านประตูมิติที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ทำให้ต่อมาอสูรส่วนหนึ่งก็ผ่านประตูมิติเข้ามารุกรานในแดนดินนี้
เหล่ามนุษย์ผู้อยู่อย่างสุขสงบมาตลอดตกอยู่ในความหวาดหวั่น แต่เหล่าเทพที่แฝงตัวอยู่นั้นรู้ดีว่ามันคือความรับผิดชอบของพวกตน สุดท้ายจึงออกหน้าปกป้องมนุษย์โดยการกำจัดอสูร ทว่าเหล่าเทพที่เหลือเพียงหยิบมือไม่อาจต้านทานเหล่าอสูรที่โผล่มาทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่หยุดหย่อนได้ไหว แต่ด้วยพรแห่งอมฤต ก่อนที่เผ่าพันธุ์เทวัญและมนุษย์จะถูกรุกรานจนถึงกาลสาบสูญ พวกเขาจึงได้ทำพิธีประสาทพรหนึ่งขึ้นเพื่อมอบฤทธานี้ส่งต่อแก่มนุษย์บนโลกที่ตนเข้ามาพักพิงอาศัย
'พรภูมิ' คือชื่อของพรที่พวกตนมอบให้ แบ่งปันจากอมฤตลึกล้ำที่พวกตนได้ถือครอง เด็กมนุษย์ส่วนหนึ่งนับจากนี้ไปจะได้รับพรภูมิกลายเป็นผู้มีพลังทัดเทียมเทพเพื่อปกปักรักษาดินแดนแห่งนี้จากเหล่าอสูร และเพราะมนุษย์ไม่เคยมีพลังทั้งยังไม่รู้ว่าอสูรนั้นเกิดจากฝีมือของเหล่าเทพสร้าง พวกตนจึงมอบศรัทธาให้แก่เทพผู้ประสาทพรและยกให้เป็นผู้ปกครองตนในที่สุด
เวลาผันผ่าน เหล่าเทพผู้มาเยือนแบ่งดินแดนมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ออกเป็น 5 ประเทศเพื่อให้ง่ายต่อการปกป้อง อันได้แก่ อินทรา จันทรา สุริยา ดารา อนันตา แต่ละประเทศสร้างกำแพงเมืองมหึมาเพื่อปกป้องพื้นที่ของตนจากพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ที่ถูกอสูรยึดครองไปแล้ว
กว่าหลายพันปีล่วงมาถึงปัจจุบันที่โลกก้าวหน้าไปมาก ด้วยวิทยาการที่เลิศล้ำทำให้พวกมนุษย์สามารถต่อกรกับอสูรได้มากขึ้น พวกเขาจัดตั้งโรงเรียนของเหล่าผู้ได้รับพรภูมิเพื่อจะได้ฝึกทักษะในการล่าอสูรตั้งแต่เยาว์วัย มีการวางกำลังเพื่อป้องกันกำแพงเมืองอย่างแน่นหนา
แม้เหล่ามนุษย์ผู้ได้รับพรภูมิจะมีพลังและความสามารถอันน่าอัศจรรย์ แต่ก็ไม่อาจเทียบเท่าเหล่าชนชั้นปกครองเพียงหยิบมือของอาณาจักรอินทราที่สืบเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์แห่งเทวัญผู้ประสาทพรได้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีพร้อมทั้งพละกำลังที่เหนือกว่าคนทั่วไป ทักษะการรบ พลังเวทย์ อายุขัยที่ยืนนานและที่สำคัญคือรูปโฉมที่งามล้ำสมชาติพันธุ์ที่สืบสายมา
น่าเสียดายที่ความเลิศล้ำสัพพัญญูเพียงนั้นกลับไม่อาจดำรงเกรียงไกร ชนชั้นปกครองผู้สืบเชื้อสายที่เหลือรอดจากการสูญสลายของชั้นดุสิตจึงเหลืออยู่เพียง 5 ตระกูลเท่านั้น ซึ่งก็กลายเป็นราชาประจำ 5 ประเทศไป
แต่แม้ทุกสิ่งได้สรรค์สร้างให้คนเหล่านี้มีความพิเศษเหนือผู้ใดจนเป็นที่ริษยา ทว่าคำสาปสรรแห่งเผ่าพันธุ์ที่ติดตัวมาย่อมยังส่งผลกระทบ นั่นคือพวกเขานั้นจำเป็นจะต้องดื่มโลหิตเพื่อยังชีพให้อยู่รอด และไม่ใช่เพียงโลหิตของมนุษย์สามัญธรรมดา แต่ต้องเป็นโลหิตของผู้มีอำนาจแห่งพรภูมิในด้านของเวทมนตร์อาคมสูงส่งเพียงพอเท่านั้น นั่นจึงทำให้ผู้สืบสายพงศ์เผ่าแห่งเทวัญนั้นล้วนต้องมีนักเวทย์ข้างกาย เพื่อที่จะใช้วิชาอาคมที่ตนมียับยั้งและรักษาอาถรรพ์ของคำแช่ง และอีกอย่างคือเป็นคลังโลหิตที่จะขาดไม่ได้เป็นอันขาด
มีอีกอย่างที่เป็นความคับแค้นในอกของเหล่าเทพ นั่นคือคือพวกตนไม่อาจให้กำเนิดเทพเลือดบริสุทธิ์ได้ พวกเขาไม่อาจให้กำเนิดบุตรที่เป็นสายเลือดแท้นอกดินแดนดุสิต ดังนั้นเด็กส่วนใหญ่ที่ถือกำเนิดมาก็จะมีสายเลือดเพียงครึ่งเดียว อีกทั้งยังยากมากที่จะเกิดมาด้วย ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มียุวเทพถือกำเนิดออกมาเพียง 13 คนเท่านั้น ทั้งหมดเป็นเลือดผสม โดย 3 คนล่าสุดเพิ่งถือกำเนิดเมื่อ 18 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นเป็นรัชทายาทที่กำเนิดจากราชาที่เป็นเทพและมารดาที่เป็นคนจากเผ่านาค ซึ่งเผ่านาคก็ถือว่าเกือบเทียบเคียงเทวา ส่วนยุวเทพอีก 2 คนในรุ่นเดียวกับรัชทายาทนั้นเป็นบุตรของแม่ทัพคู่พระทัย และอีกคนเป็นบุตรของราชครู
รัชทายาทเป็นลูกครึ่งเทพ-นาคา บุตรชายของแม่ทัพก็เป็นลูกครึ่งเทพ-นาคา เป็นที่น่าแปลกใจนักเพราะบุตรชายของราชครูนั้นถือกำเนิดจากมารดาที่เป็นลูกครึ่งเทพกับราชครูผู้เป็นมนุษย์ที่ได้รับพรภูมิเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเด็กที่กำเนิดออกมาก็มีสัญลักษณ์แห่งเทวา
เมื่อยังเยาว์ ยุวเทพเหล่านี้จะยังไม่ต้องรับเลือดเพราะถือว่ายังบริสุทธิ์ จะเริ่มรับเลือดครั้งแรกก็ต่อเมื่อเจริญวัยถึงอายุ 13 ปี โดยจะสามารถรับเลือดจากนักเวทย์ของชนชั้นปกครองได้ แต่เมื่อใดที่อายุผ่านพ้นจนถึง 18 ปีแล้วก็จะไม่สามารถรับเลือดจากบุคคลใดนอกเหนือจากนักเวทย์ที่ถูกผูกพันธะของตนได้อีก
และเมื่อกล่าวถึงนักเวทย์ แม้ผู้ที่ได้รับพรภูมิจะมีมากมาย แต่ก็ได้ทักษะแตกต่างกันออกไปเป็น 5 สายหลักๆ ด้วยกัน คือ นักรบ นักฆ่า นักธนู นักบวช และ นักเวทย์ จริงอยู่ที่มีนักเวทย์อยู่มากมาย แต่นักเวทย์ที่ประสบความสำเร็จจนได้ยืนเคียงข้างชนชั้นปกครองนั้นถือว่าหายากเสียจนเลือดตาแทบกระเด็น บางครั้งแม้เก่งกล้าแต่หากไร้วาสนาก็ไม่อาจไขว่คว้าถึง
เพราะเหตุนี้เทวาที่ตอนนี้เหลือเพียงหยิบมือในชั้นปกครองก็ได้เฟ้นหาเหล่าคนที่มีพรภูมิแล้วเอาเข้าเรียนในโรงเรียนที่เรียกว่าอะคาเดมี่ที่ปกครองโดยพวกตน เพื่อให้เด็กเหล่านั้นเติบโตอย่างแข็งแกร่งแล้วออกมาต่อสู้กับอสูรได้อย่างเข้มแข็ง และเพื่อตามหานักเวทย์ที่เหมาะสมต่อทายาทที่กำลังเติบใหญ่หรือที่อาจถือกำเนิดออกมาในอนาคต ดังนั้นจึงไม่มีใครเลยที่มีพรภูมิแล้วจะไม่ถูกค้นพบ ส่วนใหญ่จะเจอตั้งแต่แรกเกิดเพราะมีสัญลักษณ์แห่งผู้ได้รับพรติดตัวอยู่
ว่ากันว่าใครหรือครอบครัวใดก็ตามที่มีบุตรในบ้านเกิดมาพร้อมสัญลักษณ์แห่งพรภูมิ ก็จะได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐทันทีเพราะถือว่าเป็นครอบครัวของผู้ปกป้องประเทศ และที่สุดในนั้นคือใครที่ได้รับพรภูมิในสายเวทย์แล้วได้รับเลือกให้เป็นคู่กับเทวาแล้วล่ะก็ครอบครัวก็จะเรียกได้ว่ายิ่งกว่าถูกรางวัลใหญ่ เพราะไม่มีสิทธิประโยชน์ใดมีค่ามากไปกว่าการได้ใกล้ชิดชนชั้นปกครอง อย่างในยุคนี้ที่มียุวเทพถือกำเนิดออกมา 3 คน นั่นย่อมหมายความว่าจะมีนักเวทย์จาก 3 ครอบครัวได้รับสิทธิพิเศษนั้น
อีกไม่นานทั้ง 3 ก็จะอายุครบ 18 ปีแล้ว แต่ก็นั่นแหละส่วนใหญ่แล้วพวกที่ได้รับเลือกก็จะมาจากตระกูลใหญ่ๆ เท่านั้น โดยเฉพาะในยุคสมัยแห่งทุนนิยมนี้
คนธรรมดาย่อมไม่มีสิทธิ์ใฝ่ฝันถึง
ประเทศที่ปกครองด้วยระบบชนชั้นมันก็เป็นแบบนี้
ไม่ว่าที่ใดก็ตาม...