"สัตตะ นายอย่าไปสนใจพวกนั้นเลยนะ!" ทูรย์รีบเข้ามาปกป้องเพื่อนท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะหยันของคนอื่น ๆ "ผมเชื่อว่าต่อให้อาวุธจะเป็นอะไร นายก็เก่งกว่าพวกเขาอยู่แล้ว!!"
พูดไปกองไฟในดวงตาก็ลุกโชน จนสัตตะถึงกับต้องส่ายหน้า
"เอาอะไรมามั่นใจเบอร์นั้นกันนายน่ะ? "
กะว่าวันนี้คงรอดไปได้ด้วยดีแล้ว แต่ก็มีบางอย่างในหัวใจเตือนขึ้นมาว่าให้ระวัง สัตตะใช้มือจับไปที่หัวใจของตัวเอง พยายามใช้พลังหยั่งรู้
"อาวุธดีใช้ได้เลยนะครับ"
"!!? " เสียงทักของอาจารย์โท เล่นเอาสัตตะสะดุ้งตั้งแต่ตาตุ่มขึ้นถึงกลางกระหม่อม
ในความคิดของสัตตะ คนที่น่ากลัวกว่าไอ้เทวาตัวกินเลือดนั่นก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาที่มีสายตาที่ราวกับมองทะลุทุกสิ่งนี่แหละ
"แม้จะไม่รู้จักว่าอาวุธชิ้นนี้คืออะไร แต่ออร่าจักราที่ห่อหุ้มเอาไว้ก็ไม่ธรรมดาเลย" อาจารย์โทกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ใบหน้าใจดีที่ทำเอาสัตตะขนลุกซู่
'นั่นไง แม่งตาทิพย์ชัดๆ!'
"ร…เหรอครับ ผมมองไม่ออกเลย เห็นแค่เป็นไม้ตะพดเก่า ๆ เท่านั้น" สัตตะพูดกลบเกลื่อนไปเรื่อย ปั้นหน้าตายให้เป็นปกติ
การเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบเลี่ยงทำให้สัตตะไม่เห็นสายตาคมปลาบของอาจารย์โทที่มองมาที่ตน
"งั้นเหรอ ฝึก ๆ ไปเดี๋ยวก็มองเห็นเอง เอาล่ะ เรื่องล่าภูตพยายามเข้านะ ผมคาดหวังในตัวคุณสุด ๆ ไปเลยล่ะ" พูดจบก็ตบไหล่ลูกศิษย์แปะ ๆ แทนการให้กำลังใจ แล้วหันหลังเดินจากไปด้วยสีหน้าที่พออกพอใจอย่างเต็มที่
"อาจารย์โทเขาเป็นคนดีจังเลยเนอะ" ทูรย์ที่เห็นเหตุการณ์มาตลอดเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาที่เป็นประกาย "เท่สมกับที่เป็นวีรบุรุษแรงก์ S ของอาณาจักรจริง ๆ "
สัตตะไม่ได้ต่อคำ ปล่อยให้เพื่อนพร่ำเพ้อไปขณะวิเคราะห์ชีวิตของตัวเองอยู่ในใจ
…แรงก์ S นั่นสินะ ชีวิตในรั้วกำแพงของเขาจะไม่มีปัญหาเลยถ้าไม่ต้องเจอกับไอ้พวกแรงก์ S จมูกไวพวกนี้
เฮ้อ!
สัตตะคิดแบบนั้นและตั้งใจว่าจะเพิ่มการระวังตัวจากหูตาของไอ้พวกนี้ให้มากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นในขณะที่เขายืนทอดอาลัยอยู่ข้างกับทูรย์ที่กำลังกระดี๊กระด๊ากับความเท่ของอาจารย์โทอยู่นั้น ก็ไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าตนเองได้ตกอยู่ภายใต้สังเกตการณ์ของสหัสอยู่ตลอด
หลังจากที่ให้ทุกคนได้ทำความเคยชินกับอาวุธของตนแล้ว อาจารย์โทก็สอนให้ทุกคนใช้เวทย์กระเป๋ามิติเพื่อเก็บและดึงอาวุธของตนได้ยามจำเป็น เพื่อความสะดวกในการใช้เพราะอาวุธบางชิ้นก็ใหญ่เกินกว่าจะพกพาไปไหนมาไหนง่าย ๆ แต่ถึงกระนั้นบางคนที่สามารถเรียกอาวุธระดับยูนีกออกมาได้ก็ไม่คิดจะเก็บมันง่าย ๆ แน่ ถือโชว์ สะพายโชว์ให้คุ้นมือมันดีต่อใจและภูมิใจว่า
ครู่ใหญ่ ๆ ต่อมาเมื่อช่วงพักผ่านพ้นไป อาจารย์โทก็ประกาศให้เริ่มจับกลุ่มเพื่อฝึกปฏิบัติภารกิจล่าภูตประจำตัวกลุ่มละ 5 คน ฑูรย์ตัวติดกับสัตตะอยู่แล้วไม่ยอมแยกเด็ดขาด แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครอยากอยู่กับเด็กใหม่ สหัสกับธชาก็มีคนรุมทึ้งจองตัวกันไว้อยู่แล้วนั่นคือกลุ่มของมีราห์กับลูกท่านหลานเธอคนอื่น ๆ
"สงสัยได้เข้าไปกันสองคนแน่เลย" ทูรย์บ่นกับสัตตะ เพราะดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจอยากอยู่กับพวกตนเลยสักคน
"สองคนก็ดีแล้ว พวกนั้นน่ารำคาญจะตายนายก็เห็นอยู่" สัตตะไหวไหล่ ไม่ใส่ใจต่อให้กลุ่มของพวกตนจะไม่ครบ 5 คนตามคำสั่ง และจะไม่ขอดิ้นรนเสาะหาเองด้วย
ได้ยินแบบนั้นทูรย์ก็ทำใจ ส่วนสัตตะเขาย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว
"เฮ้ พวกนายน่ะ มาอยู่กับพวกเราสิ"
"..."
"...โอ้"
จู่ๆ ก็มีเสียงทักมาจากทางด้านหลัง สัตตะลอบขมวดคิ้วทันทีที่ได้เห็นกลุ่มคนพวกนั้นในขณะที่ทูรย์ดวงตาลุกวาวด้วยความดีใจที่จำนวนคนจะได้ครบตามที่อาจารย์สั่ง
คนที่ส่งเสียงมานั้นคือ 'พวาน' ลูกนักการเมืองใหญ่ที่เป็นนักรบแรงก์ A กับลิ่วล้อแรงก์ B ที่เป็นนักแม่นปืนกับนักฆ่า แน่นอนว่าทูรย์รับปากทันที สัตตะเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะไม่อยากทำตัวเด่นขึ้นมาอีก
แต่ดูเหมือนหูผีที่ดีกว่าคนทั่วไปของเขาจะทำให้ได้ยินเสียงเตือนจากรอบข้างได้ชัดเจน
'กะแล้วเชียว'
'ก็บอกแล้ว พวานไม่ปล่อยไว้แน่'
'น่าสงสารจัง คิก คิก'
'ก็เหมาะกันดีออก ไอ้แรงก์ A กระจอกที่ดีแต่กร่างเพราะพ่อใหญ่ กับไอ้ขยะแรงก์ F ไม่มีหายนะอะไรน่าดูเท่านี้อีกแล้ว หึหึ'
'น่าสงสารเจ้านาคานั่นจัง'
'ช่วยไม่ได้ เจ้านาคาเกิดใหม่นั่นเลือกเพื่อนผิดเอง'
'ก็ไม่แน่นะ หลังจากเจ้าแรงก์ F นั่นถูกพวานจัดการแล้ว ทูรย์ก็คงตาสว่างเองแหละ'
'ก็คอยดูกันไปแล้วกัน'
เสียงกระซิบกระซาบจากรอบข้างชัดเจนแม้จะอยู่ห่างออกไป สัตตะรู้สึกขอบคุณทักษะพิเศษจากนอกกำแพงที่ติดตัวเข้ามานี่เหลือเกิน จากที่ได้วิเคราะห์คำพูดของไอ้ปากเสียพวกนั้น เดาได้ไม่ยากเลยว่าทันทีที่เข้าไปในหอคอยเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
…อ่า ไอ้ใจดีจอมปลอมนี่ ตั้งใจขยี้กันเพื่อโชว์เกรียนให้ไอ้พวกนั้นดูสินะ ทั้งที่มันเองก็โดนดูถูกอยู่เหมือนกันเนี่ยนะ
…ชักสนุกแล้วสิ
สัตตะลอบยิ้มในใจ ขณะฟังอาจารย์โทอธิบายถึงวิธีการเสี่ยงทายเส้นทางและการล่าภูต และกฎของภารกิจต่าง ๆ
"หลังจากเสี่ยงทายเส้นทางได้แล้ว พวกคุณต้องมุ่งหน้าไปล่าภูตที่เส้นทางนั้นโดยกำหนดเวลาไว้จนถึง 6 โมงเย็นวันนี้ ใครที่ทำภารกิจไม่สำเร็จทันตามเวลาจะถือว่าไม่ผ่านและต้องหาเวลามาลงซ่อม"
อาจารย์โทประกาศพร้อมแกล้งทำสีหน้าซีเรียส โดยเฉพาะเรื่องสอบซ่อม แต่กลับไม่มีนักศึกษาคนไหนสนใจคำนั้นของเขาเพราะทุกคนล้วนมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากว่าพวกตนไม่มีทางลงซ่อม
"อย่าเพิ่งดีใจไปครับ" อาจารย์โทเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม "นอกจากล่าภูตแล้วมันมีภารกิจปริศนาอีก 3 อย่างที่พวกคุณต้องทำ ใครไม่ครบตามเวลาก็ถือว่าสอบตกอยู่ดี"
คราวนี้เสียงฮือฮาจึงดังขึ้น 'ภารกิจปริศนา' นั่นก็หมายความว่าพวกเขาต้องเดาเอาเองว่าสิ่งที่กำลังจะเข้าไปเผชิญนั้นใช่ภารกิจหรือเปล่า
"อีกอย่าง ผมมีกฎ 3 ข้อง่าย ๆ ให้พวกคุณจงยึดไว้เพื่อความปลอดภัย นั่นคือ"
"ข้อ 1. ภายในเส้นทางหลังจากผ่านประตูมิติเข้าไปแล้วจะไม่มีกล้องวงจรปิด พวกผมที่ด้านนอกไม่สามารถรับรู้ได้ว่าพวกคุณทำอะไรกันไปบ้าง ดังนั้นทันทีที่เกิดปัญหาให้พวกคุณกดที่ปุ่มสีแดงบนกำไลที่ผมกำลังจะแจกจ่ายให้ไปเพื่อขอความช่วยเหลือทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น หากตรวจพบภายหลังว่าพวกคุณดื้อดึงจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายร้ายแรงทั้งกับตนเองและผู้อื่น จะถือว่าคุณทำความผิดร้ายแรงและปรับตกในวิชาล่าภูตสถานเดียว"
"ข้อ 2. แต่ละเส้นทางมีบอสเฝ้าอยู่ แต่ไม่ต้องกังวลเพราะทุกตัวได้ถูกสะกดเอาไว้อย่างดีแล้ว เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพวกคุณคือห้ามแตะต้องพวกมันเด็ดขาด ฝ่าฝืนปรับตกสถานเดียวเช่นกัน"
"และข้อสุดท้าย เพราะไม่มีกล้องวงจรปิดจึงต้องขอร้องอย่างจริงจังว่าห้ามทำร้ายร่างกายกันเด็ดขาด หากจับได้ผู้กระทำจะต้องถูกระวางโทษขั้นสูงสุดโดยไม่มีข้อยกเว้น"
ทันทีที่จบข้อสุดท้ายทุกสายตาก็มุ่งมาหาพวานทันที และยังมีอีกหลายคู่ที่มองมาทางสัตตะด้วยความเวทนาอยู่ด้วย
หลังประกาศภารกิจแล้วอาจารย์โทก็ประกาศเริ่มการเสี่ยงทายของแต่ละกลุ่มทันที
การจัดกลุ่มเสร็จสิ้นเรียบร้อย แบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม ตามเส้นทางด้านในหอคอยชั้นแรกที่แบ่งออกเป็น 8 ทิศ ก่อนจะเข้าสู่หอคอยแต่ละกลุ่มจะทำการเสี่ยงทายเส้นทางที่ต้องไป ไม่มีกลุ่มไหนที่ถูกจับตามองเท่ากับกลุ่มของสหัสอีกแล้ว กลุ่มยอดมนุษย์ที่ประกอบด้วย
นักรบเทวาแรงก์ S อย่างสหัสเจ้าของดวงตาสีเพลิงที่ควรจะร้อนแรงจนมอดไหม้แต่กลับเย็นชาเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งเข้ากับเส้นผมสีดำขลับลึกลับ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเทวาที่ได้ถือครองพลังที่ไม่อาจวัดได้
นักฆ่าแรงก์ S ธชา นาคาผู้มีดวงหน้าหล่อเหลา เส้นผมสีดำแกมเขียวกับนัยน์ตาสีทองลึกล้ำชวนหลงใหล
นักรบแรงก์ A อย่างมีราห์ สาวสวยเจ้าของเรือนผมสีทองประกาย ดวงตาสีฟ้าสดใสแสดงออกถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
นักแม่นปืนแรงก์ A มีนน์ ชายหนุ่มรูปงามอีกคนที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของมีราห์ เจ้าของนิสัยเริงร่ากล้าได้กล้าเสีย
และคนสุดท้ายคือฮีลเลอร์สาวแสนน่ารักแรงก์ B อีกหนึ่งคนชื่อพันวา เจ้าของเรือนผมสีดำยาวสลวย ดวงตาคู่โศกสีน้ำตาลแกมเขียวทอประกายลึกล้ำ ผู้เป็นที่จับตามองเพราะมีความคู่ควรที่จะได้ผูกพันธะกับสหัสที่สุด
เป็นกลุ่มที่อุดมไปด้วยหนุ่มสาวหน้าตาดีจนเป็นที่อิจฉา เมื่อเทียบกับกลุ่มของสัตตะที่เป็นกลุ่มชายล้วนก็ชวนให้อึดอัดพิลึก
กลุ่มเฉพาะกิจที่มีแต่คนเหยียดหยันนี้ประกอบด้วย
นักรบแรงก์ A พวาน ลูกชายของปลัดกระทรวงการคลังผู้มั่งคั่ง แต่ดันได้ฉายาว่าเป็นได้แค่ไอ้แรงก์ A ห่วยแตก แถมยังมีนิสัยกร่างเป็นที่สุด เรือนผมสีทองแดงกับท่าทางนักเลงนั่นยิ่งเป็นเครื่องการันตีว่าไอ้หมอนี่นิสัยโคตรเสีย
นักฆ่าแรงก์ B โกมา ลิ่วล้อมือขวาของพวาน เป็นคนสบาย ๆ ลูกพี่ว่าไงก็ว่าตามหมด ได้ยินมาว่ามีฝีมือมาก แต่ดันไม่ชอบฝักใฝ่ทางดี
นักแม่นปืนแรงก์ B มายู ลิ่วล้อมือซ้ายผู้เป็นมันสมองของกลุ่ม ร้ายกาจทั้งสกิลปากและฝีมือ
ฮีลเลอร์แรงก์ A ทูรย์
และนักเวทย์แรงก์ F อย่างสัตตะ
ไม่ว่ายังไง ก็ต้องอยู่ให้ห่างจากพวกของสหัสมากที่สุด สัตตะจึงลุ้นจนแทบลืมกลืนน้ำลายในจังหวะที่ทำการเสี่ยงทายเส้นทาง ผลออกมาคือกลุ่มของสหัสเสี่ยงทายได้เส้นทางที่มุ่งไปยังบูรพาทิศ ส่วนกลุ่มของสัตตะเสี่ยงทายได้เส้นทางที่มุ่งไปยังอาคเนย์ทิศ แม้จะไม่ได้ใกล้กัน แต่เพราะทางเข้าอยู่ฝั่งตะวันออกเหมือนกันจึงจำเป็นต้องมุ่งหน้าไปในเส้นทางเดียวกันก่อนจะถึงทางแยก
ผู้ร่วมเส้นทางก่อนถึงทางแยกในฝั่งตะวันออกมีอยู่ 15 คน ทุกคนมุ่งหน้าไปยังทางแยกโดยที่กลุ่มของสหัสเดินนำอยู่ข้างหน้าสุด สองกลุ่มรายล้อมเข้าหาเทวาแรงก์ S คู่นั้นด้วยความปลาบปลื้มและตื่นเต้นที่ได้ร่วมทาง ผิดกับกลุ่มของพวกเขาที่เดินทิ้งห่างออกมาด้านหลัง
สัตตะรูดซิปเสื้อวอร์มสีดำของตนให้ขึ้นสุดทำให้มันปกปิดไปจนถึงปลายคาง พลางเฝ้าสังเกตผู้คนที่ร่วมทางกันมา พวกสหัสล่วงหน้ากันไปไกลแล้ว และดูเหมือนจะไม่ได้ให้ความสนใจมาที่เขาเลยแม้แต่นิด เรื่องนั้นทำให้สัตตะถอนหายใจโล่งอกออกซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะวางใจแล้วว่าสหัสไม่อาจจำเขาได้เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นห่างไว้ได้ก็เป็นสิ่งที่สมควรที่สุด
ดูเหมือนไม่ได้มีเพียงเขาที่ไม่อยากเข้าใกล้พวกเทวาแรงก์ S แต่พวกพวานเองก็ดูจะไม่ชอบกลุ่มนั้นมากนัก สายตาของพวกมันแสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างชัดเจน
สัตตะหรี่ตามองพวกพวานพลางครุ่นคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปสะกิดทูรย์ที่เอาแต่ฝึกท่องคาถาจับภูตมาตั้งแต่เมื่อครู่
"ระวังเจ้าพวกนั้นไว้หน่อยก็ดีนะ"
"หืม? พวกพวานน่ะเหรอ? ทำไมล่ะ? "
"เดี๋ยวก็รู้เอง"
เขาพูดเพียงเท่านั้นแล้วปล่อยให้ทูรย์ทำหน้างงต่อไป สัตตะไม่ยอมอธิบายตามนิสัยที่จะพูดแค่เรื่องที่จำเป็นเท่านั้น
เหล่าผู้ร่วมทางเดินเข้าสู่บริเวณหอคอยชั้นแรกด้วยความตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจ แค่เพียงก้าวข้ามธรณีประตูบางเขื่องผ่านเข้าสู่ด้านในของหอคอย บรรยากาศก็แตกต่างจากด้านนอกอย่างลิบลับ ภาพจินตนาการว่าด้านในเป็นเพียงอาคารคล้ายโรงยิมฝึกฝนหายออกจากหัวของทุกคนทันทีเมื่อได้เห็นกับตาว่าในโถงด้านในนี้เป็นเพียงทุ่งหญ้าสีทองโล่ง ๆ
พอเข้ามาแล้วเห็นว่าเป็นพื้นที่โล่งกว้างก็ทำเอาสับสนกันไปครู่ กลุ่มของสัตตะจึงมายืนกระจุกรวมกันเพื่อระดมความคิด
"ที่นี่ถูกควบคุมด้วยเวทย์มิติ" สัตตะกระซิบกระซาบกับทูรย์
"สุดยอดเลยเนอะ"
"ไม่เห็นมีประตูเลย มันหมายความว่ายังไง? " พวานบ่นขึ้นอย่างหัวเสีย เขาสะสมความหงุดหงิดมาพักใหญ่ อยากจะระบายออกเต็มทีแล้ว
"นี่คงเป็นภารกิจแรกน่ะ การตามหาทางเข้า" มายูครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบเพื่อนออกมา "ที่อาจารย์บอกไงว่านอกจากการล่าภูตแสงแล้ว ต้องผ่านภารกิจปริศนา 3 ข้อด้วย"
"ยุ่งยากชะมัด" พวานสบถ ธาตุแท้ค่อย ๆ เผยออกมาเรื่อย ๆ โดยสัตตะไม่ต้องรอคอยนานนัก
"เอาน่า ก่อนอื่นเราแยกย้ายกันหาประตูก่อนดีกว่า จะได้รีบทำภารกิจให้เสร็จ ๆ ไป นี่ก็จะเที่ยงแล้วด้วยเหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่" โกมาพูดเสริม ดูเป็นการเป็นงานสุด
"เออ งั้นเอาตามนี้ ใครเจอประตูก็กดสัญญาณเรียกแล้วกัน" พวานโบกไม้โบกมือ แล้วมุ่งหน้าไปอีกด้าน โดยมีโกมากับมายูเดินตามไปด้วย
"ฝั่งนั้นฝากพวกนายด้วยแล้วกันนะ เดี๋ยวฝั่งนี้พวกเราจัดการเอง" มายูหันมาบอกพร้อมรอยยิ้ม ก่อนเดินหายกันไปที่อีกฝั่งของทุ่งหญ้า
"พวกเขาก็ดูไม่ได้เลวร้ายนะสัตตะ นายคิดไปเองหรือเปล่า" พอแยกย้ายกันออกมา ทูรย์ก็หันมาท้วงกับสัตตะ
"ก็แค่บอกให้ระวัง ไม่ได้ฟันธงเสียหน่อย ลองดูไปก่อนไง" แต่สัตตะยังคงยืนยันในคำเดิม แล้วออกปากไล่ให้แยกย้ายกันทำภารกิจได้แล้ว "นายไปดูฝั่งนั้นแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปทางนี้"
"อื้อ" ทูรย์พยักหน้า แล้วรีบเดินออกไปตามทางของตนอย่างว่าง่าย
เมื่อได้อยู่ตามลำพังสัตตะก็เริ่มวิเคราะห์กับตัวเอง พวกพวานไม่ปล่อยเขาแน่ แต่เขาไม่ได้กลัวหรอกติดแค่ภาระชิ้นเขื่องอย่างทูรย์ต่างหาก เขาถอนหายใจทิ้งข้วางไปสองสามครั้ง แล้วเริ่มหันมองรอบข้างเพื่อหาทางเข้าภารกิจอย่างที่ควรทำ
หอคอยร้อยชั้นนี้เป็นกองบัญชาการของเหล่าผู้มีพรภูมิที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างอาณาจักรเพื่อให้นักรบได้ฝึกปรือฝีมือ ถ้าจำไม่ผิดนักศึกษาปี 1 ต้องสอบผ่านชั้น 10 ให้ได้ถึงจะสามารถขึ้นปี 2 และต้องสอบผ่านปีละ 10 ชั้นไปเรื่อย ๆ ยกเว้นปี 4 ที่ต้องผ่านถึงชั้นที่ 50 เท่านั้นจึงจะสามารถจบการศึกษาได้ ใครผ่านได้เร็วที่สุดก็จะได้สังกัดกิลด์ที่ดีที่สุด หรือไม่ก็จะได้สังกัดเข้ากองกำลังพิเศษของรัฐบาลอย่างอาจารย์โท ที่มีอำนาจเทียบเท่าพวกรัฐมนตรีระดับสูง
อสูรในชั้นแรกนี้คงแรงก์ไม่สูงเท่าไหร่นักเพราะเขาไม่อาจสัมผัสกลิ่นอายของพวกมันได้ หรืออาจเป็นเพราะพวกมันถูกจำกัดให้เฝ้าเส้นทางอยู่ในประตูมิติจึงทำให้เวทย์ตรวจจับของสัตตะไม่อาจสัมผัสได้ก็เป็นได้
สัตตะเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ขนาดใช้เวทย์ตรวจจับยังไม่เจออะไร ทั้งที่เป็นเพียงทุ่งหญ้าที่อยู่ในเวทย์มิติแท้ ๆ ทำไมแดดมันถึงได้ร้อนขนาดนี้กันนะ?
เพราะเป็นที่โล่งแจ้งไร้ร่มเงา ความร้อนที่แผดกล้าทำให้สัตตะที่ใส่เสื้อวอร์มปิดถึงคอเกิดอาการเหงื่อไหลไคลย้อย ร้อนจนทนไม่ไหว เขาหันซ้ายแลขวาเห็นว่าไม่มีใครก็รูดซิปเสื้อวอร์มลงครึ่งหนึ่งเพื่อให้เสื้อนักศึกษาชื้นเหงื่อที่ด้านในได้รับลมที่พัดโชยมาเบา ๆ บ้าง
"โอ้ย!" เพราะเหงื่อออกเยอะจนเริ่มรู้สึกคันตัว สัตตะจึงเผลอเกาไปโดนแผลตรงคอที่ยังไม่ทันหายจนแผลเปิดอีกครั้ง พอเห็นรอยเลือดที่ซึมติดปลายนิ้วมาด้วยก็ทำเอาถึงกับสบถซ้ำ ๆ
"เชี่ยเอ้ย! เวรกรรมไรวะเนี่ย"
'...นายท่าน'
"!!? " จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น สัตตะขนลุกซู่ตั้งแต่ท้ายทอยถึงกลางกระหม่อม เสียงใคร?
แต่เมื่อเงี่ยหูฟังกลับไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงของสายลมพัดผ่านทุ่งหญ้า
ทั้งที่ท้องฟ้าในนี้สดใสเสียจนแสบตาตัดกับทุ่งหญ้าสีทองเสียจนราวกับภาพวาด ทั้งที่สวยออกขนาดนั้นกลับให้ความรู้สึกวังเวงจนน่ากลัว
"คิดไปเองเปล่านะ" สัตตะบ่นกับตัวเอง
เมื่อสามารถกลับมามีสมาธิเสถียรอยู่กับตัวแล้ว สัตตะก็เริ่มใช้จิตหยั่งรู้ของตนตรวจสอบหาบานประตูแห่งเส้นทางอาคเนย์ต่อ
'...นายท่าน'
"ใครวะ!? " ชัดเจนแล้วว่าไม่ได้หูฝาด เพียงแต่ไม่แน่ชัดว่ามันเป็นเสียงที่เขาได้ยินเพียงคนเดียวหรือไม่
สัตตะพยายามเงี่ยหูฟังอีกครั้ง เพื่อหาทิศทางและที่มาของเสียง
'...นายเหนือ…ข้า…บาท…'
'...นายท่าน…ข้า…'
ทางนี้! ในที่สุดสัตตะก็สามารถจับสัญญาณของเสียงเรียกได้ เขาเริ่มวิ่งไปในทิศที่ตรงข้ามกับทิศที่ตนอยู่ ตรงหน้ายังคงเป็นทุ่งหญ้าสีทองเวิ้งว้างตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินสดใส แต่คล้ายกับญาณสัมผัสของสัตตะจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้
'...นายเหนือ…ของข้าบาท'
'...นายท่าน…ของข้า…'
เสียงเรียกนั้นชัดเจนขึ้นทุกขณะที่สัตตะสาวเท้าวิ่งเข้าไปหา นายท่าน คือใคร ข้าบาท คือใครไม่รู้ล่ะ แต่สัตตะมั่นใจว่าเสียงเรียกนั่นเกี่ยวข้องกับตนแน่นอน
หรือว่ามันอาจเป็นเพียงกลไกของภารกิจ ยิ่งเป็นแบบนั้นก็ยิ่งเข้าทาง
"นั่นไง!" สัตตะตะโกนขึ้นกับตัวเองเมื่อในที่ประตูบานใหญ่ขัดกับทุ่งหญ้า จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา
ประตูโบราณสูงเกือบ 5 เมตรสลักลวดลายโบราณดูขลังเสียจนอดอุทานด้วยความทึ่งไม่ได้ แต่ถึงจะค้นพบประตูสัตตะกลับดีใจไม่ออกเมื่อภาษาโบราณที่สลักไว้เหนือประตูบานนั้นมันเขียนว่า 'ประตูบูรพา'
"บ้าเอ้ย ผิดบาน" สัตตะสบถอย่างหัวเสีย แต่ก็ฉุกใจคิดว่าในเมื่อมันไม่ใช่ประตูของทีมตนแล้วทำไมเขาถึงได้ยินเสียงเรียกจากประตูบานนี้กันล่ะ?
สัตตะพินิจพิเคราะห์อยู่ตรงหน้าบานประตู สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแปลกประหลาด จะว่าแปลกก็ไม่ใช่ จะพูดให้ถูกก็คงเป็น…รู้สึกว่ามัน…คุ้นเคย
'กลิ่นอสูร? '
'กลิ่นเทวา? '
'กลิ่นอะไรกันแน่วะ? '
สัตตะพยายามเทียบเคียงแต่กลับไม่สามารถเทียบกับอะไรได้เลยในความทรงจำ เหมือนว่าความคุ้นเคยนั้นมันอยู่ลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตวิญญาณ
"กลิ่นอายมันจางเกินไปแฮะ จะลองเข้าไปได้หรือเปล่านะ? "
ด้วยความอยากรู้คำตอบจนทนไม่ไหว สัตตะจึงตัดสินใจลองผลักบานประตูดูเผื่อว่าจะสามารถเปิดออกได้
แต่น่าเสียดายที่มันไม่ยอมขยับเขยื้อน
"ต้องใช้กุญแจที่ได้รับมาเท่านั้นสินะ" ปัญหาคือต่อให้เขามีกุญแจแต่ก็ไม่ใช่ของประตูบานนี้
เสียงเรียกนั้นเงียบไปแล้ว แต่สัตตะรู้ดีว่าเจ้าของเสียงยังคงเฝ้ารอเขาอยู่ที่ด้านใน
"เฮ้ ถ้านายอยากให้ฉันช่วยก็เปิดประตูให้ฉันเข้าไปสิ"
สัตตะแนบใบหน้าเข้าไปใกล้ประตูบานนั้นแล้วกระซิบคำขอ ฉับพลันกลิ่นอายนั้นก็ตอบรับคำของเขา ประตูสั่นขึ้นน้อย ๆ หัวใจของสัตตะลิงโลดขึ้น
ปึ่ง!
"!!? "
ขณะที่ประตูกำลังจะถูกปลดล็อก มือหนึ่งที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ผลักเข้าที่บานประตูที่กำลังจะเปิดออก สัญญาณอันตรายดังลั่นขึ้นในหัวกู่ร้องให้สัตตะผละออกจากตรงนั้นทันที
ทว่าไม่ทันได้ขยับตัวเขาก็ถูกคว้าเอาไว้ได้เสียก่อน เขาถูกผลักให้หลังชนประตูโดยมีร่างสูงใหญ่ของเจ้าของมือนั้นคร่อมปิดทางหนีเอาไว้ เมื่อเห็นได้ชัดเต็มสองตาแล้วว่าเจ้าของมือนั้นคือใครก็เล่นเอาสัตตะหน้าซีดเป็นไก่ต้ม
'เชี่ย! ไอ้ตัวกินเลือด!'
"ทำไมผู้ถือกุญแจของประตูอาคเนย์ถึงเปิดประตูบูรพาได้กัน? "
น้ำเสียงจากผู้ไถ่ถามไม่ได้กระโชกโฮกฮาก ทว่าความเย็นชานั้นกลับทำให้คนฟังรู้สึกสยองขวัญมากกว่า
"อ…เอ่อ ผมเข้าใจผิดไปน่ะ"
รู้ว่าเป็นคำแก้ตัวที่แสนโง่เง่า แต่สัตตะกลับไม่อาจพูดอะไรที่แสดงความฉลาดกว่านั้นออกไป
"เข้าใจผิด? " สหัสขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบ
"ขอโทษทีผมต้องรีบไปหาประตูของตัวเองต่อ" สัตตะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทันคิดอะไร เขารีบพุ่งหลบไปอีกด้าน
แต่คราวนี้ข้อมือข้างหนึ่งของเขากลับถูกคว้าเอาไว้แล้วถูกกดเข้าที่บานประตูนั้นอีกครั้ง สหัสไม่คิดปล่อยกันไปง่าย ๆ
เทวาหนุ่มขยับเข้าใกล้ผู้เป็นเชลยชั่วคราว ใช้มือหนึ่งกดข้อมืออีกฝ่ายไว้ ส่วนอีกมือก็ใช้ยันไว้ข้างลำตัวของฝ่ายนั้นเพื่อกีดกันไม่ให้หลบหนีได้อีก ทั้งที่เป็นแค่แรงก์ F แท้ ๆ ทำไมถึงมีกลิ่นอายที่ประหลาดนัก?
…กลิ่นอาย!?
หัวใจของสหัสเต้นผิดจังหวะทันทีที่สัมผัสถึงอะไรบางอย่างในตัวของคนตรงหน้าได้ แม้จะเบาบางแต่เขาจำไม่ผิดแน่
"แกเป็นตัวอะไรกันแน่? "
"!!? "
"ตอบมา!"
"ค…คุณหมายความว่ายังไง? ผมก็เป็นนักเวทย์แรงก์ F จากนอกกำแพงปกติไง"
"นักเวทย์แรงก์ F แล้วทำไมถึงมีกลิ่นกายของดรายแอดส์? "
"..." ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นสัตตะก็ถึงกับเป็นใบ้ไปครู่ ก่อนจะพยายามเบี่ยงเบนประเด็น "เอ๋? …แต่ ผมเป็น…ผู้ชาย จะไปเป็นดรายแอดส์ได้ยังไง? อาจเป็นกลิ่นน้ำหอมของคนอื่น ๆ ที่มาติดตัวผมตอนเรายืนรวมกันที่ด้านนอกเมื่อกี้น่ะ"
แม้จะพยายามอธิบายไปแบบนั้น แต่สหัสก็ไม่ยอมฟัง
สหัสก้มลงดมตรงซอกคอของสัตตะทันที เพราะเขาสัมผัสได้ว่าตรงจุดนั้นของอีกฝ่ายเป็นจุดที่มีกลิ่นหอมหวานเล็ดลอดออกมา
"เฮ้ย!" สัตตะเบี่ยงตัวหลบใช้มือที่เหลือตะปบเข้าที่คอข้างนั้นของตนเพื่อปกปิด
สัตตะรู้ดีว่ามันเป็นเพราะเมื่อกี้เขาเผลอเกาจนเลือดออก จึงทำให้ไม่อาจปิดบังกลิ่นกายตนได้
'ต้องรีบหนี' แม้สัตตะจะคิดแบบนั้นแต่มือตนที่ยังถูกมือของสหัสพันธนาการไว้ข้างหนึ่งก็ไม่อาจดึงให้หลุด
ระหว่างที่สัตตะพยายามดิ้นรน สหัสก็แน่ใจแล้วว่าตนจำไม่ผิด กลิ่นที่เขาสูดดมจากซอกคออีกฝ่ายเมื่อครู่มันใช่กลิ่นของดรายแอดส์คนเดียวกับที่เขาเจอเมื่อคืนไม่ผิดแน่
หลักฐานน่ะเหรอ ก็รอยคมเขี้ยวของเขาบนต้นคออีกฝ่ายนี่ไง!
ในขณะที่สัตตะพยายามแกะมือของตนให้หลุดออกจากพันธนาการ สหัสก็อาศัยจังหวะนั้นยื่นมือไปหมายกระชากปกเสื้อวอร์มของสัตตะออก แต่สัตตะที่ไวเป็นลิงกลับไหวตัวทันคว้ามือของสหัสไว้ได้ก่อน การโรมรันพันตูจึงเกิดขึ้นอยู่อึดใจ
แล้วในจังหวะที่สัตตะสิ้นหวังแบบสุด ๆ อยู่นั้น
ปิ๊บ!
[สัตตะพวกเราเจอประตูแล้ว กดปุ่มเขียวที่กำไลวาร์ปมาได้เลย]
เสียงเรียกของทูรย์ที่ออกมาจากกำไลจึงกลายเป็นเสียงประทานพรจากท้องฟ้า
สหัสที่ได้ยินเหมือนกันรีบคว้าข้อมือทั้งคู่ของสัตตะไว้ แต่ก็ไม่ทันที่สัตตะใช้ฟันงับที่แขนของตัวเองเพื่อกดปุ่มเขียวที่กำไลเสียก่อน
แสงสีขาวส่องวาบออกมาพร้อมร่างของสัตตะที่หายวับไปต่อหน้า
"ชิ!" สหัสเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจที่ปล่อยให้สัตตะหลุดมือไปได้ เพราะหากเจ้านั่นหนีออกไปจากเมืองก่อนที่จะได้เจอกันอีกครั้ง มันถือเป็นเรื่องที่เขาทำพลาดครั้งใหญ่เลยทีเดียว
เทวาหนุ่มพยายามใช้ญาณติดตาม แต่ดูเหมือนจุดที่สัตตะวาร์ปไปจะไกลเกินกว่าที่ญาณเขาจะตรวจจับได้
…ถ้าเจ้านั่นคือดรายแอดส์ที่เจอกันเมื่อคืนจริง มนตร์มารนั่นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
"โย่ว! สหัส เจอประตูแล้วเหรอวะ แจ่ม!"
ในขณะที่กำลังหาทางไปคว้าตัวสัตตะอีกครั้ง เสียงของธชาก็ตะโกนลั่นข้ามทุ่งมาเสียก่อน
สหัสถอนหายใจเบื่อหน่ายเพราะดูเหมือนกลุ่มของเขาจะตามมากันแล้ว แบบนี้คงทำอะไรไม่ได้อีก นอกจากภาวนาว่าอย่าให้ไอ้ดรายแอดส์จำแลงนั่นหนีออกจากกำแพงเมืองไปก่อนก็เท่านั้น!